IAF plans to arm its Su-30MKI fleet with I-Derby ER BVRAAMs
The IAF is seeking to arm its fleet of Su-30MKI multirole fighters with the Israeli-made I-Derby ER BVRAAM. Source: IHS Markit/Patrick Allen
https://www.janes.com/article/88867/iaf-plans-to-arm-its-su-30mki-fleet-with-i-derby-er-bvraams
PYTHON-5 imaging infrared and I-DERBY ER active radar Air-to-Air missile at Defense and Security 2017 exhibition in Bangkok Thailand on 6-9 November 2017.(My Own Photo)
https://aagth1.blogspot.com/2017/11/rafael.html
กองทัพอากาศอินเดีย(IAF: Indian Air Force) กำลังวางแผนที่จะนำฝูงเครื่องบินขับไล่พหุภารกิจ Sukhoi Su-30MKI ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยยิงนอกระยะสายตา(BVRAAM: Beyond-Visual-Range Air-to-Air)
แบบ Rafael Advanced Defense Systems I-Derby ER(Extended Range) เมื่อกองทัพอากาศอินเดียกำลังจะเลิกใช้งานอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Vympel R-77(NATO กำหนดรหัส AA-12 Adder) รัสเซียที่มีอายุการใช้งานมานานภายในปี 2021-2022
แหล่งข่าวทางการกล่าวกับ Jane's ว่ากองทัพอากาศอินเดียกำลังอยู่ในการพูดคุยกับบริษัท Rafael อิสราเอลเพื่อจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศด้วย Radar แบบ I-Derby ER
ซึ่งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ I-Derby ER มีระยะยิงที่ 100km โดยเพิ่มเติมว่าขั้นตอนการจัดหาสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีใกล้ที่จะเสร็จสิ้น "เต็มทีแล้ว"
การพัฒนาล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากอาวุธปล่อยนำวิถียิงแล้วลืม(Fire-and-Forget) I-Derby ซึ่งมีคุณสมบัติใช้ระบบค้นหา Radar ที่กำหนดโดยชุดคำสั่ง และเครื่องยนต์ Motor จรวดแบบแข็งคู่ dual-pulse
ได้รับเลือกให้เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศหลักที่จะติดกับเครื่องบินขับไล่ Tejas LCA(Light Combat Aircraft) ที่อินเดียออกแบบในประเทศ ตามที่ประสบความสำเร็จในการทดสอบการยิงเมื่อเดือนกรกฎาคม 2018
รุ่นก่อนหน้าของอาวุธปล่อยนำวิถี Derby ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ Spyder-SR จำนวน 18ระบบของกองทัพอินเดียจาก Rafael อิสราเอลในปี 2008-2009 วงเงินราว $1 billion
การส่งมอบระบบป้องกันภัยทางอากาศอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Spyder-SR ซึ่งได้ร่วมอาวุธปล่อยนำวิถี Derby 750 นัดได้เริ่มต้นในปี 2012 และเสร็จสิ้นในสามปีต่อมา
นอกเหนือจากแผนที่จะนำ I-Derby ER มาใช้ กองทัพอากาศอินเดียได้มีการทดสอบการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ BVRAAAM แบบ Astra ที่พัฒนาในประเทศโดยองค์การวิจัยและพัฒนาทางกลาโหมอินเดีย(DRDO: Defence Research and Development Organisation)
โดยเครื่องบินขับไล่ Su-30MKI จากสถานีกองทัพอากาศ Kalaikunda ได้ประสบความสำเร็จในการยิงทดสอบขั้นสุดท้ายของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Astra ในการโจมตีเป้าหมายทางอากาศที่มีความคล่องในการเคลื่อนที่ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2018
Su-30MKI ที่ได้สิทธิบัตรการผลิตในประเทศโดย Hindustan Aeronautics Limited(HAL) รัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมการบินของอินเดีย ยังได้ถูกนำมาใช้เป็นระบบอากาศยานทดสอบติดตั้งอาวุธที่อินเดียพัฒนาเองอีกหลายแบบ
เช่น อาวุธปล่อยนำวิธีอากาศสู่พื้นร่อน BrahMos และระเบิดนำวิถีขนาด 500kg ที่พัฒนาโดย DRDO อินเดีย ที่มีการทดสอบการยิงไปล่าสุดครับ(https://aagth1.blogspot.com/2019/05/su-30mki-brahmos.html)
วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
เครื่องบินขับไล่ Su-57 รัสเซียพร้อมสำหรับสายการผลิตจำนวนมาก
Russian plant ready for mass production of Su-57 fighter jets
Russian Deputy Defense Minister Alexey Krivoruchko said that the armed forces will get the first Su-57 jet by the end of this year
http://tass.com/defense/1060558
Russia to demonstrate Su-57 fifth-generation fighter jet at MAKS air show
Russia will also feature a light Il-112V military transport plane, Su-35 and Su-30SM multirole super-maneuverable fighters and Yak-130 combat training aircraft at the show
http://tass.com/defense/1060610
โรงงานอากาศยาน Komsomolsk-on-Amur ได้พร้อมที่จะเริ่มต้นสายการการผลิตจำนวนมากของเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 แบบ Sukhoi Su-57
รองรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย Alexey Krivoruchko กล่าวเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2019 ระหว่าที่เขาเยือนโรงงาน Komsomolsk-on-Amur(KnAAZ) ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย
"เราจะได้รับมอบเครื่องบินขับไล่ชุดแรก(ของรุ่นนี้)ภายในสิ้นปีนี้ เรากำลังพร้อมพูดคุยเกี่ยวกับสายการผลิตจำนวนมาก เราได้ประเมินความพร้อมของเครื่องบินแล้วตอนนี้ เช่นเดียวกับความพร้อมของโรงงานเพื่อการผลิต Su-57 จำนวนมาก
เราพอใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่เราเห็นและหวังว่าแผนทั้งหมดจะได้รับการเติมเต็ม" Krivoruchko กล่าวระหว่างการเยือนโรงงานเพื่อให้โรงงานอากาศยานอุทิศทรัพยากรให้กับการเตรียมการสำหรับการผลิตจำนวนมากของเครื่องบินขับไล่ Su-57
รัสเซียจะสาธิตเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 Su-57 ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในงานแสดงการบินนานชาติ MAKS-2019 ในเมื่อ Zhukovsky นอกนครหลวง Mooscow ตามที่ Rosoboronexport รัฐวิสาหกิจการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียกล่าวเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2019
"คณะตัวแทนจากกองทัพอากาศและแขกทั้งหมดของงานแสดงการบินนานาชาติ MAKS ในเมือง Zhukovsky ใกล้ Moscow จะสามารถชมเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 ใหม่ล่าสุด Su-57 ระหว่างวันที่ 27สิงหาคม-1 กันยายน 2019" แถลงการณ์กล่าว
ในงานแสดงการบิน MAKS-2019 รัสเซียจะยังจัดแสดงเครื่องบินลำเลียงทางทหารเบา IL-112V, เครื่องบินขับไล่พหุภารกิจความคล่องแคล่วสูง Su-35S และเครื่องบินขับไล่ Su-30SM และเครื่องบินฝึกรบไอพ่น Yak-130
ส่วนการจัดแสดงทางอากาศแขกจะยังได้รับชมเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-28NE และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Ka-52, เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป Mi-171Sh และ Mi-17V-5 และอากาศยานทางทหารอื่นๆ
ในปี 2017 เครื่องบินขับไล่ PAK FA(Su-57) สองเครื่องได้ทำการบินสาธิตส่วนหนึ่งของการรบพันตูกลางอากาศ(Dogfight) ในงานแสดงการบิน MAKS-2017 เป็นครั้งแรก Su-57 หนึ่งเครื่องเปิดการโจมตีขณะที่ Su-57 อีกหนึ่งเครื่องทำการหลบหลีก
เป็นการสาธิตถึงความคล่องแคล่วทางการบินขั้นสูงที่ทำให้สามารถหลบหลีกข้าศึกได้ นักบินยังได้สาธิตการบินผาดแผลงรวมถึงท่า Pugachev's Cobra การบินด้วยมุมปะทะ(Angle of Attack)วิกฤติและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำสุด
Su-57 เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 พหุภารกิจที่ออกแบบมาเพื่อทำลายเป้าหมายทางอากาศทุกรูปแบบในระยะใกล้และไกล และโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินและเป้าหมายทางเรือ ด้วยขีดความสามารถในการเอาชนะระบบป้องกันภัยทางอากาศฝ่ายตรงข้าม
Su-57 ทำการบินครั้งแรกเมื่อ 29 มกราคม 2010 เมื่อเปรียบกับเครื่องรุ่นก่อนหน้า Su-57 ผสมผสานการทำงานของเครื่องบินโจมตีและเครื่องบินขับไล่ ขณะที่ใช้วัสดุผสมและวิทยาการนวัตกรรมและการปรับแต่งอากาศพลศาสตร์เพื่อใก้เป็นเครื่องบินขับไล่ที่ระดับสัญญาณ Radar และ Infrared ต่ำ
ระบบอาวุธของเครื่องบินขับไล่ Su-57 จะประกอบด้วยโดยเฉพาะอาวุธปล่อยนำวิถีความเร็วเหนือเสียงสูงมาก Hypersonic และได้ประสบความสำเร็จในการวางกำลังทดสอบในเงื่อนไขการรบจริงแล้วในซีเรียมาแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2018/03/su-57-su-35.html)
รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาที่จะอนุมัติการอนุญาตส่งออกเครื่องบินขับไล่ Su-57 แก่มิตรประเทศในชื่อรุ่นเครื่องบินขับไล่ Su-57E(Export) ด้วยครับ(https://aagth1.blogspot.com/2019/03/su-57.html)
Russian Deputy Defense Minister Alexey Krivoruchko said that the armed forces will get the first Su-57 jet by the end of this year
http://tass.com/defense/1060558
Russia to demonstrate Su-57 fifth-generation fighter jet at MAKS air show
Russia will also feature a light Il-112V military transport plane, Su-35 and Su-30SM multirole super-maneuverable fighters and Yak-130 combat training aircraft at the show
http://tass.com/defense/1060610
โรงงานอากาศยาน Komsomolsk-on-Amur ได้พร้อมที่จะเริ่มต้นสายการการผลิตจำนวนมากของเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 แบบ Sukhoi Su-57
รองรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย Alexey Krivoruchko กล่าวเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2019 ระหว่าที่เขาเยือนโรงงาน Komsomolsk-on-Amur(KnAAZ) ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย
"เราจะได้รับมอบเครื่องบินขับไล่ชุดแรก(ของรุ่นนี้)ภายในสิ้นปีนี้ เรากำลังพร้อมพูดคุยเกี่ยวกับสายการผลิตจำนวนมาก เราได้ประเมินความพร้อมของเครื่องบินแล้วตอนนี้ เช่นเดียวกับความพร้อมของโรงงานเพื่อการผลิต Su-57 จำนวนมาก
เราพอใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่เราเห็นและหวังว่าแผนทั้งหมดจะได้รับการเติมเต็ม" Krivoruchko กล่าวระหว่างการเยือนโรงงานเพื่อให้โรงงานอากาศยานอุทิศทรัพยากรให้กับการเตรียมการสำหรับการผลิตจำนวนมากของเครื่องบินขับไล่ Su-57
รัสเซียจะสาธิตเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 Su-57 ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในงานแสดงการบินนานชาติ MAKS-2019 ในเมื่อ Zhukovsky นอกนครหลวง Mooscow ตามที่ Rosoboronexport รัฐวิสาหกิจการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียกล่าวเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2019
"คณะตัวแทนจากกองทัพอากาศและแขกทั้งหมดของงานแสดงการบินนานาชาติ MAKS ในเมือง Zhukovsky ใกล้ Moscow จะสามารถชมเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 ใหม่ล่าสุด Su-57 ระหว่างวันที่ 27สิงหาคม-1 กันยายน 2019" แถลงการณ์กล่าว
ในงานแสดงการบิน MAKS-2019 รัสเซียจะยังจัดแสดงเครื่องบินลำเลียงทางทหารเบา IL-112V, เครื่องบินขับไล่พหุภารกิจความคล่องแคล่วสูง Su-35S และเครื่องบินขับไล่ Su-30SM และเครื่องบินฝึกรบไอพ่น Yak-130
ส่วนการจัดแสดงทางอากาศแขกจะยังได้รับชมเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-28NE และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Ka-52, เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป Mi-171Sh และ Mi-17V-5 และอากาศยานทางทหารอื่นๆ
ในปี 2017 เครื่องบินขับไล่ PAK FA(Su-57) สองเครื่องได้ทำการบินสาธิตส่วนหนึ่งของการรบพันตูกลางอากาศ(Dogfight) ในงานแสดงการบิน MAKS-2017 เป็นครั้งแรก Su-57 หนึ่งเครื่องเปิดการโจมตีขณะที่ Su-57 อีกหนึ่งเครื่องทำการหลบหลีก
เป็นการสาธิตถึงความคล่องแคล่วทางการบินขั้นสูงที่ทำให้สามารถหลบหลีกข้าศึกได้ นักบินยังได้สาธิตการบินผาดแผลงรวมถึงท่า Pugachev's Cobra การบินด้วยมุมปะทะ(Angle of Attack)วิกฤติและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำสุด
Su-57 เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 พหุภารกิจที่ออกแบบมาเพื่อทำลายเป้าหมายทางอากาศทุกรูปแบบในระยะใกล้และไกล และโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินและเป้าหมายทางเรือ ด้วยขีดความสามารถในการเอาชนะระบบป้องกันภัยทางอากาศฝ่ายตรงข้าม
Su-57 ทำการบินครั้งแรกเมื่อ 29 มกราคม 2010 เมื่อเปรียบกับเครื่องรุ่นก่อนหน้า Su-57 ผสมผสานการทำงานของเครื่องบินโจมตีและเครื่องบินขับไล่ ขณะที่ใช้วัสดุผสมและวิทยาการนวัตกรรมและการปรับแต่งอากาศพลศาสตร์เพื่อใก้เป็นเครื่องบินขับไล่ที่ระดับสัญญาณ Radar และ Infrared ต่ำ
ระบบอาวุธของเครื่องบินขับไล่ Su-57 จะประกอบด้วยโดยเฉพาะอาวุธปล่อยนำวิถีความเร็วเหนือเสียงสูงมาก Hypersonic และได้ประสบความสำเร็จในการวางกำลังทดสอบในเงื่อนไขการรบจริงแล้วในซีเรียมาแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2018/03/su-57-su-35.html)
รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาที่จะอนุมัติการอนุญาตส่งออกเครื่องบินขับไล่ Su-57 แก่มิตรประเทศในชื่อรุ่นเครื่องบินขับไล่ Su-57E(Export) ด้วยครับ(https://aagth1.blogspot.com/2019/03/su-57.html)
วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
KAI เกาหลีใต้ได้สัญญาปรับปรุงเครื่องบินขับไล่และฝึก T-50TH กองทัพอากาศไทย
KAI wins T-50TH upgrade deal in Thailand
https://www.janes.com/article/88796/kai-wins-t-50th-upgrade-deal-in-thailand
Royal Thai Air Force's Korea Aerospace Industries (KAI) T-50TH Golden Eagle 40101 and 40102, 401st Squadron, Wing 4 Takhli at Wing 41 Chiang Mai
https://www.facebook.com/groups/441463545871708/permalink/2936957676322270/
บริษัท Korea Aerospace Industries(KAI) สาธารณรัฐเกาหลีได้รับสัญญาจากกองทัพอากาศไทย(RTAF: Royal Thai Air Force) เพื่อการปรับปรุงเครื่องบินขับไล่และฝึกแบบที่๒ บ.ขฝ.๒ T-50TH Golden Eagle
ที่ปัจจุบันประจำการอยู่ ณ ฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ ตาคลี จำนวน ๔เครื่อง เป็นชุดแรก และกำลังจัดหาชุดที่สองจำนวน ๘เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2018/04/t-50th.html)
ตามที่บริษัท KAI สาธารณรัฐเกาหลีแจ้งในยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เกาหลีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒(2019) ข้อตกลงวงเงิน 62.3 billion Korean Won($52.5 million ประมาณ ๑,๖๕๙,๓๖๐,๕๐๐บาท)
และมีคุณสมบัติที่ KAI เกาหลีใต้จะจัดส่ง "โครงการปรับปรุงและดัดแปลง" ที่จะดำเนินการติดตั้งกับ บ.ขฝ.๒ T-50TH LIFT(Lead-In Fighter Trainer) ทั้ง ๑๒เครื่องของกองทัพอากาศไทย
โดยเครื่องบินขับไล่และฝึก บ.ขฝ.๒ T-50TH จำนวน ๔สี่ที่ได้ส่งมอบไปแล้ว รวมถึงอีก ๘เครื่องที่มีกำหนดจะส่งมอบในปี พ.ศ.๒๕๖๓(2020) จะได้รับการปรับปรุงติดตั้งอุปกรณ์ประจำเครื่องเพิ่มเติม
ประกอบด้วย Radar แบบ Elta EL/M-2032 อิสราเอล, ระบบแจ้งเตือนการถูกตรวจจับด้วย Radar(RWR: Radar Warning Receiver) และระบบจ่ายเป้าลวง(CMDS: Countermeasures Dispenser System)
สัญญาซึ่งมีกำหนดการจะเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๔(2021) ประกอบด้วยการจัดส่งการฝึกและการสนับสนุนที่จะมีตามมาของบริษัท KAI เกาหลีใต้ เช่นเดียวกับการจัดส่งอะไหล่และการมอบอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
"เราจะพิสูจน์ตัวเราเองว่าคู่ควรกับความไว้วางใจของกองทัพอากาศไทยด้วยคุณภาพที่โดดเด่นเหนือชั้นและทักษะทางเทคนิค" Kim Jo-won ผู้อำนวยการบริหารบริษัท KAI กล่าว ซึ่งเป็นไปได้ที่การปรับปรุงเครื่องจะดำเนินการภายในไทยโดยบริษัทอุตสาหกรรมการบิน TAI(Thai Aviation Industries)
พลอากาศเอก ภานุพงศ์ เสยยงคะ กล่าวว่ากองทัพอากาศไทยมีความมั่นใจอย่างมากใน บ.ขฝ.๒ T-50TH ที่มีประสิทธิภาพต่อราคาที่สูงและเขาคาดว่าจะดำรงรักษาความเป็นหุ้นส่วนอย่างใกล้ชิดกับ KAI เกาหลีใต้
โดยกองทัพอากาศไทยจะนำ T-50TH มาทดแทนเครื่องบินขับไล่และฝึกแบบที่๑ บ.ขฝ.๑ Aero Vodochody L-39ZA/ART Albatros สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งปัจจุบันประจำการ ณ ฝูงบิน๔๑๑ กองบิน๔๑๑ เชียงใหม่ เป็นฝูงสุดท้าย(https://aagth1.blogspot.com/2017/10/kai-t-50th.html)
ทั้งนี้ในพิธีเปิดการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๑(2018) ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี(https://aagth1.blogspot.com/2018/12/t-50th-s-92a-ec725.html)
เป็นครั้งแรกที่ บ.ขฝ.๒ T-50TH ฝูงบิน๔๐๑ ได้สาธิตการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินด้วยลูกระเบิดทำลายแบบ Mk82 ขนาด 500lbs และปืนใหญ่อากาศสามลำกล้องหมุน 20mm Vulacn ความจุ ๒๐๕นัด ที่มีความแม่นยำครับ
https://www.janes.com/article/88796/kai-wins-t-50th-upgrade-deal-in-thailand
Royal Thai Air Force's Korea Aerospace Industries (KAI) T-50TH Golden Eagle 40101 and 40102, 401st Squadron, Wing 4 Takhli at Wing 41 Chiang Mai
https://www.facebook.com/groups/441463545871708/permalink/2936957676322270/
บริษัท Korea Aerospace Industries(KAI) สาธารณรัฐเกาหลีได้รับสัญญาจากกองทัพอากาศไทย(RTAF: Royal Thai Air Force) เพื่อการปรับปรุงเครื่องบินขับไล่และฝึกแบบที่๒ บ.ขฝ.๒ T-50TH Golden Eagle
ที่ปัจจุบันประจำการอยู่ ณ ฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ ตาคลี จำนวน ๔เครื่อง เป็นชุดแรก และกำลังจัดหาชุดที่สองจำนวน ๘เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2018/04/t-50th.html)
ตามที่บริษัท KAI สาธารณรัฐเกาหลีแจ้งในยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เกาหลีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒(2019) ข้อตกลงวงเงิน 62.3 billion Korean Won($52.5 million ประมาณ ๑,๖๕๙,๓๖๐,๕๐๐บาท)
และมีคุณสมบัติที่ KAI เกาหลีใต้จะจัดส่ง "โครงการปรับปรุงและดัดแปลง" ที่จะดำเนินการติดตั้งกับ บ.ขฝ.๒ T-50TH LIFT(Lead-In Fighter Trainer) ทั้ง ๑๒เครื่องของกองทัพอากาศไทย
โดยเครื่องบินขับไล่และฝึก บ.ขฝ.๒ T-50TH จำนวน ๔สี่ที่ได้ส่งมอบไปแล้ว รวมถึงอีก ๘เครื่องที่มีกำหนดจะส่งมอบในปี พ.ศ.๒๕๖๓(2020) จะได้รับการปรับปรุงติดตั้งอุปกรณ์ประจำเครื่องเพิ่มเติม
ประกอบด้วย Radar แบบ Elta EL/M-2032 อิสราเอล, ระบบแจ้งเตือนการถูกตรวจจับด้วย Radar(RWR: Radar Warning Receiver) และระบบจ่ายเป้าลวง(CMDS: Countermeasures Dispenser System)
สัญญาซึ่งมีกำหนดการจะเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๔(2021) ประกอบด้วยการจัดส่งการฝึกและการสนับสนุนที่จะมีตามมาของบริษัท KAI เกาหลีใต้ เช่นเดียวกับการจัดส่งอะไหล่และการมอบอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
"เราจะพิสูจน์ตัวเราเองว่าคู่ควรกับความไว้วางใจของกองทัพอากาศไทยด้วยคุณภาพที่โดดเด่นเหนือชั้นและทักษะทางเทคนิค" Kim Jo-won ผู้อำนวยการบริหารบริษัท KAI กล่าว ซึ่งเป็นไปได้ที่การปรับปรุงเครื่องจะดำเนินการภายในไทยโดยบริษัทอุตสาหกรรมการบิน TAI(Thai Aviation Industries)
พลอากาศเอก ภานุพงศ์ เสยยงคะ กล่าวว่ากองทัพอากาศไทยมีความมั่นใจอย่างมากใน บ.ขฝ.๒ T-50TH ที่มีประสิทธิภาพต่อราคาที่สูงและเขาคาดว่าจะดำรงรักษาความเป็นหุ้นส่วนอย่างใกล้ชิดกับ KAI เกาหลีใต้
โดยกองทัพอากาศไทยจะนำ T-50TH มาทดแทนเครื่องบินขับไล่และฝึกแบบที่๑ บ.ขฝ.๑ Aero Vodochody L-39ZA/ART Albatros สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งปัจจุบันประจำการ ณ ฝูงบิน๔๑๑ กองบิน๔๑๑ เชียงใหม่ เป็นฝูงสุดท้าย(https://aagth1.blogspot.com/2017/10/kai-t-50th.html)
ทั้งนี้ในพิธีเปิดการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๑(2018) ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี(https://aagth1.blogspot.com/2018/12/t-50th-s-92a-ec725.html)
เป็นครั้งแรกที่ บ.ขฝ.๒ T-50TH ฝูงบิน๔๐๑ ได้สาธิตการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินด้วยลูกระเบิดทำลายแบบ Mk82 ขนาด 500lbs และปืนใหญ่อากาศสามลำกล้องหมุน 20mm Vulacn ความจุ ๒๐๕นัด ที่มีความแม่นยำครับ
วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
ฝรั่งเศสเดินหน้าการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์ H160M Guépard ใหม่
French Ministry of the Armed Forces brings development of future Joint Light Helicopter forward
The French Minister of the Armed Forces, Florence Parly, has announced that the launch of the Joint Light Helicopter (Hélicoptère Interarmées Léger; HIL) programme has been brought forward to 2021.
The HIL programme, for which the Airbus Helicopters’ H160 was selected in 2017, was initially scheduled for launch in 2022 by the current military budget law.
Launching the programme earlier will enable delivery of the first H160Ms to the French Armed Forces to be advanced to 2026.
https://www.airbus.com/newsroom/press-releases/en/2019/05/french-ministry-of-the-armed-forces-brings-development-of-future-joint-light-helicopter-forward.html
รัฐมนตรีกระทรวงกองทัพฝรั่งเศส Florence Parly ได้ประกาศว่าการเริ่มต้นโครงการเฮลิคอปเตอร์เบาร่วม(HIL: Hélicoptère Interarmées Léger) ได้ถูกเดินหน้าไปจนถึงปี 2021
โครงการเฮลิคอปเตอร์ HIL ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ Airbus Helicopters H160 ได้รับเลือกในปี 2017(https://aagth1.blogspot.com/2017/03/airbus-helicopters-h160.html) มีกำหนดการขั้นต้นที่จะเปิดตัวได้ในปี 2022 ภายใต้กฎหมายงบประมาณทางทหารปัจจุบัน
การเริ่มต้นโครงการเฮลิคอปเตอร์เบาร่วม HIL ก่อนหน้าจะทำให้การส่งมอบเฮลิคอปเตอร์ H160M รุ่นใช้งานทางทหารเครื่องแรกแก่กองทัพฝรั่งเศสจะก้าวหน้าไปได้ในปี 2026
ระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่ของบริษัท Airbus Helicopters ที่ Marignane ฝรั่งเศส รัฐมนตรีกองทัพฝรั่งเศสยังได้ชมการเปิดตัวแบบจำลองขนาดเท่าของจริง Mock-Up ของเฮลิคอปเตอร์ H160M
โดยเฮลิคอปเตอร์ Airbus Helicopters H160M เครื่องจำลองเท่าของจริงนี้จะถูกเปิดตัวที่ส่วนจัดแสดงของกระทรวงกองทัพฝรั่งเศส ณ งานแสดงการบินนานาชาติ Paris Air Show 2019 ใน Le Bourget นครหลวง Paris ระหว่างวันที่ 17-23 มิถุนายน 2019
เฮลิคอปเตอร์ H160M ยังได้รับการกำหนดแบบชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการว่า "Guépard" ("Cheetah" เสือชีต้า) โดยกองทัพฝรั่งเศส(French Armed Forces, Forces armées françaises)
H160 ได้รับการออกแบบให้เป็นเฮลิคอปเตอร์แบบ modular ทำให้รุ่นใช้งานทางทหาร(H160M) ด้วยระบบเครื่องแบบเดียว เพื่อดำเนินภารกิจได้หลายรูปแบบ
ตั้งแต่การส่งหน่วยรบพิเศษ Commando แทรกซึม เข้าแทรกซึม ถึงการสะกัดกั้นทางอากาศ, สงครามต่อต้านเรือผิวน้ำ ในการสั่งจัดหาเพื่อตรงความต้องการของ
กองทัพบกฝรั่งเศส(French Army, Armée de terre) 80เครื่อง, กองทัพเรือฝรั่งเศส(French Navy, Marine Nationale) 49เครื่อง และกองทัพอากาศฝรั่งเศส(French Air Force, Armée de l'Air) 40เครื่อง
ตามโครงการ HIL เฮลิคอปเตอร์ H160M จะถูกนำมาทดแทนเฮลิคอปเตอร์รุ่นเก่าหลายแบบที่ประจำการในกองทัพฝรั่งเศส ยกเว้นเฮลิคอปเตอร์โจมตี Airbus Helicopters Tiger, เฮลิคอปเตอร์ Airbus Helicopters H225M Caracal และเฮลิคอปเตอร์ NHIndustries NH90
พื้นฐานเฮลิคอปเตอร์ H160 รุ่นใช้งานพลเรือนสามารถทำความเร็วได้ 160knots สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 12คน ที่พิสัยบินไกลสุด 120nmi(222km) หรือ 450nmi โดยมีเวลาสำรอง 20นาทีสำหรับภารกิจเช่นการค้นหาและกู้ภัย
H160 ถูกพัฒนามาจากเฮลิคอปเตอร์ต้นแบบสาธิต X4 โดยการพัฒนาได้เริ่มต้นในปี 2013 และการปรับแต่งต่างๆได้เสร็จสมบูรณ์ในปี 2015
"เราภูมิใจที่ HIL ถูกพิจารณาเป็นโครงการทางยุทธศาสตร์ ผมขอขอบคุณกระทรวงกองทัพฝรั่งเศส, สำนักงานจัดหาทางกลาโหม DGA และกองทัพสำหรับความเชื่อถือและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของพวกเขา
ซึ่งช่วยสร้างเงื่อนไขสำหรับโครงการเพื่อนำไปสู่การเดินหน้าภายใจ้กรอบการทำงานของงบประมาณทางทหารปัจจุบัน นี่จะทำให้เป็นไปได้ที่จะเร่งความเร็วการทดแทนอากาศยานยุคเก่า
ขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพการสนับสนุนและความพร้อมปฏิบัติการของฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ของประเทศฝรั่งเศส" Bruno Even ผู้อำนวยการบริหารของบริษัท Airbus Helicopters กล่าว
"ทีมของเรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบเครื่องในปี 2026 ที่ตรงความต้องการของกองทัพฝรั่งเศสในกรอบของความพร้อม, ประสิทธิภาพ และขีดความสามารถ จึงทำให้มันกลายเป็นมาตรฐานใหม่อย่างรวดเร็วของเฮลิคอปเตอร์ทางทหารขนาดกลางในตลาดโลก" Even เสริม
ด้วยการสร้างขึ้นจากระบบที่จะเข้าประจำการในกองทัพในอีกหลายปีข้างหน้า โครงการ HIL จะได้รับประโยชน์หลายประการจากข้อได้เปรียบประจำตัวในเฮลิคอปเตอร์รุ่นใช้งานพลเรือน H160
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสนับสนุน ด้วยการบำรุงรักษาที่ง่ายและมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการต่ำกว่าเฮลิคอปเตอร์รุ่นก่อนหน้าแบบต่างๆในประเภทเดียวกันครับ
The French Minister of the Armed Forces, Florence Parly, has announced that the launch of the Joint Light Helicopter (Hélicoptère Interarmées Léger; HIL) programme has been brought forward to 2021.
The HIL programme, for which the Airbus Helicopters’ H160 was selected in 2017, was initially scheduled for launch in 2022 by the current military budget law.
Launching the programme earlier will enable delivery of the first H160Ms to the French Armed Forces to be advanced to 2026.
https://www.airbus.com/newsroom/press-releases/en/2019/05/french-ministry-of-the-armed-forces-brings-development-of-future-joint-light-helicopter-forward.html
รัฐมนตรีกระทรวงกองทัพฝรั่งเศส Florence Parly ได้ประกาศว่าการเริ่มต้นโครงการเฮลิคอปเตอร์เบาร่วม(HIL: Hélicoptère Interarmées Léger) ได้ถูกเดินหน้าไปจนถึงปี 2021
โครงการเฮลิคอปเตอร์ HIL ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ Airbus Helicopters H160 ได้รับเลือกในปี 2017(https://aagth1.blogspot.com/2017/03/airbus-helicopters-h160.html) มีกำหนดการขั้นต้นที่จะเปิดตัวได้ในปี 2022 ภายใต้กฎหมายงบประมาณทางทหารปัจจุบัน
การเริ่มต้นโครงการเฮลิคอปเตอร์เบาร่วม HIL ก่อนหน้าจะทำให้การส่งมอบเฮลิคอปเตอร์ H160M รุ่นใช้งานทางทหารเครื่องแรกแก่กองทัพฝรั่งเศสจะก้าวหน้าไปได้ในปี 2026
ระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่ของบริษัท Airbus Helicopters ที่ Marignane ฝรั่งเศส รัฐมนตรีกองทัพฝรั่งเศสยังได้ชมการเปิดตัวแบบจำลองขนาดเท่าของจริง Mock-Up ของเฮลิคอปเตอร์ H160M
โดยเฮลิคอปเตอร์ Airbus Helicopters H160M เครื่องจำลองเท่าของจริงนี้จะถูกเปิดตัวที่ส่วนจัดแสดงของกระทรวงกองทัพฝรั่งเศส ณ งานแสดงการบินนานาชาติ Paris Air Show 2019 ใน Le Bourget นครหลวง Paris ระหว่างวันที่ 17-23 มิถุนายน 2019
เฮลิคอปเตอร์ H160M ยังได้รับการกำหนดแบบชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการว่า "Guépard" ("Cheetah" เสือชีต้า) โดยกองทัพฝรั่งเศส(French Armed Forces, Forces armées françaises)
H160 ได้รับการออกแบบให้เป็นเฮลิคอปเตอร์แบบ modular ทำให้รุ่นใช้งานทางทหาร(H160M) ด้วยระบบเครื่องแบบเดียว เพื่อดำเนินภารกิจได้หลายรูปแบบ
ตั้งแต่การส่งหน่วยรบพิเศษ Commando แทรกซึม เข้าแทรกซึม ถึงการสะกัดกั้นทางอากาศ, สงครามต่อต้านเรือผิวน้ำ ในการสั่งจัดหาเพื่อตรงความต้องการของ
กองทัพบกฝรั่งเศส(French Army, Armée de terre) 80เครื่อง, กองทัพเรือฝรั่งเศส(French Navy, Marine Nationale) 49เครื่อง และกองทัพอากาศฝรั่งเศส(French Air Force, Armée de l'Air) 40เครื่อง
ตามโครงการ HIL เฮลิคอปเตอร์ H160M จะถูกนำมาทดแทนเฮลิคอปเตอร์รุ่นเก่าหลายแบบที่ประจำการในกองทัพฝรั่งเศส ยกเว้นเฮลิคอปเตอร์โจมตี Airbus Helicopters Tiger, เฮลิคอปเตอร์ Airbus Helicopters H225M Caracal และเฮลิคอปเตอร์ NHIndustries NH90
พื้นฐานเฮลิคอปเตอร์ H160 รุ่นใช้งานพลเรือนสามารถทำความเร็วได้ 160knots สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 12คน ที่พิสัยบินไกลสุด 120nmi(222km) หรือ 450nmi โดยมีเวลาสำรอง 20นาทีสำหรับภารกิจเช่นการค้นหาและกู้ภัย
H160 ถูกพัฒนามาจากเฮลิคอปเตอร์ต้นแบบสาธิต X4 โดยการพัฒนาได้เริ่มต้นในปี 2013 และการปรับแต่งต่างๆได้เสร็จสมบูรณ์ในปี 2015
"เราภูมิใจที่ HIL ถูกพิจารณาเป็นโครงการทางยุทธศาสตร์ ผมขอขอบคุณกระทรวงกองทัพฝรั่งเศส, สำนักงานจัดหาทางกลาโหม DGA และกองทัพสำหรับความเชื่อถือและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของพวกเขา
ซึ่งช่วยสร้างเงื่อนไขสำหรับโครงการเพื่อนำไปสู่การเดินหน้าภายใจ้กรอบการทำงานของงบประมาณทางทหารปัจจุบัน นี่จะทำให้เป็นไปได้ที่จะเร่งความเร็วการทดแทนอากาศยานยุคเก่า
ขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพการสนับสนุนและความพร้อมปฏิบัติการของฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ของประเทศฝรั่งเศส" Bruno Even ผู้อำนวยการบริหารของบริษัท Airbus Helicopters กล่าว
"ทีมของเรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบเครื่องในปี 2026 ที่ตรงความต้องการของกองทัพฝรั่งเศสในกรอบของความพร้อม, ประสิทธิภาพ และขีดความสามารถ จึงทำให้มันกลายเป็นมาตรฐานใหม่อย่างรวดเร็วของเฮลิคอปเตอร์ทางทหารขนาดกลางในตลาดโลก" Even เสริม
ด้วยการสร้างขึ้นจากระบบที่จะเข้าประจำการในกองทัพในอีกหลายปีข้างหน้า โครงการ HIL จะได้รับประโยชน์หลายประการจากข้อได้เปรียบประจำตัวในเฮลิคอปเตอร์รุ่นใช้งานพลเรือน H160
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสนับสนุน ด้วยการบำรุงรักษาที่ง่ายและมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการต่ำกว่าเฮลิคอปเตอร์รุ่นก่อนหน้าแบบต่างๆในประเภทเดียวกันครับ
เครื่องบินขับไล่ Su-30MKI อินเดียทดสอบยิงอาวุธปล่อยนำวิถีร่อน BrahMos และระเบิดนำวิถีที่พัฒนาเอง
PICTURES: India conducts second air-launched Brahmos test
The Brahmos missile detaches from the Su-30MKI's centreline
The DRDO guided bomb was dropped by an Su-30MKI
https://www.flightglobal.com/news/articles/pictures-india-conducts-second-air-launched-brahmo-458478/
กองทัพอากาศอินเดีย(IAF: Indian Air Focre) ล่าสุดได้ทำการทดสอบการยิงอาวุธปล่อยนำวิธีอากาศสู่พื้นร่อน BrahMos เป็นครั้งที่สองที่ทำความเร็วเหนือเสียงที่ Mach 2.8 และทดสอบการทิ้งระเบิดนำวิถีขนาด 500kg ที่เป็นระบบอาวุธที่พัฒนาเองในประเทศ
จากเครื่องบินขับไล่ Sukhoi Su-30MKI(NATO กำหนดรหัส Flanker-H) ที่ Hindustan Aeronautics Limited(HAL) รัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมการบินของอินเดียได้สิทธิบัตรการผลิตในประเทศ
กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าวเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2019 ว่าการยิงอาวุธปล่อยนำวิธีอากาศสู่พื้นร่อน BrahMos เป็นไปด้วยดีและเครื่องบินขับไล่ Su-30MKI สามารถเก็บคะแนนการยิงถูกเป้าหมายภาคพื้นดินอย่างแม่นยำที่เหนืออ่าว Bengal ชายฝั่งตะวันออกของประเทศ
การยิงอาวุธปล่อยนำวิธีร่อน BrahMos ครั้งที่2 นี้มีขึ้นหลังการยิงครั้งแรกเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2017 เป็นเวลา 18เดือน การทดสอบได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรืออินเดีย(Indian Navy) ซึ่งส่งเรือเพื่อติดตามการบินโคจรของอาวุธและให้มั่นใจว่าพื้นที่สนามใช้อาวุธมีความปลอดภัย
"การบูรณาการอาวุธกับเครื่องบินเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนมากในการนำการดัดแปลงระบบเชิงกล, ระบบไฟฟ้า และชุดคำสั่งเข้ากับเครื่องบิน กองทัพอากาศอินเดียได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตั้งแต่แรกเริ่ม
การพัฒนาชุดคำสั่งของเครื่องบินได้ดำเนินการโดยวิศวกรของกองทัพอากาศอินเดีย ขณะที่ HAL ดำเนินการในส่วนการดัดแปลงส่วนระบบเชิงกลและระบบไฟฟ้ากับเครื่องบิน" กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าว
กระทรวงกลาโหมอินเดียยกย่องการบูรณาการระบบอาวุธปล่อยนำวิธีร่อน BrahMos ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ร่วมพัฒนาระหว่างอินเดีย-รัสเซีย เข้ากับเครื่องบินขับไล่ Su-30MKI ว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงขีดความสามารถในการดำเนินโครงการที่ซับซ้อนของอินเดีย
BrahMos-A รุ่นยิงจากอากาศยานมีน้ำหนัก 2.3tonnes เบากว่ารุ่นยิงจากเรือและฐานยิงบนบก มีครีบหางขนาดใหญ่กว่าเพื่อคงการทรงตัวทางอากาศพลศาสตร์ระหว่างแยกตัวจากเครื่องบิน และมีพิสัยการยิงที่ 161nmi(300km) โดย Su-30MKI สามารถติดตั้งได้ 1นัดบนตำบลอาวุธกลางลำตัว
ระบบอาวุธปล่อยนำวิธีร่อน BrahMos ถูกออกแบบให้มีระบบแท่นยิงติดตั้งเพื่อทำการยิงได้ในจากหลายระบบ ทั้งฐานยิงภาคพื้นดิน, เรือรบผิวน้ำ, เรือดำน้ำ และอากาศยาน โดยอินเดียและรัสเซียได้เห็นชอบร่วมกันในหลักการที่จะส่งออกอาวุธปล่อยนำวิถี BrahMos ให้กับประเทศที่สาม
เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรนต์, เวียดนาม, แอฟริกาใต้, ชิลี, ฟิลิปปินส์, เกาหลีใต้, แอลจีเรีย, กรีซ, มาเลเซีย, ไทย, อียิปต์, สิงคโปร์, เวเนซุเอลา และบัลแกเรีย(https://aagth1.blogspot.com/2017/01/brahmos-pak-fa.html)
นอกจากนี้ องค์การวิจัยและพัฒนาทางกลาโหมอินเดีย(DRDO: Defence Research and Development Organisation) ได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินการทดสอบระเบิดนำวิถีขนาด 500kg ใหม่ ณ สนามฝึกใช้อาวุธ Pokhran ใน Rajasthan
ระเบิดนำวิถีถูกทิ้งจากเครื่องบินขับไล่ Su-30MKI และถูกเป้าหมาย "ทุกวัตุประสงค์ภารกิจได้รับการบรรลุผล ระบบอาวุธมีขีดความสามารถในการติดตั้งหัวรบแบบต่างๆที่แตกต่างกัน" กระทรวงกลาโหมอินเดียเสริมครับ
The Brahmos missile detaches from the Su-30MKI's centreline
The DRDO guided bomb was dropped by an Su-30MKI
https://www.flightglobal.com/news/articles/pictures-india-conducts-second-air-launched-brahmo-458478/
กองทัพอากาศอินเดีย(IAF: Indian Air Focre) ล่าสุดได้ทำการทดสอบการยิงอาวุธปล่อยนำวิธีอากาศสู่พื้นร่อน BrahMos เป็นครั้งที่สองที่ทำความเร็วเหนือเสียงที่ Mach 2.8 และทดสอบการทิ้งระเบิดนำวิถีขนาด 500kg ที่เป็นระบบอาวุธที่พัฒนาเองในประเทศ
จากเครื่องบินขับไล่ Sukhoi Su-30MKI(NATO กำหนดรหัส Flanker-H) ที่ Hindustan Aeronautics Limited(HAL) รัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมการบินของอินเดียได้สิทธิบัตรการผลิตในประเทศ
กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าวเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2019 ว่าการยิงอาวุธปล่อยนำวิธีอากาศสู่พื้นร่อน BrahMos เป็นไปด้วยดีและเครื่องบินขับไล่ Su-30MKI สามารถเก็บคะแนนการยิงถูกเป้าหมายภาคพื้นดินอย่างแม่นยำที่เหนืออ่าว Bengal ชายฝั่งตะวันออกของประเทศ
การยิงอาวุธปล่อยนำวิธีร่อน BrahMos ครั้งที่2 นี้มีขึ้นหลังการยิงครั้งแรกเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2017 เป็นเวลา 18เดือน การทดสอบได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรืออินเดีย(Indian Navy) ซึ่งส่งเรือเพื่อติดตามการบินโคจรของอาวุธและให้มั่นใจว่าพื้นที่สนามใช้อาวุธมีความปลอดภัย
"การบูรณาการอาวุธกับเครื่องบินเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนมากในการนำการดัดแปลงระบบเชิงกล, ระบบไฟฟ้า และชุดคำสั่งเข้ากับเครื่องบิน กองทัพอากาศอินเดียได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตั้งแต่แรกเริ่ม
การพัฒนาชุดคำสั่งของเครื่องบินได้ดำเนินการโดยวิศวกรของกองทัพอากาศอินเดีย ขณะที่ HAL ดำเนินการในส่วนการดัดแปลงส่วนระบบเชิงกลและระบบไฟฟ้ากับเครื่องบิน" กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าว
กระทรวงกลาโหมอินเดียยกย่องการบูรณาการระบบอาวุธปล่อยนำวิธีร่อน BrahMos ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ร่วมพัฒนาระหว่างอินเดีย-รัสเซีย เข้ากับเครื่องบินขับไล่ Su-30MKI ว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงขีดความสามารถในการดำเนินโครงการที่ซับซ้อนของอินเดีย
BrahMos-A รุ่นยิงจากอากาศยานมีน้ำหนัก 2.3tonnes เบากว่ารุ่นยิงจากเรือและฐานยิงบนบก มีครีบหางขนาดใหญ่กว่าเพื่อคงการทรงตัวทางอากาศพลศาสตร์ระหว่างแยกตัวจากเครื่องบิน และมีพิสัยการยิงที่ 161nmi(300km) โดย Su-30MKI สามารถติดตั้งได้ 1นัดบนตำบลอาวุธกลางลำตัว
ระบบอาวุธปล่อยนำวิธีร่อน BrahMos ถูกออกแบบให้มีระบบแท่นยิงติดตั้งเพื่อทำการยิงได้ในจากหลายระบบ ทั้งฐานยิงภาคพื้นดิน, เรือรบผิวน้ำ, เรือดำน้ำ และอากาศยาน โดยอินเดียและรัสเซียได้เห็นชอบร่วมกันในหลักการที่จะส่งออกอาวุธปล่อยนำวิถี BrahMos ให้กับประเทศที่สาม
เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรนต์, เวียดนาม, แอฟริกาใต้, ชิลี, ฟิลิปปินส์, เกาหลีใต้, แอลจีเรีย, กรีซ, มาเลเซีย, ไทย, อียิปต์, สิงคโปร์, เวเนซุเอลา และบัลแกเรีย(https://aagth1.blogspot.com/2017/01/brahmos-pak-fa.html)
นอกจากนี้ องค์การวิจัยและพัฒนาทางกลาโหมอินเดีย(DRDO: Defence Research and Development Organisation) ได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินการทดสอบระเบิดนำวิถีขนาด 500kg ใหม่ ณ สนามฝึกใช้อาวุธ Pokhran ใน Rajasthan
ระเบิดนำวิถีถูกทิ้งจากเครื่องบินขับไล่ Su-30MKI และถูกเป้าหมาย "ทุกวัตุประสงค์ภารกิจได้รับการบรรลุผล ระบบอาวุธมีขีดความสามารถในการติดตั้งหัวรบแบบต่างๆที่แตกต่างกัน" กระทรวงกลาโหมอินเดียเสริมครับ
วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
Fincantieri อิตาลีทำพิธีปล่อยเรือยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ Trieste ใหม่ลงน้ำ
FINCANTIERI: THE MULTIPURPOSE AMPHIBIOUS UNIT “TRIESTE” LAUNCHED IN CASTELLAMMARE DI STABIA 25 May 2019
Trieste, May 25, 2019 – The launching ceremony of the multipurpose amphibious unit (LHD or Landing Helicopter Dock) “Trieste” took place today at the Fincantieri shipyard in Castellammare di Stabia
https://www.fincantieri.com/en/media/press-releases/2019/fincantieri-the-multipurpose-amphibious-unit-trieste-launched-in-castellammare-di-stabia/
พิธีปล่อยเรือลงน้ำของเรืออู่ยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์(LHD: Landing Helicopter Dock) L9080 Trieste สำหรับกองทัพเรืออิตาลี(Italian Navy, Marina Militare) ได้มีขึ้น ณ อู่เรือของบริษัท Fincantieri อิตาลีใน Castellammare di Stabia
ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิตาลี Sergio Mattarella ได้รับเชิญจาก Giampiero Massolo ประธานบริษัท Fincantieri และ Giuseppe Bono ผู้อำนวยการบริหารบริษัท Fincantieri เข้าร่วมพิธีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2019
เรือยกพลขึ้นบกพหุภารกิจและเอนกประสงค์นี้ได้รับการออกแบบตั้งแต่เริ่มต้นให้มีความยืดหยุ่น, เอนกประสงค์โดยการออกแบบ, แบ่งหน่วยแยกส่วนแบบ modular โดยมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่ำ
เรือ LHD Trieste มีขีดความสามารถในการวางกำลังอากาศยานและรถสะเทินน้ำสะเทินบกพร้อมยุทโธปกรณ์ จากดาดฟ้าบินยาวตลอดแนวลำตัวเรือและอู่ลอยที่มีตำแหน่งอยู่ทางท้ายเรือ
เรืออู่ยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ Trieste จะถูกส่งมอบในปี 2022 และอยู่ภายในโครงการทางเรือขีดความสามารถทางทะเลของกระทรวงกลาโหมอิตาลีที่ได้นับการอนุมัติโดยรัฐบาลอิตาลีและรัฐสภาอิตาลีและเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2015 ผ่านรัฐบัญญัตินาวี
แม่อุปถัมภ์(Godmother) ของพิธีปล่อยเรือลงน้ำคือ นาง Laura Mattarella บุตรสาวของประธานาธิบดีอิตาลี(https://aagth1.blogspot.com/2017/09/lhd-thaon-di-revel.html)
พิธีปล่อยเรือลงน้ำยังได้เชิญแขกผู้มีเกียรติอื่นๆรวมงานอาทิ รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจแรงงานและนโยบายสังคม และรองนายกรัฐมนตรีอิตาลี Luigi Di Maio และรัฐมนตรีกลาโหมอิตาลี Elisabetta Trenta
,รัฐบาลท้องถิ่นของ Campania Vincenzo De Luca, ผู้บัญชาการกองทัพอิตาลี(Chief of Defence) พลอากาศเอก Enzo Vecciarelli และผู้บัญชาการกองทัพเรืออิตาลี พลเรือเอก Valter Girardelli
เรืออู่ยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ L9080 Trieste จะได้รับการจัดประเภทชั้นโดย RINA Services ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันมลภาวะที่เกี่ยวข้องกับเกณฑ์ดั้งเดิมที่น่าจะขึ้นกับอนุสัญญา MARPOL
เช่นเดียวกับที่เรื่องเหล่านี้ยังไม่ได้รับข้อบังคับอย่างเช่นเรื่องหนึ่งที่ครอบคลุมโดยอนุสัญญา Hong Kong ที่มีการนำแนวคิด "Green Passport" มาใช้
คุณลักษณะของเรือ LHD Trieste ตัวเรือมีความยาวประมาณ 214m โดยมีความเร็วสูงสุด 25knots ติดตั้งระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซลไฟฟ้าหรือก๊าซ(CODLOG: COmbined Diesel eLectric Or Gas)
และเพิ่มระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่จะถูกใช้สำหรับการเดินเรือด้วยความเร็วต่ำ ตามโนยบายด้านสิ่งแวดล้อมของกองทัพเรืออิตาลี "กองเรือสีเขียว"("Green Fleet")
ขอบคุณคุณสมบัติของเธอในแง่การก่อสร้างและระบบอาวุธ เรือ LHD Trieste จะสามารถวางกำลังในพื้นที่วิกฤติด้วยกองกำลังยกพลขึ้นบกของกองทัพเรืออิตาลีและสนับสนุนการแสดงกำลังขีดความสามารถทางกลาโหมของชาติจากทะเล
เช่นเดียวกับการดำรงยุทธศาสตร์การขนส่งยานยนต์, กำลังพล และยุทโธปกรณ์ และสนับสนุนการปกป้องพลเรือในการมอบความช่วยเหลือแก่ประเทศและประชากรในกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ด้วยขีดความสามารถในการมอบน้ำดื่ม, การจ่ายไฟฟ้า, การดูแลสุขภาพ และการสนับสนุนทางการแพทย์
เรือ LHD Trieste ยังสามารถที่จะดำเนินหน้าที่การทำงานบัญชาการและควบคุมในกรณีฉุกเฉินในทะเล, การอพยพพลเมืองตามสัญชาติ และปฏิบัติการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ด้วยการรองรับที่นอนมากว่า 1,000ตำแหน่ง เรือ LHD ใหม่มีดาดฟ้าบินเฮลิคอปเตอร์ยาว 230m
ทำให้สามารถรองรับกำลังพลระดับกองพัน 600นาย และโรงเก็บขนาด 1,200 linear metres สำหรับยานยนต์ล้อยางและสายพานทั้งพลเรือนและทางทหาร อู่ลอยขนาด 50x15m ทำให้เรือวางกำลังยุทโธปกรณ์สะเทินน้ำสะเทินบกที่ก้าวหน้าทางเทคนิคที่สุดและรถของกองทัพเรือ EU และ NATO
พื้นที่บรรทุกสัมภาระที่ไดรับการรักษาความปลอดภัยและเข้าถึงได้ผ่าน Cranes, ประตูท้ายเรือและด้านข้างเรือ และการควบคุมพื้นที่จัดเก็บสัมภาระได้รับการบริหารโดยประตูและ Lift ภายในตัวเรือ
โรงพยาบาลแบบเต็มรูปแบบภายในเรือยังมีห้องปฏิบัติการผ่าตัด, ห้องฉายรังสีและห้องวินิฉัย, ห้องทันตแพทย์ และห้องผู้ป่วย รองรับผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 27ราย(การรับผู้ป่วยเพิ่มเติมสามารถทำได้ผ่านการติดตั้ง Module บรรจุที่มีอุปกรณ์ครบชุด) ครับ
Trieste, May 25, 2019 – The launching ceremony of the multipurpose amphibious unit (LHD or Landing Helicopter Dock) “Trieste” took place today at the Fincantieri shipyard in Castellammare di Stabia
https://www.fincantieri.com/en/media/press-releases/2019/fincantieri-the-multipurpose-amphibious-unit-trieste-launched-in-castellammare-di-stabia/
พิธีปล่อยเรือลงน้ำของเรืออู่ยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์(LHD: Landing Helicopter Dock) L9080 Trieste สำหรับกองทัพเรืออิตาลี(Italian Navy, Marina Militare) ได้มีขึ้น ณ อู่เรือของบริษัท Fincantieri อิตาลีใน Castellammare di Stabia
ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิตาลี Sergio Mattarella ได้รับเชิญจาก Giampiero Massolo ประธานบริษัท Fincantieri และ Giuseppe Bono ผู้อำนวยการบริหารบริษัท Fincantieri เข้าร่วมพิธีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2019
เรือยกพลขึ้นบกพหุภารกิจและเอนกประสงค์นี้ได้รับการออกแบบตั้งแต่เริ่มต้นให้มีความยืดหยุ่น, เอนกประสงค์โดยการออกแบบ, แบ่งหน่วยแยกส่วนแบบ modular โดยมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่ำ
เรือ LHD Trieste มีขีดความสามารถในการวางกำลังอากาศยานและรถสะเทินน้ำสะเทินบกพร้อมยุทโธปกรณ์ จากดาดฟ้าบินยาวตลอดแนวลำตัวเรือและอู่ลอยที่มีตำแหน่งอยู่ทางท้ายเรือ
เรืออู่ยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ Trieste จะถูกส่งมอบในปี 2022 และอยู่ภายในโครงการทางเรือขีดความสามารถทางทะเลของกระทรวงกลาโหมอิตาลีที่ได้นับการอนุมัติโดยรัฐบาลอิตาลีและรัฐสภาอิตาลีและเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2015 ผ่านรัฐบัญญัตินาวี
แม่อุปถัมภ์(Godmother) ของพิธีปล่อยเรือลงน้ำคือ นาง Laura Mattarella บุตรสาวของประธานาธิบดีอิตาลี(https://aagth1.blogspot.com/2017/09/lhd-thaon-di-revel.html)
พิธีปล่อยเรือลงน้ำยังได้เชิญแขกผู้มีเกียรติอื่นๆรวมงานอาทิ รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจแรงงานและนโยบายสังคม และรองนายกรัฐมนตรีอิตาลี Luigi Di Maio และรัฐมนตรีกลาโหมอิตาลี Elisabetta Trenta
,รัฐบาลท้องถิ่นของ Campania Vincenzo De Luca, ผู้บัญชาการกองทัพอิตาลี(Chief of Defence) พลอากาศเอก Enzo Vecciarelli และผู้บัญชาการกองทัพเรืออิตาลี พลเรือเอก Valter Girardelli
เรืออู่ยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ L9080 Trieste จะได้รับการจัดประเภทชั้นโดย RINA Services ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันมลภาวะที่เกี่ยวข้องกับเกณฑ์ดั้งเดิมที่น่าจะขึ้นกับอนุสัญญา MARPOL
เช่นเดียวกับที่เรื่องเหล่านี้ยังไม่ได้รับข้อบังคับอย่างเช่นเรื่องหนึ่งที่ครอบคลุมโดยอนุสัญญา Hong Kong ที่มีการนำแนวคิด "Green Passport" มาใช้
คุณลักษณะของเรือ LHD Trieste ตัวเรือมีความยาวประมาณ 214m โดยมีความเร็วสูงสุด 25knots ติดตั้งระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซลไฟฟ้าหรือก๊าซ(CODLOG: COmbined Diesel eLectric Or Gas)
และเพิ่มระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่จะถูกใช้สำหรับการเดินเรือด้วยความเร็วต่ำ ตามโนยบายด้านสิ่งแวดล้อมของกองทัพเรืออิตาลี "กองเรือสีเขียว"("Green Fleet")
ขอบคุณคุณสมบัติของเธอในแง่การก่อสร้างและระบบอาวุธ เรือ LHD Trieste จะสามารถวางกำลังในพื้นที่วิกฤติด้วยกองกำลังยกพลขึ้นบกของกองทัพเรืออิตาลีและสนับสนุนการแสดงกำลังขีดความสามารถทางกลาโหมของชาติจากทะเล
เช่นเดียวกับการดำรงยุทธศาสตร์การขนส่งยานยนต์, กำลังพล และยุทโธปกรณ์ และสนับสนุนการปกป้องพลเรือในการมอบความช่วยเหลือแก่ประเทศและประชากรในกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ด้วยขีดความสามารถในการมอบน้ำดื่ม, การจ่ายไฟฟ้า, การดูแลสุขภาพ และการสนับสนุนทางการแพทย์
เรือ LHD Trieste ยังสามารถที่จะดำเนินหน้าที่การทำงานบัญชาการและควบคุมในกรณีฉุกเฉินในทะเล, การอพยพพลเมืองตามสัญชาติ และปฏิบัติการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ด้วยการรองรับที่นอนมากว่า 1,000ตำแหน่ง เรือ LHD ใหม่มีดาดฟ้าบินเฮลิคอปเตอร์ยาว 230m
ทำให้สามารถรองรับกำลังพลระดับกองพัน 600นาย และโรงเก็บขนาด 1,200 linear metres สำหรับยานยนต์ล้อยางและสายพานทั้งพลเรือนและทางทหาร อู่ลอยขนาด 50x15m ทำให้เรือวางกำลังยุทโธปกรณ์สะเทินน้ำสะเทินบกที่ก้าวหน้าทางเทคนิคที่สุดและรถของกองทัพเรือ EU และ NATO
พื้นที่บรรทุกสัมภาระที่ไดรับการรักษาความปลอดภัยและเข้าถึงได้ผ่าน Cranes, ประตูท้ายเรือและด้านข้างเรือ และการควบคุมพื้นที่จัดเก็บสัมภาระได้รับการบริหารโดยประตูและ Lift ภายในตัวเรือ
โรงพยาบาลแบบเต็มรูปแบบภายในเรือยังมีห้องปฏิบัติการผ่าตัด, ห้องฉายรังสีและห้องวินิฉัย, ห้องทันตแพทย์ และห้องผู้ป่วย รองรับผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 27ราย(การรับผู้ป่วยเพิ่มเติมสามารถทำได้ผ่านการติดตั้ง Module บรรจุที่มีอุปกรณ์ครบชุด) ครับ
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
กองทัพเรือสหรัฐฯยุบฝูงบินฝึก VFA-101 เพื่อรวมเครื่องบินขับไล่ F-35C ไว้ที่ฐานบินเดียว
Navy Deactivates VFA-101 Grim Reapers, Consolidates F-35Cs at NAS Lemoore
Strike Fighter Squadron VFA-101 had just two F-35C Joint Strike Fighter jets remaining on May 23, 2019, when the squadron deactivated.
The two jets flew off the Eglin Air Force Base flight line for the last time and headed for Naval Air Station Lemoore, Calif., where all F-35C activities will be consolidated. USNI News photo.
A U.S. Navy Sailor marshals the last F-35C Lightning II to leave Eglin Air Force Base, Florida, May 23, 2019. Consolidation of F-35C resources to Naval Air Station Lemoore, California,
enables the U.S. Navy to support Fleet Replacement Squadron (FRS) production, operational fleet transitions for both Navy and Marine Corps squadrons, testing and other requirements. US Air Force photo.
An F-35C Lighting II Joint Strike Fighter prepares to launch from USS Abraham Lincoln (CVN-72) on Monday during operations in the Atlantic. USNI News Photo
https://news.usni.org/2019/05/23/navy-deactivates-vfa-101-grim-reapers-consolidates-f-35cs-at-nas-lemoore
กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ยุบหนึ่งในสองฝูงบินฝึกเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35C Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) ของตนเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2019
และจะรวบการปฏิบัติการของเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 ของตนทั้งหมดไว้ที่สถานีอากาศนาวี(NAS: Naval Air Station) Lemoore ในมลรัฐ California
ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-101 "Grim Reapers" ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 2012 ในฐานะฝูงบินเครื่องบินขับไล่ F-35C ฝูงแรกที่มีที่ตั้ง ณ ฐานทัพอากาศ Eglin รวมกับกลุ่มฝูงเครื่องบินขับไล่ F-35A ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force)
ซึ่งไกลออกไปจากการพัฒนาและมีประสบการณ์บางส่วนพร้อมกับเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 F-22 Raptor กองทัพเรือสหรัฐฯตัดสินใจในปี 2018 ว่าฝูงบิน Grim Reapers ซึ่มมีประวัติสืบทอดย้อนไปถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จะถูกยุบฝูงเป็นครั้งที่สาม
ฝูงบิน VFA-101 จะส่งกำลังพลและเครื่องบินของตนไปยังฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-125 "Rough Raiders" ฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบอากาศยาน(FRS: Fleet Replacement Squadron) อีกฝูงที่ถูกจัดตั้ง ณ NAS Lemoore พร้อมแล้วกับกลุ่มฝูงเครื่องบินขับไล่โจมตีที่เหลือ
ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวสองฝูงบินได้ทำงานร่วมกันหลายครั้งเป็นทีมบูรณาการ FRS และนาวาโท Adan Covarrubias ผู้บังคับฝูงบิน VFA-101 ที่จะรับตำแหน่ง ผบ.ฝูงบิน VFA-125 ในเดือนมิถุนายน 2019 กล่าวกับ USNI News หลังพิธียุบฝูงบินว่า
"มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราเคยทำมา เราบูรณาการการฝึกบำรุงรักษา VFA-125 เข้ากับสิ่งที่เราเคยทำ และในทางกลับกันจากฝูงบิน VFA-101 เข้ากับ VFA-125 เราทำทุกอย่างได้ดีที่สุด คิดให้ออกว่าสิ่งได้ทีทำงานได้กับทุกคนและจากนั้นมาพร้อมกับขั้นตอนที่ดีที่สุด" นาวาโท Covarrubias กล่าว
ตัวเขาเองจะเป็นผู้นำฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบฝูงเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และช่างอากาศยานและนักบินจากฝูง VFA-101 เดิมจะมายัง Lemoore กับเขาในจุดประสงค์เพื่อคงองค์ความรู้ของ F-35C ให้กลุ่มฝูงบินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ขอบคุณงานบูรณากาก่อนหน้านี้ "มันเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ เมื่อเราโอนย้ายสู่ VFA-125 ที่นี่ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทุกคนรู้จักกันและกัน ทุกคนเคยทำงานด้วยกันมาก่อนแล้ว เราทำงานกันมาได้ประมาณหนึ่งปีแล้วและเราทำงานร่วมกันได้ดีจริงๆ" นาวาโท Covarrubias กล่าวต่อ
ฝูงบิน VFA-101 ได้ฝึกนักบินคนสุดท้ายในเดือนมีนาคม-เมษายน และได้ส่งเครื่องบินและอุปกรณ์ไปยัง Lemoore อย่างช้าๆ F-35C สองเครื่องที่เหลือในฝูงบินบินออกจาก Eglin AFB เป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2019 เพื่อมุ่งหน้าไป California
นาวาเอก Max McCoy ฝูงบังคับการกองบิน JSF(Joint Strike Fighter Wing) กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2019 ก่อนหน้าพิธียุบฝูงบินว่า การจัดตั้งฝูงบิน F-35C ร่วมกับกองทัพอากาศสหรัฐฯที่ Eglin ก่อนหน้าได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก
กองทัพเรือสหรัฐฯได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับการบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่ยุคที่5ใหม่ และได้จัดตั้งความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญของบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯที่ฐานทัพอากาศ Eglin
แต่นาวาเอก McCoy กล่าวว่าตามที่กองทัพเรือสหรัฐฯได้มุ่งความสนใจไปยังการมีฝูงบินปฏิบัติการฝูงแรก(https://aagth1.blogspot.com/2019/03/f-35c.html) ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-147 "Argonauts" เป็นฝูงบินแรกที่วางกำลังในกองบินเรือบรรทุกเครื่องบิน(CAW: Carrier Air Wing)
จึงได้กลายเป็นที่ชัดเจนว่าในปีที่แล้วว่าการรวบรวมฝูงบินมายัง Lemoore เป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง "มันให้โช้คอัพที่เราจำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่า VFA-147 มีทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อก้าวผ่านการเตรียมการและไปสู่การวางกำลัง การเดินหน้าดังกล่าวเป็นความสำคัญลำดับหนึ่งของผม" น.อ.McCoy กล่าว
นาวาเอก McCoy กล่าวว่า VFA-147 ควรจะเดินหน้าตรงตามแผนปี 2021 ที่จะวางกำลังกับกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินที่2 บนเรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-70 USS Carl Vinson กำลังพลช่างอากาศยานกำลังสร้างความพร้อมของตน แต่ในขั้นนี้ฝูงบินได้รับเพียงนักบินใหม่ 2นายที่ออกจากโรงเรียนการบิน
และกำลังรอนักบินอาวุโสกว่าที่เปลี่ยนแบบจากอากาศยานแบบอื่นมายัง F-35C ดังนั้นการผลิตนักบินที่มีประสิทธิภาพคือสิ่งสำคัญที่จะคงให้ VFA-147 เป็นไปตามกำหนดการ และการยุบ VFA-101 และรวมฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบมาที่ VFA-125 ใน Lemoore จะช่วยให้กองทัพเรือสหรัฐฯทำเช่นนั้นได้
"เมื่อคุณได้รับช่างอากาศยานมากขึ้นและได้รับเครื่องบินมากขึ้น มันจะทำให้คุณมีขีดความสามารถที่จะบินได้หลายเที่ยวบินมากขึ้นในวันที่ทำการบินตามกำหนด ตอนนี้คุณมีเครื่องบินที่สามารถมอบให้นักบินถ้าคุณต้องการ เพราะคุณมีช่างมากคุณสามารถทำงานบำรุงระยะยาวได้เป็นกะหรือหลายวัน
การมีฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบขนาดใหญ่ฝูงเดียวทำให้เรายืดหยุ่นที่จะทำมากขึ้นและเพื่อช่วงเวลาเหล่านั้นที่จะมีความต้องการที่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อคุณแบ่งคนและเครื่องบินให้บางลงมันจะสร้างความท้าทายมากขึ้นและ และมันจะมีไม่มีช่องว่างปิดบังการดำเนินตารางการบิน" น.อ.McCoy อธิบาย
นอกจากนี้สำหรับความสมบูรณ์ของกำลัง F-35C ในระยะยาว "เมื่อเรามีกำลังพลและเครื่องของเราทั้งหมดในที่เดียว มันทำให้เราจะหมุนเวียนสมดุลการทำงานในทะเล-บนฝั่งกับกลาสีและนายทหารและนักบิน
เพราะว่าตอนนี้มันง่ายขึ้นที่หมุนเวียนกำลังพลในการวางกำลังปฏิบัติการในทะเลและการปฏิบัติงานบนฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบหรือกองบินเรือบรรทุกเครื่องบิน" น.อ.McCoy เสริม
นอกเหนือจากประโยชน์ต่อกลุ่มฝูงบิน F-35C เหล่านี้ การรวมทรัพยากรของ F-35C ทั้งหมดมายังฐานบินหลักใน Lemoore เป็นสัญญาณว่า F-35 ได้ถูกบูรณาการเข้าสู่หัวใจของกลุ่มกำลังเครื่องบินขับไล่โจมตีทางเรือ McCoy กล่าาว่าการบูรณาการ F-35 เต็มอัตรากับ
เครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F Super Hornet และเครื่องบินโจมตี Electronic EA-18G Glowler พวกมันจะบินออกจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน เช่นเดียวกับเครื่องบินแจ้งเตือนทางอากาศ E-2D Advanced Hawkeye และเฮลิคอเตอร์ MH-60 ในกองบิน เป็น "สิ่งสำคัญยิ่ง" ก่อนการวางกำลังครั้งแรก
ด้วยกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินที่2 ที่จัดตั้งที่ Lemoore แล้ว ฝูงบิน F/A-18E/F จะสามารถมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับ VFA-147 ในการปฏิบัติประจำวันที่เริ่มต้นในปีนี้เดินหน้าสู่การวางกำลังในปี 2021 นาวาเอก McCoy กล่าวถึง F/A-18 และ F-35 ว่า
"การบูรณาการระหว่างสองระบบเป็นการสร้างชิ้นส่วนเพื่อการบูรณาการของกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินและกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี(CSG: Carrier Strike Group) การแบ่งปันเส้นทางบินเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะเป็นการสมบูรณ์และการเร่งขัดความสามารถของกลุ่มเครื่องบินขับไล่โจมตี"
น.อ.McCoy หวังว่าการเติบโตการแสดงตนของ F-35C ใน Lemoore จะทำให้เครื่องบินใหม่ที่อกแบบเป็นเครื่องบินตรวจับได้ยาก Stealth และมีสีเทาเข้มที่แตกต่างชัดเจนจากเครื่องบินขับไล่อื่นที่จอดบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นสิ่งปกติ
"ไม่แต่เฉพาะดูมันใกล้ๆบนพื้นแต่บินคู่ไปกับมันในอากาศในเหตุการณ์ร่วมกันจะทำให้กำลังพลและผู้คนเห็ฯถึงขีดความสามารถที่แท้จริงของเครื่อง" McCoy กล่าว
ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำให้เสร็จเกี่ยวกับแนวคิดการปฏิบัติการ McCoy กล่าว แต่ "ผมมีมุมมองในแง่ดีมากในประเด็นนี้ว่าผมคิดว่าเรากำลังจะขอบคุณจริงๆที่ F-35 ถูกนำเข้าสู่กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี
และผมคิดว่าไม่เพียงแต่นักบินแต่ผู้บัญชาการสงครามอื่นๆจะขอบคุณอย่างเต็มที่เมื่อขีดความสามารถเช่นเดียวกันเหล่านี้"
พลเรือตรี Roy Kelley ผู้บัญชาการกองกำลังอากาศนาวี Atlantic(Naval Air Force Atlantic) กล่าวในพิธียุบฝูงบินในฐานะทั้ง ผบ.กำลังอากาศนาวีและอดีตนักบินฝูงบิน Grim Reapers กลับไปในสมัยที่ฝูงบินทำการบินด้วยเครื่องบินขับไล่ F-14 Tomcat(VF-101)
ก่อนหน้านี้ พล.ร.ต.Kelley มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสำนักงานบูรณาการฝูงบิน JSF(Joint Strike Fighter Fleet Integration Office) และกล่าวว่าเขายินดีที่ได้เห็นวันนี้มาถึงหลังจากที่ล่าช้ามาบ้างในการวางกำลังประจำการ F-35C
"มันเป็นถนนหินขรุขระไม่เป็นเส้นทางตรงและง่าย เห็นได้ชัดว่าเรากำลังจะมีความท้าทายบางอย่าง กองทัพเรือสหรัฐฯมีความคิดหรือแนวคิดของสิ่งที่เราต้องการสำหรับขีดความสามารถ ดังนั้นชุดคำสั่งที่เราต้องการสำหรับขีดความสามารถเหล่านี้หมายความว่าเราต้องรอสักหน่อย"
พล.ร.ต.Kelley กล่าวหลังพิธีอ้างถึงชุดคำสั่งมาตรฐาน Block 3F ที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) เดินหน้าไปก่อนโดยปราศจากชุดคำสั่งรุ่นนี้บนเครื่องบินขับไล่ F-35B ของตน แต่กองทัพเรือสหรัฐฯรอสำหรับ F-35C ของตน
"ความท้าทาย(ล่าช้า) นั้นตามที่เรามองที่คลังอากาศยานที่เรามีเครื่องบินขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน ดังนั้นเราเดินหน้าจะซื้อ Super Hornet และผู้คนจำนวนมากถามถึงเว่าทำไมเราถึงทำเช่นนั้น เราว่าเราต้องการการผสมเราต้องการขีดความสามารถนั้นและเรามีกับ Super Hornet แล้ว
เราต้องการขีดความสามารถเครื่องบินขับไล่ยุคที่5ในอนาคต เราต้องการเห็นพวกมันทำงานร่วมกัน แนวคิดที่เรามีนั้น F-35 จะเป็น quarterback ที่แท้จริงสำหรับกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยระบบที่มันมีประจำเครื่อง" พล.ร.ต.Kelley กล่าวต่อ
"การหลอมรวมขีดความสามารถของการนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นพวกมันจะนำหูและตามและผู้อำนวยการตามที่เราเดินหน้ากองบินเรือบรรทุกเครื่องบินมุ่งตรงไปเป็ฯเรื่องสำคัญ" พล.ร.ต.Kelley เสริม
เมื่อถามถึงว่าขีดความสามารถจอง F-35C ที่ทำให้มีค่าที่กองทัพเรือสหรัฐฯจะรอ พล.ร.ต.Kelley ตอบว่า "ใช่! มันไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย"
ระหว่างพิธียุบฝูงบิน พล.ร.ต.Kelley ได้กล่าวถึงเครื่องบินขับไล่ยุคที่5ของคู่แข่งอย่างเครื่องบินขับไล่ Su-57E รัสเซียว่า "อาจจะไม่มีคุณภาพและขีดความสามารถของสิ่งที่คุณเห็นหลังคุณ(กับ F-35C) แต่มันยังคงเป็นภัยคุกคาม"
และมันจะมีความแพร่หลายมากขึ้นตามที่รัสเซียมองที่จะขาย Su-57E แก่นานาชาติ(https://aagth1.blogspot.com/2019/03/su-57.html) เช่นเดียวกับเครื่องบินขับไล่ J-20 จีนที่มีระบบตรวจจับทรงพลัง, อาวุธปล่อยนำวิถีระยะไกล และการออกแบบ Stealth
"กองทัพเรือสหรัฐฯและสหรัฐฯเราจำเป็นต้องมีเครื่องบินขับไล่นี้เดี๋ยวนี้ และความพยายามของคุณคือเครื่องมือที่จะนำเราไปสู่เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ เพราะสำหรับเวลาแรกในทศวรรษเราจะเห็นการเปลี่ยนผ่านสมดุลอำนาจ
ตามที่จีนและรัสเซียปรากฏว่ามุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก" พล.ร.ต.Kelley กล่าวต่อกำลังพลฝูงบิน VFA-101 ในพิธี โดยเสริมว่า "F-35 คือเครื่องบินที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมอย่างแท้จริง"
การทำความเข้าใจว่าอะไรที่กลุ่มฝูงบิน F-35C เดิมพันเดินหน้าเพื่อความสมบูรณ์และเตรียมการสำหรับการวางกำลังครั้งแรก "เราตื่นเต้นเกี่ยวกับการบูรณาการ และตามที่เราเดินหน้ามันมีความท้าทายบางอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย
เราจะบูรณาการสิ่งนี้อย่างเหมาะสมอย่างไร? เราจะใช้ขีดความสามารถทั้งหมดที่ F-35 มี ดังที่เราสามารถเดินไปข้างหน้ากับกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินแห่งอนาคตอย่างไร?" พล.ร.ต.Kelley กล่าวครับ
Strike Fighter Squadron VFA-101 had just two F-35C Joint Strike Fighter jets remaining on May 23, 2019, when the squadron deactivated.
The two jets flew off the Eglin Air Force Base flight line for the last time and headed for Naval Air Station Lemoore, Calif., where all F-35C activities will be consolidated. USNI News photo.
A U.S. Navy Sailor marshals the last F-35C Lightning II to leave Eglin Air Force Base, Florida, May 23, 2019. Consolidation of F-35C resources to Naval Air Station Lemoore, California,
enables the U.S. Navy to support Fleet Replacement Squadron (FRS) production, operational fleet transitions for both Navy and Marine Corps squadrons, testing and other requirements. US Air Force photo.
An F-35C Lighting II Joint Strike Fighter prepares to launch from USS Abraham Lincoln (CVN-72) on Monday during operations in the Atlantic. USNI News Photo
https://news.usni.org/2019/05/23/navy-deactivates-vfa-101-grim-reapers-consolidates-f-35cs-at-nas-lemoore
กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ยุบหนึ่งในสองฝูงบินฝึกเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35C Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) ของตนเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2019
และจะรวบการปฏิบัติการของเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 ของตนทั้งหมดไว้ที่สถานีอากาศนาวี(NAS: Naval Air Station) Lemoore ในมลรัฐ California
ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-101 "Grim Reapers" ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 2012 ในฐานะฝูงบินเครื่องบินขับไล่ F-35C ฝูงแรกที่มีที่ตั้ง ณ ฐานทัพอากาศ Eglin รวมกับกลุ่มฝูงเครื่องบินขับไล่ F-35A ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force)
ซึ่งไกลออกไปจากการพัฒนาและมีประสบการณ์บางส่วนพร้อมกับเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 F-22 Raptor กองทัพเรือสหรัฐฯตัดสินใจในปี 2018 ว่าฝูงบิน Grim Reapers ซึ่มมีประวัติสืบทอดย้อนไปถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จะถูกยุบฝูงเป็นครั้งที่สาม
ฝูงบิน VFA-101 จะส่งกำลังพลและเครื่องบินของตนไปยังฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-125 "Rough Raiders" ฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบอากาศยาน(FRS: Fleet Replacement Squadron) อีกฝูงที่ถูกจัดตั้ง ณ NAS Lemoore พร้อมแล้วกับกลุ่มฝูงเครื่องบินขับไล่โจมตีที่เหลือ
ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวสองฝูงบินได้ทำงานร่วมกันหลายครั้งเป็นทีมบูรณาการ FRS และนาวาโท Adan Covarrubias ผู้บังคับฝูงบิน VFA-101 ที่จะรับตำแหน่ง ผบ.ฝูงบิน VFA-125 ในเดือนมิถุนายน 2019 กล่าวกับ USNI News หลังพิธียุบฝูงบินว่า
"มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราเคยทำมา เราบูรณาการการฝึกบำรุงรักษา VFA-125 เข้ากับสิ่งที่เราเคยทำ และในทางกลับกันจากฝูงบิน VFA-101 เข้ากับ VFA-125 เราทำทุกอย่างได้ดีที่สุด คิดให้ออกว่าสิ่งได้ทีทำงานได้กับทุกคนและจากนั้นมาพร้อมกับขั้นตอนที่ดีที่สุด" นาวาโท Covarrubias กล่าว
ตัวเขาเองจะเป็นผู้นำฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบฝูงเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และช่างอากาศยานและนักบินจากฝูง VFA-101 เดิมจะมายัง Lemoore กับเขาในจุดประสงค์เพื่อคงองค์ความรู้ของ F-35C ให้กลุ่มฝูงบินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ขอบคุณงานบูรณากาก่อนหน้านี้ "มันเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ เมื่อเราโอนย้ายสู่ VFA-125 ที่นี่ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทุกคนรู้จักกันและกัน ทุกคนเคยทำงานด้วยกันมาก่อนแล้ว เราทำงานกันมาได้ประมาณหนึ่งปีแล้วและเราทำงานร่วมกันได้ดีจริงๆ" นาวาโท Covarrubias กล่าวต่อ
ฝูงบิน VFA-101 ได้ฝึกนักบินคนสุดท้ายในเดือนมีนาคม-เมษายน และได้ส่งเครื่องบินและอุปกรณ์ไปยัง Lemoore อย่างช้าๆ F-35C สองเครื่องที่เหลือในฝูงบินบินออกจาก Eglin AFB เป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2019 เพื่อมุ่งหน้าไป California
นาวาเอก Max McCoy ฝูงบังคับการกองบิน JSF(Joint Strike Fighter Wing) กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2019 ก่อนหน้าพิธียุบฝูงบินว่า การจัดตั้งฝูงบิน F-35C ร่วมกับกองทัพอากาศสหรัฐฯที่ Eglin ก่อนหน้าได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก
กองทัพเรือสหรัฐฯได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับการบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่ยุคที่5ใหม่ และได้จัดตั้งความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญของบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯที่ฐานทัพอากาศ Eglin
แต่นาวาเอก McCoy กล่าวว่าตามที่กองทัพเรือสหรัฐฯได้มุ่งความสนใจไปยังการมีฝูงบินปฏิบัติการฝูงแรก(https://aagth1.blogspot.com/2019/03/f-35c.html) ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-147 "Argonauts" เป็นฝูงบินแรกที่วางกำลังในกองบินเรือบรรทุกเครื่องบิน(CAW: Carrier Air Wing)
จึงได้กลายเป็นที่ชัดเจนว่าในปีที่แล้วว่าการรวบรวมฝูงบินมายัง Lemoore เป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง "มันให้โช้คอัพที่เราจำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่า VFA-147 มีทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อก้าวผ่านการเตรียมการและไปสู่การวางกำลัง การเดินหน้าดังกล่าวเป็นความสำคัญลำดับหนึ่งของผม" น.อ.McCoy กล่าว
นาวาเอก McCoy กล่าวว่า VFA-147 ควรจะเดินหน้าตรงตามแผนปี 2021 ที่จะวางกำลังกับกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินที่2 บนเรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-70 USS Carl Vinson กำลังพลช่างอากาศยานกำลังสร้างความพร้อมของตน แต่ในขั้นนี้ฝูงบินได้รับเพียงนักบินใหม่ 2นายที่ออกจากโรงเรียนการบิน
และกำลังรอนักบินอาวุโสกว่าที่เปลี่ยนแบบจากอากาศยานแบบอื่นมายัง F-35C ดังนั้นการผลิตนักบินที่มีประสิทธิภาพคือสิ่งสำคัญที่จะคงให้ VFA-147 เป็นไปตามกำหนดการ และการยุบ VFA-101 และรวมฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบมาที่ VFA-125 ใน Lemoore จะช่วยให้กองทัพเรือสหรัฐฯทำเช่นนั้นได้
"เมื่อคุณได้รับช่างอากาศยานมากขึ้นและได้รับเครื่องบินมากขึ้น มันจะทำให้คุณมีขีดความสามารถที่จะบินได้หลายเที่ยวบินมากขึ้นในวันที่ทำการบินตามกำหนด ตอนนี้คุณมีเครื่องบินที่สามารถมอบให้นักบินถ้าคุณต้องการ เพราะคุณมีช่างมากคุณสามารถทำงานบำรุงระยะยาวได้เป็นกะหรือหลายวัน
การมีฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบขนาดใหญ่ฝูงเดียวทำให้เรายืดหยุ่นที่จะทำมากขึ้นและเพื่อช่วงเวลาเหล่านั้นที่จะมีความต้องการที่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อคุณแบ่งคนและเครื่องบินให้บางลงมันจะสร้างความท้าทายมากขึ้นและ และมันจะมีไม่มีช่องว่างปิดบังการดำเนินตารางการบิน" น.อ.McCoy อธิบาย
นอกจากนี้สำหรับความสมบูรณ์ของกำลัง F-35C ในระยะยาว "เมื่อเรามีกำลังพลและเครื่องของเราทั้งหมดในที่เดียว มันทำให้เราจะหมุนเวียนสมดุลการทำงานในทะเล-บนฝั่งกับกลาสีและนายทหารและนักบิน
เพราะว่าตอนนี้มันง่ายขึ้นที่หมุนเวียนกำลังพลในการวางกำลังปฏิบัติการในทะเลและการปฏิบัติงานบนฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบหรือกองบินเรือบรรทุกเครื่องบิน" น.อ.McCoy เสริม
นอกเหนือจากประโยชน์ต่อกลุ่มฝูงบิน F-35C เหล่านี้ การรวมทรัพยากรของ F-35C ทั้งหมดมายังฐานบินหลักใน Lemoore เป็นสัญญาณว่า F-35 ได้ถูกบูรณาการเข้าสู่หัวใจของกลุ่มกำลังเครื่องบินขับไล่โจมตีทางเรือ McCoy กล่าาว่าการบูรณาการ F-35 เต็มอัตรากับ
เครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F Super Hornet และเครื่องบินโจมตี Electronic EA-18G Glowler พวกมันจะบินออกจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน เช่นเดียวกับเครื่องบินแจ้งเตือนทางอากาศ E-2D Advanced Hawkeye และเฮลิคอเตอร์ MH-60 ในกองบิน เป็น "สิ่งสำคัญยิ่ง" ก่อนการวางกำลังครั้งแรก
ด้วยกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินที่2 ที่จัดตั้งที่ Lemoore แล้ว ฝูงบิน F/A-18E/F จะสามารถมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับ VFA-147 ในการปฏิบัติประจำวันที่เริ่มต้นในปีนี้เดินหน้าสู่การวางกำลังในปี 2021 นาวาเอก McCoy กล่าวถึง F/A-18 และ F-35 ว่า
"การบูรณาการระหว่างสองระบบเป็นการสร้างชิ้นส่วนเพื่อการบูรณาการของกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินและกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี(CSG: Carrier Strike Group) การแบ่งปันเส้นทางบินเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะเป็นการสมบูรณ์และการเร่งขัดความสามารถของกลุ่มเครื่องบินขับไล่โจมตี"
น.อ.McCoy หวังว่าการเติบโตการแสดงตนของ F-35C ใน Lemoore จะทำให้เครื่องบินใหม่ที่อกแบบเป็นเครื่องบินตรวจับได้ยาก Stealth และมีสีเทาเข้มที่แตกต่างชัดเจนจากเครื่องบินขับไล่อื่นที่จอดบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นสิ่งปกติ
"ไม่แต่เฉพาะดูมันใกล้ๆบนพื้นแต่บินคู่ไปกับมันในอากาศในเหตุการณ์ร่วมกันจะทำให้กำลังพลและผู้คนเห็ฯถึงขีดความสามารถที่แท้จริงของเครื่อง" McCoy กล่าว
ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำให้เสร็จเกี่ยวกับแนวคิดการปฏิบัติการ McCoy กล่าว แต่ "ผมมีมุมมองในแง่ดีมากในประเด็นนี้ว่าผมคิดว่าเรากำลังจะขอบคุณจริงๆที่ F-35 ถูกนำเข้าสู่กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี
และผมคิดว่าไม่เพียงแต่นักบินแต่ผู้บัญชาการสงครามอื่นๆจะขอบคุณอย่างเต็มที่เมื่อขีดความสามารถเช่นเดียวกันเหล่านี้"
พลเรือตรี Roy Kelley ผู้บัญชาการกองกำลังอากาศนาวี Atlantic(Naval Air Force Atlantic) กล่าวในพิธียุบฝูงบินในฐานะทั้ง ผบ.กำลังอากาศนาวีและอดีตนักบินฝูงบิน Grim Reapers กลับไปในสมัยที่ฝูงบินทำการบินด้วยเครื่องบินขับไล่ F-14 Tomcat(VF-101)
ก่อนหน้านี้ พล.ร.ต.Kelley มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสำนักงานบูรณาการฝูงบิน JSF(Joint Strike Fighter Fleet Integration Office) และกล่าวว่าเขายินดีที่ได้เห็นวันนี้มาถึงหลังจากที่ล่าช้ามาบ้างในการวางกำลังประจำการ F-35C
"มันเป็นถนนหินขรุขระไม่เป็นเส้นทางตรงและง่าย เห็นได้ชัดว่าเรากำลังจะมีความท้าทายบางอย่าง กองทัพเรือสหรัฐฯมีความคิดหรือแนวคิดของสิ่งที่เราต้องการสำหรับขีดความสามารถ ดังนั้นชุดคำสั่งที่เราต้องการสำหรับขีดความสามารถเหล่านี้หมายความว่าเราต้องรอสักหน่อย"
พล.ร.ต.Kelley กล่าวหลังพิธีอ้างถึงชุดคำสั่งมาตรฐาน Block 3F ที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) เดินหน้าไปก่อนโดยปราศจากชุดคำสั่งรุ่นนี้บนเครื่องบินขับไล่ F-35B ของตน แต่กองทัพเรือสหรัฐฯรอสำหรับ F-35C ของตน
"ความท้าทาย(ล่าช้า) นั้นตามที่เรามองที่คลังอากาศยานที่เรามีเครื่องบินขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน ดังนั้นเราเดินหน้าจะซื้อ Super Hornet และผู้คนจำนวนมากถามถึงเว่าทำไมเราถึงทำเช่นนั้น เราว่าเราต้องการการผสมเราต้องการขีดความสามารถนั้นและเรามีกับ Super Hornet แล้ว
เราต้องการขีดความสามารถเครื่องบินขับไล่ยุคที่5ในอนาคต เราต้องการเห็นพวกมันทำงานร่วมกัน แนวคิดที่เรามีนั้น F-35 จะเป็น quarterback ที่แท้จริงสำหรับกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยระบบที่มันมีประจำเครื่อง" พล.ร.ต.Kelley กล่าวต่อ
"การหลอมรวมขีดความสามารถของการนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นพวกมันจะนำหูและตามและผู้อำนวยการตามที่เราเดินหน้ากองบินเรือบรรทุกเครื่องบินมุ่งตรงไปเป็ฯเรื่องสำคัญ" พล.ร.ต.Kelley เสริม
เมื่อถามถึงว่าขีดความสามารถจอง F-35C ที่ทำให้มีค่าที่กองทัพเรือสหรัฐฯจะรอ พล.ร.ต.Kelley ตอบว่า "ใช่! มันไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย"
ระหว่างพิธียุบฝูงบิน พล.ร.ต.Kelley ได้กล่าวถึงเครื่องบินขับไล่ยุคที่5ของคู่แข่งอย่างเครื่องบินขับไล่ Su-57E รัสเซียว่า "อาจจะไม่มีคุณภาพและขีดความสามารถของสิ่งที่คุณเห็นหลังคุณ(กับ F-35C) แต่มันยังคงเป็นภัยคุกคาม"
และมันจะมีความแพร่หลายมากขึ้นตามที่รัสเซียมองที่จะขาย Su-57E แก่นานาชาติ(https://aagth1.blogspot.com/2019/03/su-57.html) เช่นเดียวกับเครื่องบินขับไล่ J-20 จีนที่มีระบบตรวจจับทรงพลัง, อาวุธปล่อยนำวิถีระยะไกล และการออกแบบ Stealth
"กองทัพเรือสหรัฐฯและสหรัฐฯเราจำเป็นต้องมีเครื่องบินขับไล่นี้เดี๋ยวนี้ และความพยายามของคุณคือเครื่องมือที่จะนำเราไปสู่เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ เพราะสำหรับเวลาแรกในทศวรรษเราจะเห็นการเปลี่ยนผ่านสมดุลอำนาจ
ตามที่จีนและรัสเซียปรากฏว่ามุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก" พล.ร.ต.Kelley กล่าวต่อกำลังพลฝูงบิน VFA-101 ในพิธี โดยเสริมว่า "F-35 คือเครื่องบินที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมอย่างแท้จริง"
การทำความเข้าใจว่าอะไรที่กลุ่มฝูงบิน F-35C เดิมพันเดินหน้าเพื่อความสมบูรณ์และเตรียมการสำหรับการวางกำลังครั้งแรก "เราตื่นเต้นเกี่ยวกับการบูรณาการ และตามที่เราเดินหน้ามันมีความท้าทายบางอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย
เราจะบูรณาการสิ่งนี้อย่างเหมาะสมอย่างไร? เราจะใช้ขีดความสามารถทั้งหมดที่ F-35 มี ดังที่เราสามารถเดินไปข้างหน้ากับกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินแห่งอนาคตอย่างไร?" พล.ร.ต.Kelley กล่าวครับ
วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
Damen เนเธอร์แลนด์ปล่อยเรือคอร์เวตลำแรกของปากีสถานลงน้ำที่โรมาเนีย
Damen launches first of two corvettes for Pakistan Navy
The first of two corvettes on order for the PN was launched on 17 May at the facilities of Dutch shipbuilder Damen in Galati, Romania. Source: Pakistan Navy
https://www.janes.com/article/88644/damen-launches-first-of-two-corvettes-for-pakistan-navy
เรือคอร์เวตลำแรกจากสองลำที่ได้รับการสั่งจัดหาจากกองทัพเรือปากีสถาน(PN: Pakistan Navy) ได้ถูกทำพิธีปล่อยลงน้ำ ณ อู่ต่อเรือของบริษัท Damen เนเธอร์แลนด์ ใน Galati โรมาเนีย
กองทัพเรือปากีสถานได้ประกาศใน Facebook page ของตนว่าเรือคอร์เวตขนาด 2,300ton ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกอธิบายว่าเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง(OPV: Offshore Patrol Vessel) ได้ถูกปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2019
พิธีปล่อยเรือลงน้ำของเรือคอร์เวตใหม่ของกองทัพเรือปากีสถานถูกจัดขึ้น ณ อู่เรือ Damen ดัตช์ในโรมาเนียโดยมี พลเรือโท Abdul Aleem และแขกผู้มีเกียรติจากภาคส่วนต่างๆร่วมพิธี
สัญญาการต่อเรือคอร์เวต 2ลำได้รับการลงนามในเดือนมิถุนายน 2017 โดยเรือลำแรกคาดว่าจะเข้าประจำการได้ภายในสิ้นปี 2019 และเรือลำที่สองมีกำหนดจะส่งมอบในกลางปี 2020 ตามข้อมูลจากกองทัพเรือปากีสถาน
พล.ร.ท.Aleem ได้กล่าวในระหว่างพิธีปล่อยเรือลงน้ำว่าเรือคอร์เวตเหล่านี้ "จะทำหน้าที่เป็นตัวทวีกำลังรบในการขยายขีดความสามารถของกองทัพเรือปากีสถานในการปกป้องพรมแดนทางทะเล
และจะมอบความยืดหยุ่นที่มากขึ้นในการดำเนินการการริ่เริ่มของกองทัพเรือปากีสถานในการลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยทางทะเลภูมิภาค(Regional Maritime Security Patrols) อย่างอิสระในมหาสมุทรอินเดีย"
เรือคอร์เวตพหุภารกิจนี้เคยได้รับการอธิบายโดยกองทัพเรือปากีสถานว่าเป็น "เรือที่ใช้วิทยาการล้ำยุค" ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับปฏิบัติการต่อต้านเรือผิวน้ำ, ต่อต้านอากาศยาน และการรักษาความปลอดภัยทางทะเล
โดยเรือคอร์เวตชั้นใหม่สองลำของกองทัพเรือปากีสถานมีพื้นฐานจากแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง Damen OPV 1900 โดยได้รับการปรับแต่งตามความต้องการของกองทัพเรือปากีสถาน
เรือคอร์เวตใหม่ของกองทัพเรือปากีสถานแต่ละลำมีลานจอดเฮคอปเตอร์ท้ายเรือเพื่ออำนวยความสะดวกในภารกิจค้นหาและกู้ภัย เช่นเดียวกับปฏิบัติการตรวจการณ์และรวบรวมข่าวกรอง
อย่างไรก็ตามไม่มีรายละเอียดใดๆที่เปิดเผยเกี่ยวกับระบบอุปกรณ์หรืออาวุธประจำเรือที่จะได้รับการติดตั้งบนเรือคอร์เวตชั้นนี้ออกมาในขณะนี้ครับ
The first of two corvettes on order for the PN was launched on 17 May at the facilities of Dutch shipbuilder Damen in Galati, Romania. Source: Pakistan Navy
https://www.janes.com/article/88644/damen-launches-first-of-two-corvettes-for-pakistan-navy
เรือคอร์เวตลำแรกจากสองลำที่ได้รับการสั่งจัดหาจากกองทัพเรือปากีสถาน(PN: Pakistan Navy) ได้ถูกทำพิธีปล่อยลงน้ำ ณ อู่ต่อเรือของบริษัท Damen เนเธอร์แลนด์ ใน Galati โรมาเนีย
กองทัพเรือปากีสถานได้ประกาศใน Facebook page ของตนว่าเรือคอร์เวตขนาด 2,300ton ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกอธิบายว่าเป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง(OPV: Offshore Patrol Vessel) ได้ถูกปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2019
พิธีปล่อยเรือลงน้ำของเรือคอร์เวตใหม่ของกองทัพเรือปากีสถานถูกจัดขึ้น ณ อู่เรือ Damen ดัตช์ในโรมาเนียโดยมี พลเรือโท Abdul Aleem และแขกผู้มีเกียรติจากภาคส่วนต่างๆร่วมพิธี
สัญญาการต่อเรือคอร์เวต 2ลำได้รับการลงนามในเดือนมิถุนายน 2017 โดยเรือลำแรกคาดว่าจะเข้าประจำการได้ภายในสิ้นปี 2019 และเรือลำที่สองมีกำหนดจะส่งมอบในกลางปี 2020 ตามข้อมูลจากกองทัพเรือปากีสถาน
พล.ร.ท.Aleem ได้กล่าวในระหว่างพิธีปล่อยเรือลงน้ำว่าเรือคอร์เวตเหล่านี้ "จะทำหน้าที่เป็นตัวทวีกำลังรบในการขยายขีดความสามารถของกองทัพเรือปากีสถานในการปกป้องพรมแดนทางทะเล
และจะมอบความยืดหยุ่นที่มากขึ้นในการดำเนินการการริ่เริ่มของกองทัพเรือปากีสถานในการลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยทางทะเลภูมิภาค(Regional Maritime Security Patrols) อย่างอิสระในมหาสมุทรอินเดีย"
เรือคอร์เวตพหุภารกิจนี้เคยได้รับการอธิบายโดยกองทัพเรือปากีสถานว่าเป็น "เรือที่ใช้วิทยาการล้ำยุค" ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับปฏิบัติการต่อต้านเรือผิวน้ำ, ต่อต้านอากาศยาน และการรักษาความปลอดภัยทางทะเล
โดยเรือคอร์เวตชั้นใหม่สองลำของกองทัพเรือปากีสถานมีพื้นฐานจากแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง Damen OPV 1900 โดยได้รับการปรับแต่งตามความต้องการของกองทัพเรือปากีสถาน
เรือคอร์เวตใหม่ของกองทัพเรือปากีสถานแต่ละลำมีลานจอดเฮคอปเตอร์ท้ายเรือเพื่ออำนวยความสะดวกในภารกิจค้นหาและกู้ภัย เช่นเดียวกับปฏิบัติการตรวจการณ์และรวบรวมข่าวกรอง
อย่างไรก็ตามไม่มีรายละเอียดใดๆที่เปิดเผยเกี่ยวกับระบบอุปกรณ์หรืออาวุธประจำเรือที่จะได้รับการติดตั้งบนเรือคอร์เวตชั้นนี้ออกมาในขณะนี้ครับ
วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
กองทัพบกไทยตรวจรับรถสายพานกู้ซ่อมรถถังหลัก VT4
Royal Thai Army Ordnance Department committee inspect Armoured Recovery Vehicle (ARV) variant of Chinese NORINCO VT4 main battle tanks at 6th Cavalry Battalion, 6th Cavalry Regiment in Khon Kaen, Thailand, 23 May 2019.
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 เวลา 1100 กองพันทหารม้าที่ 6 กรมทหารม้าที่ 6 ในพระองค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ โดย พันโท อวยชัย เอกะกุล ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 6 และคณะนายทหาร
ให้การต้อนรับ พลตรี อภิชาติ อาจสันเทียะ ผู้บัญชาการ ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก พร้อมคณะ ซึ่งเดินทางมาตรวจรับรถกู้ VT4 พร้อมรับชมการสาธิตในการใช้รถกู้เมื่อมีเหตุ
ณ กองพันทหารม้าที่ 6 กรมทหารม้าที่ 6 ในพระองค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ค่ายศรีพัชรินทร ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
https://www.facebook.com/Cavalry1006/posts/2343258239074041
รถสายพานกู้ซ่อมที่มีพื้นฐานใช้รถแคร่ฐานร่วมกับรถถังหลัก VT4 เป็นรถกู้ซ่อมที่อยู่ในส่วนหนึ่งของการจัดหารถถังหลัก VT4 จาก NORINCO รัฐวิสาหกิจผู้ผลิตอาวุธของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กองทัพบกไทยได้รับมอบระยะ๑ จำนวน ๒๘คัน และระยะที่๒ จำนวน ๑๐คัน รวมแล้ว ๓๘คัน
และกองทัพบกไทยมีแผนที่จะจัดหา ถ.หลัก VT4 ระยะที่๓ อีก ๑๔คัน(https://aagth1.blogspot.com/2018/12/vt4.html) รวมทั้งหมด ๕๒คัน ซึ่งในจำนวนรถทั้งหมดนี้จะรวมรถสายพานกู้ซ่อม VT4 ARV อย่างน้อย ๒คันด้วย
โดยรถถังหลัก VT4 ได้ถูกนำเข้าประจำการในสองกองพันทหารม้ารถถัง คือ กองพันทหารม้าที่๖ ขอนแก่น และ กองพันทหารม้าที่๒๑ ร้อยเอ็ด กรมทหารม้าที่๖ กองพลทหารม้าที่๓ คู่ขนานกันตามแผนการเสริมสร้างกำลังเหล่าทหารม้าในพื้นที่กองทัพภาคที่๒ ทภ.๒
หลังจากที่กองทัพบกไทยได้รับมอบรถถังหลัก Oplot-T ยูเครนจำนวน ๔๙คัน ที่รวมรถสายพานกู้ซ่อม Atlet จำนวน ๒คันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจัดหาเข้าประจำการ ณ กองพันทหารม้าที่๒ กองพลทหารราบที่๒ รักษาพระองค์แล้วนั้น(https://aagth1.blogspot.com/2018/04/atlet.html)
เป็นที่เข้าใจว่าในส่วนของโครงการจัดหารถถังหลัก VT4 กองทัพบกไทยยังมีความต้องการรถถังหลักอีกอย่างน้อย ๑๐๐คัน เพื่อทดแทนรถถังเบา M41A3 สหรัฐฯที่ประจำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๕(1962) ที่กำลังอยู่ระหว่างการทยอยปลดประจำการจาก พัน.ถ.
ซึ่งเฉพาะในส่วนหน่วยขึ้นตรงของ พล.ม.๓ คือ กองพันทหารม้าที่๘ นครราชสีมา กรมทหารม้าที่๗ ก็ได้รับมอบรถถังหลัก M48A5 จำนวน ๓๔คัน ที่โอนจาก ม.พัน.๒ พล.ร.๒ รอ. ที่ได้รับมอบ ถ.หลัก Oplot-T ครบตามอัตราไปแล้ว
รวมถึงในส่วนกองทัพภาคที่๓ ทภ.๓ ที่ กองพันทหารม้าที่๙ กองพลทหารราบที่๔ ได้รับมอบรถถังเบา ถ.เบา.๓๒ Stingray จาก ม.๖ พัน.๖ และกองทัพภาคที่๔ ทภ.๔ กองพันทหารม้าที่๑๖ กองพลทหารราบที่๕ ที่ได้รับมอบ ถ.หลัก M48A5 จาก ม.๖ พัน.๒๑ เพื่อทดแทน ถ.เบา M41A3
ตั้งแต่นำเข้าประจำการรถถังหลัก VT4 ได้แสดงความพร้อมปฏิบัติการรบในหลายการฝึกมาแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2019/04/vt4.html) และมีแผนการจัดตั้งโรงงานศูนย์ซ่อมบำรุงที่ขอนแก่นเพื่อสนับสนุนการใช้งานในระยะยาว(https://aagth1.blogspot.com/2018/06/vt4-vn1.html)
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหน่วยผู้ใช้งานจะมีความพอใจในสมรรถนะของรถ แต่ก็มีเสียงสะท้อนกลับมาว่าจีนไม่จริงใจที่จะถ่ายทอด Technology ระบบหรืออุปกรณ์สำคัญ เช่น เครื่องยนต์ ในเชิงลึกให้แก่ไทย ซึ่งดูจะเป็นข้อต่อรองที่ทางจีนจะเข้ามาควบคุมศูนย์ซ่อมบำรุงในไทยโดยใช้คนของตนเองครับ
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
เยอรมนีปรับปรุงเครื่องฝึกจำลองการบินเครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado
Simulator update to boost German Tornado fleet
Germany is to significantly enhance the capability of its simulator-based training for the Panavia Tornado, as it looks to continue operations with the strike and reconnaissance type until at least 2030.
https://www.flightglobal.com/news/articles/simulator-update-to-boost-german-tornado-fleet-458403/
กองทัพอากาศเยอรมนี(Luftwaffe) จะขยายขีดความสามารถที่สำคัญของเครื่องจำลองการบินสำหรับการฝึกเครื่องบินขับไล่โจมตี Panavia Tornado
ตามที่กองทัพอากาศเยอรมนีมองที่จะคงประจำการเครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado IDS และเครื่องบินโจมตีสงคราม Electronic/ลาดตระเวน Tornado ECR ของตนจนถึงอย่างน้อยปี 2030
กองทัพอากาศเยอรมนีมีเครื่องจำลองการบินเพียง 2ระบบเพื่อสนับสนุนฝูงบินเครื่องบินขับไล่ Tornado ที่มีมากกว่า 80เครื่อง โดยแต่ละระบบถูกติดตั้ง ณ ฐานทัพอากาศ Buchel และฐานทัพอากาศ Schleswig-Jagel
เครื่องฝึกจำลองการบิน Tornado เครื่องที่3 กำลังอยู่ในขั้นตอนการขนส่งกลับมายังเยอรมนี หลังสิ้นสุดการนำเสนอการฝึกระยะยาว ณ ฐานทัพอากาศ Holloman กองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ในมลรัฐ New Mexico
บริษัท CAE แคนาดา-สหรัฐฯผู้ส่งมอบระบบการฝึกกำลังทำงานเดินปรับปรุงความทันสมัยของเครื่องจำลองการบิน ซึ่งล้าสมัยตามหลังเครื่องบิน Tornado IDS และ Tornado ECR รุ่นมาตรฐานที่ประจำการในกองทัพอากาศเยอรมนีปัจจุบัน
งานการพัฒนาความก้าวหน้าด้วยการใช้ชุดอุปกรณ์ทดสอบและระบบจำลองรักษาความปลอดภัยทางทหารควบคู่กันไปติดตั้ง ณ ศูนย์ของบริษัท CAE ใน Stolberg เยอรมนี
Michael Sauer ตัวแทนฝ่าบริการลูกค้าของ CAE สำหรับเครื่องจำลองการบิน Tornado ของกองทัพอากาศเยอรมนีย้ำว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำภาษาชุดคำสั่งใหม่มาใช้
รวมไปกับการปรับปรุงชุดคำสั่งและส่งอุปกรณ์ รวมถึงความเข้ากันได้กับระบบ Computer ใหม่มาแทนที่อุปกรณ์ยุคปี 1990s เดิม
เครื่องจำลองการบินสำหรับเครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado ของกองทัพอากาศเยอรมนีสามารถย้อนกลับไปถึงปี 1982 ซึ่งเป็นช่วงที่อุปกรณ์ประกอบเหล่านี้ในขั้นต้นได้ถูกนำมาใช้เฉพาะเพื่อช่วยเหลือขั้นตอนการฝึกเท่านั้น
ขณะที่พวกมันได้รับการปรับปรุงภายหลังโดยเปลี่ยนระบบการสร้างภาพในครอบโดม 360องศา และขีดความสามารถที่เพิ่มสมรรถนะกำลังคอมพิวเตอร์ Sauer ชี้ให้เห็นถึงการขาดความพร้อมเพรียงกันกับฝูงบินในแนวหน้า
"ขณะนี้เราสามารถทำการฝึกระบบสูงได้มากขึ้น แต่เราต้องการที่จะทำให้มันทำได้มากยิ่งขึ้นกว่านี้ไปอีก" Sauer กล่าว ภายใต้ชุดสัญญากับบริษัท CAE เครื่องจำลองการบิน Tornado ของกองทัพอากาศเยอรมนี 3ระบบ จะได้รับการปรับปรุง
เพื่อสนับสนุนการฝึกการใช้ระเบิดนำวิถี Laser และกระเปาะชี้เป้าหมาย ร่วมไปกับกล้องมองกลางคืน และการปรับปรุงเครือข่ายการสื่อสาร สถานีปฏิบัติการผู้ฝึกสอนยังจะได้รับการเพิ่มขยายขีดความสามารถคุณภาพการฝึกเพิ่มเติมด้วย
เครื่องฝึกจำลองการบินที่ Buchel จะถูกนำออกจากการใช้งานเป็นเวลาหกเดือนตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วมปี 2019 เพื่อได้รับชุดการปรับปรุงแบบเต็มรูปแบบ Sauer กล่าว
เครื่องฝึกจำลองการบินที่ Schleswig-Jagel จะได้รับการดำเนินการเช่นเดียวกันตามเครื่องตัวอย่างที่สหรัฐฯเดิม ซึ่งจะกลับนำมาใช้งานใหม่ในปี 2021 ศูนย์เครื่องจำลองการบินทั้งสองแห่งจะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายร่วมกันเพื่อการฝึกศึกษาร่วมของกำลังพล
หลักสูตรการฝึกเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado ใหม่ของกองทัพอากาศเยอรมนีปัจจุบันต้องการชั่วโมงบินสะสมของนักบิน 158ชั่วโมง โดย 83ชั่วโมงหรือร้อยละ53 ของเวลาปฏิบัติการฝึกจะดำเนินการในเครื่องจำลองการบิน
สำหรับเจ้าหน้าที่ระบบอาวุธ(WSO: Weapons Systems Officer) ต้องการชั่วโมงบินสะสม 145ชั่วโมง รวม 83ชั่วโมงของอุปกรณ์ประกอบการฝึก คิดเป็นร้อยละ57 ของเวลาในหลักสูตรครับ
Germany is to significantly enhance the capability of its simulator-based training for the Panavia Tornado, as it looks to continue operations with the strike and reconnaissance type until at least 2030.
https://www.flightglobal.com/news/articles/simulator-update-to-boost-german-tornado-fleet-458403/
กองทัพอากาศเยอรมนี(Luftwaffe) จะขยายขีดความสามารถที่สำคัญของเครื่องจำลองการบินสำหรับการฝึกเครื่องบินขับไล่โจมตี Panavia Tornado
ตามที่กองทัพอากาศเยอรมนีมองที่จะคงประจำการเครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado IDS และเครื่องบินโจมตีสงคราม Electronic/ลาดตระเวน Tornado ECR ของตนจนถึงอย่างน้อยปี 2030
กองทัพอากาศเยอรมนีมีเครื่องจำลองการบินเพียง 2ระบบเพื่อสนับสนุนฝูงบินเครื่องบินขับไล่ Tornado ที่มีมากกว่า 80เครื่อง โดยแต่ละระบบถูกติดตั้ง ณ ฐานทัพอากาศ Buchel และฐานทัพอากาศ Schleswig-Jagel
เครื่องฝึกจำลองการบิน Tornado เครื่องที่3 กำลังอยู่ในขั้นตอนการขนส่งกลับมายังเยอรมนี หลังสิ้นสุดการนำเสนอการฝึกระยะยาว ณ ฐานทัพอากาศ Holloman กองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ในมลรัฐ New Mexico
บริษัท CAE แคนาดา-สหรัฐฯผู้ส่งมอบระบบการฝึกกำลังทำงานเดินปรับปรุงความทันสมัยของเครื่องจำลองการบิน ซึ่งล้าสมัยตามหลังเครื่องบิน Tornado IDS และ Tornado ECR รุ่นมาตรฐานที่ประจำการในกองทัพอากาศเยอรมนีปัจจุบัน
งานการพัฒนาความก้าวหน้าด้วยการใช้ชุดอุปกรณ์ทดสอบและระบบจำลองรักษาความปลอดภัยทางทหารควบคู่กันไปติดตั้ง ณ ศูนย์ของบริษัท CAE ใน Stolberg เยอรมนี
Michael Sauer ตัวแทนฝ่าบริการลูกค้าของ CAE สำหรับเครื่องจำลองการบิน Tornado ของกองทัพอากาศเยอรมนีย้ำว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำภาษาชุดคำสั่งใหม่มาใช้
รวมไปกับการปรับปรุงชุดคำสั่งและส่งอุปกรณ์ รวมถึงความเข้ากันได้กับระบบ Computer ใหม่มาแทนที่อุปกรณ์ยุคปี 1990s เดิม
เครื่องจำลองการบินสำหรับเครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado ของกองทัพอากาศเยอรมนีสามารถย้อนกลับไปถึงปี 1982 ซึ่งเป็นช่วงที่อุปกรณ์ประกอบเหล่านี้ในขั้นต้นได้ถูกนำมาใช้เฉพาะเพื่อช่วยเหลือขั้นตอนการฝึกเท่านั้น
ขณะที่พวกมันได้รับการปรับปรุงภายหลังโดยเปลี่ยนระบบการสร้างภาพในครอบโดม 360องศา และขีดความสามารถที่เพิ่มสมรรถนะกำลังคอมพิวเตอร์ Sauer ชี้ให้เห็นถึงการขาดความพร้อมเพรียงกันกับฝูงบินในแนวหน้า
"ขณะนี้เราสามารถทำการฝึกระบบสูงได้มากขึ้น แต่เราต้องการที่จะทำให้มันทำได้มากยิ่งขึ้นกว่านี้ไปอีก" Sauer กล่าว ภายใต้ชุดสัญญากับบริษัท CAE เครื่องจำลองการบิน Tornado ของกองทัพอากาศเยอรมนี 3ระบบ จะได้รับการปรับปรุง
เพื่อสนับสนุนการฝึกการใช้ระเบิดนำวิถี Laser และกระเปาะชี้เป้าหมาย ร่วมไปกับกล้องมองกลางคืน และการปรับปรุงเครือข่ายการสื่อสาร สถานีปฏิบัติการผู้ฝึกสอนยังจะได้รับการเพิ่มขยายขีดความสามารถคุณภาพการฝึกเพิ่มเติมด้วย
เครื่องฝึกจำลองการบินที่ Buchel จะถูกนำออกจากการใช้งานเป็นเวลาหกเดือนตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วมปี 2019 เพื่อได้รับชุดการปรับปรุงแบบเต็มรูปแบบ Sauer กล่าว
เครื่องฝึกจำลองการบินที่ Schleswig-Jagel จะได้รับการดำเนินการเช่นเดียวกันตามเครื่องตัวอย่างที่สหรัฐฯเดิม ซึ่งจะกลับนำมาใช้งานใหม่ในปี 2021 ศูนย์เครื่องจำลองการบินทั้งสองแห่งจะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายร่วมกันเพื่อการฝึกศึกษาร่วมของกำลังพล
หลักสูตรการฝึกเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบินขับไล่โจมตี Tornado ใหม่ของกองทัพอากาศเยอรมนีปัจจุบันต้องการชั่วโมงบินสะสมของนักบิน 158ชั่วโมง โดย 83ชั่วโมงหรือร้อยละ53 ของเวลาปฏิบัติการฝึกจะดำเนินการในเครื่องจำลองการบิน
สำหรับเจ้าหน้าที่ระบบอาวุธ(WSO: Weapons Systems Officer) ต้องการชั่วโมงบินสะสม 145ชั่วโมง รวม 83ชั่วโมงของอุปกรณ์ประกอบการฝึก คิดเป็นร้อยละ57 ของเวลาในหลักสูตรครับ
วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
Bell V-280 Valor สหรัฐฯเสร็จสิ้นการสาธิตความคล่องแคล่วทางการบินที่ความเร็วต่ำ
Bell V-280 completes low-speed manoeuvre demo
Bell’s V-280 Valor tiltrotor completed a series of low-speed pitch, roll, and yaw manoeuvres at the company’s Flight Research Center in Arlington, Texas in early May.
https://www.flightglobal.com/news/articles/bell-v-280-completes-low-speed-manoeuvre-demo-458335/
อากาศยานใบพัดกระดก Bell V-280 Valor ได้เสร็จสิ้นชุดการทดสอบความคล่องแคล่วทางการบินทั้งการเชิดหัวขึ้นลง, การหมุนตัวซ้ายขวา และการเลี้ยวส่ายซ้ายขวา ด้วยความเร็วต่ำ
ชุดการทดสอบการบินได้ดำเนินการ ณ ศูนย์วิจัยการบิน(Flight Research Center) ของบริษัท Bell สหรัฐฯ ใน Arlington มลรัฐฯ Texas เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมา
บริษัท Bell ได้กล่าวว่าการบินสาธิตของอากาศยานใบพัดกระดก V-280 Valor ได้แสดงให้เห็นว่าเครื่องตรงตามความต้องการการควบคุมคุณภาพ Level 1 ของกองทัพบกสหรัฐฯ(US Army)
Bell เชื่อว่าคุณลักษณะต่างๆเหล่านี้จะเป็นการสะท้อนอย่างคราวๆว่าอะไรที่กองทัพบกสหรัฐฯต้องการจากโครงการอากาศยานจู่โจมระยะไกลอนาคต(FLRAA: Future Long-Range Assault Aircraft) ของตน(https://aagth1.blogspot.com/2019/04/flraa.html)
"มันให้ความว่องไวที่ดีกว่าแก่คุณ ณ X หรือ ณ พื้นที่ลงจอด หลักสำคัญของ Level 1 หมายความว่าเราทำได้ดีหรือดีกว่าเฮลิคอปเตอร์ H-60 Black Hawk" Ryan Ehinger ผู้จัดการโครงการ V-280 ของ Bell กล่าว
เพื่อเพิ่มพูนการควบคุมที่ความเร็วต่ำ Bell ได้นำบทเรียนที่ได้รับจากการออกแบบอากาศใบพัดกระดก V-22 Osprey ของตนที่ถูกนำเข้าประจำการแล้ว
"มันมีหลักวิธีการควบคุมที่เหมือนกันและเป็นวิธีการที่อากาศยานใบพัดกระดกดำเนินความคล่องแคล่วทางการบิน แต่เราได้เปิดยกปีกเพิ่มแรงยก(Flap) และแรงบิดชั่วคราวเพื่อทำให้มีความว่องไวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย" Ehinger กล่าว
Bell กล่าวว่าทุกอย่างในการทดสอบการบินจะตรงกับการคาดการณ์ในแบบจำลองของมัน บริษัทมีแผนจะเดินหน้าการทดสอบอากาศใบพัดกระดก สังเกตว่าหลังตรงเป้าหมายความคล่องแคล่วการเคลื่อนที่ มีการทำการบินมากกว่า 5คั้งเป็นเวลา 3วันในเดือนพฤษภาคม 2019
"บางจุดที่เรามุ่งเน้นสำหรับเราคือการเข้าสู่ความคล่องแคล่วในการปฏิบัติการมากขึ้น" Ehinger กล่าวโดยย้ำว่าการทดสอบล่าสุดที่ V-280 ได้เปิดประตูและแขวนเชือกส่งลง Fast Rope และติดตั้งระบบตรวจจับ PDAS(Pilotage Distributed Aperture Sensor) ของบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯ
"เรากำลังเดินหน้าขยายบางพื้นที่เหล่านี้ และเรายังกำลังมองไปที่การทำการสาธิตการบินแบบอัตโนมัติบางส่วนภายในปีนี้ด้วย" Ehinger เสริม
ในเดือนมีนาคม 2019 Bell สามารถนำ V-280 ทำความเร็วได้ที่ 300knots ในการเบินทดสอบ เป็นการทำลายสถิตก่อนหน้าที่เครื่องสามารถทำความเร็วได้ที่ 280knots
ตั้งแต่ทำการบินครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2017(https://aagth1.blogspot.com/2017/12/bell-v-280-valor.html) V-280 Valor ได้ทำการบินเป็นเวลามากกว่า 110ชั่วโมงบิน และมากกว่า 225ชั่วโมงที่เครื่องเดินการหมุนใบพัดและรวมการทดสอบภาคพื้นดินครับ
Bell’s V-280 Valor tiltrotor completed a series of low-speed pitch, roll, and yaw manoeuvres at the company’s Flight Research Center in Arlington, Texas in early May.
https://www.flightglobal.com/news/articles/bell-v-280-completes-low-speed-manoeuvre-demo-458335/
อากาศยานใบพัดกระดก Bell V-280 Valor ได้เสร็จสิ้นชุดการทดสอบความคล่องแคล่วทางการบินทั้งการเชิดหัวขึ้นลง, การหมุนตัวซ้ายขวา และการเลี้ยวส่ายซ้ายขวา ด้วยความเร็วต่ำ
ชุดการทดสอบการบินได้ดำเนินการ ณ ศูนย์วิจัยการบิน(Flight Research Center) ของบริษัท Bell สหรัฐฯ ใน Arlington มลรัฐฯ Texas เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมา
บริษัท Bell ได้กล่าวว่าการบินสาธิตของอากาศยานใบพัดกระดก V-280 Valor ได้แสดงให้เห็นว่าเครื่องตรงตามความต้องการการควบคุมคุณภาพ Level 1 ของกองทัพบกสหรัฐฯ(US Army)
Bell เชื่อว่าคุณลักษณะต่างๆเหล่านี้จะเป็นการสะท้อนอย่างคราวๆว่าอะไรที่กองทัพบกสหรัฐฯต้องการจากโครงการอากาศยานจู่โจมระยะไกลอนาคต(FLRAA: Future Long-Range Assault Aircraft) ของตน(https://aagth1.blogspot.com/2019/04/flraa.html)
"มันให้ความว่องไวที่ดีกว่าแก่คุณ ณ X หรือ ณ พื้นที่ลงจอด หลักสำคัญของ Level 1 หมายความว่าเราทำได้ดีหรือดีกว่าเฮลิคอปเตอร์ H-60 Black Hawk" Ryan Ehinger ผู้จัดการโครงการ V-280 ของ Bell กล่าว
เพื่อเพิ่มพูนการควบคุมที่ความเร็วต่ำ Bell ได้นำบทเรียนที่ได้รับจากการออกแบบอากาศใบพัดกระดก V-22 Osprey ของตนที่ถูกนำเข้าประจำการแล้ว
"มันมีหลักวิธีการควบคุมที่เหมือนกันและเป็นวิธีการที่อากาศยานใบพัดกระดกดำเนินความคล่องแคล่วทางการบิน แต่เราได้เปิดยกปีกเพิ่มแรงยก(Flap) และแรงบิดชั่วคราวเพื่อทำให้มีความว่องไวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย" Ehinger กล่าว
Bell กล่าวว่าทุกอย่างในการทดสอบการบินจะตรงกับการคาดการณ์ในแบบจำลองของมัน บริษัทมีแผนจะเดินหน้าการทดสอบอากาศใบพัดกระดก สังเกตว่าหลังตรงเป้าหมายความคล่องแคล่วการเคลื่อนที่ มีการทำการบินมากกว่า 5คั้งเป็นเวลา 3วันในเดือนพฤษภาคม 2019
"บางจุดที่เรามุ่งเน้นสำหรับเราคือการเข้าสู่ความคล่องแคล่วในการปฏิบัติการมากขึ้น" Ehinger กล่าวโดยย้ำว่าการทดสอบล่าสุดที่ V-280 ได้เปิดประตูและแขวนเชือกส่งลง Fast Rope และติดตั้งระบบตรวจจับ PDAS(Pilotage Distributed Aperture Sensor) ของบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯ
"เรากำลังเดินหน้าขยายบางพื้นที่เหล่านี้ และเรายังกำลังมองไปที่การทำการสาธิตการบินแบบอัตโนมัติบางส่วนภายในปีนี้ด้วย" Ehinger เสริม
ในเดือนมีนาคม 2019 Bell สามารถนำ V-280 ทำความเร็วได้ที่ 300knots ในการเบินทดสอบ เป็นการทำลายสถิตก่อนหน้าที่เครื่องสามารถทำความเร็วได้ที่ 280knots
ตั้งแต่ทำการบินครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2017(https://aagth1.blogspot.com/2017/12/bell-v-280-valor.html) V-280 Valor ได้ทำการบินเป็นเวลามากกว่า 110ชั่วโมงบิน และมากกว่า 225ชั่วโมงที่เครื่องเดินการหมุนใบพัดและรวมการทดสอบภาคพื้นดินครับ
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
รัสเซียพิจารณาการเปลี่ยนขนาดปืนของยานเกราะจาก 30mm เป็น 57mm
Russia’s top brass considers switching armor to 57mm caliber firepower
Today, the 30mm caliber gun is the basic diameter of firepower for Russia’s light-and medium-armored vehicles
http://tass.com/defense/1059222
https://saidpvo.livejournal.com
Tecmash บริษัทวิศวกรรมรัสเซีย และ Rostec กลุ่มรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมความมั่นคงรัสเซีย กำลังพิจารณาการเปลี่ยนปืนใหญ่กลที่ใช้ระบบกระสุนขนาด 30mm ด้วยปืนใหญ่กลกระสุนขนาด 57mm ในยานเกราะของกองทัพรัสเซีย
กระทรวงกลาโหมรัสเซียยังกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ รองผู้อำนวยการบริหารของ Tecmash รัสเซีย Alexander Kochkin กล่าวกับ TASS เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2019
"เรากำลังดำเนินการประเมินร่วมกันกับ Rostec State Corporation และลูกค้าที่เป็นตัวแทนโดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียกำลังดำเนินงานที่เกี่ยวข้องอยู่" Kochkin กล่าวในการตอบคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ยานเกราะรัสเซียจะมีการเปลี่ยนไปใช้ปืนใหญ่กลขนาด 57mm
ปัจจุบันกระสุน 30mm เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับปืนใหญ่กลที่ติดตั้งกับยานเกราะขนาดเบาและยานเกราะขนาดกลางของกองทัพรัสเซีย เช่น รถรบทหารราบสายพาน BMP-2 และ BMP-3 และยานเกราะล้อยางลำเลียงพล BTR-82A
การเปลี่ยนแปลงกำลังยานเกราะในกองทัพรัสเซียทั้งหมดไปใช้กระสุนแบบใหม่จะขึ้นอยู่กับงบประมาณทางการเงินที่มีอยู่ "การเปลี่ยนขนาดกระสุนปืนจะต้องการค่าใช้จ่ายมหาศาสในการปรับปรุงอาวุธปฏิบัติการและยุทโธปกรณ์ทางทหาร"
Kochkin อธิบายว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Rostec กำลังทำงานในส่วนนี้ "บนความคิดริเริ่มของตนเอง" เขาเสริม
ระบบอาวุธที่ใช้กระสุนขนาด 57mm ใหม่เช่นป้อมปืนแบบ Kinzhal ที่ประกอบด้วยปืนใหญ่กล 57mm และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รถถัง ได้ถูกจัดแสดงในงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Army 2018 ที่ Patriot Park ใน Kubinka ภาค Moscow ระหว่างวันที่ 21-26 สิงหาคม 2018 เมื่อปีที่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียได้แสดงระบบปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน Derivatsiya-PVO บนรถแคร่ฐานของรถรบทหารราบ BMP-3 และรถรบทหารราบหนัก T-15 ในตระกูลรถรบสายพาน Armata ที่ติดป้อมปืน Kinzhal(https://aagth1.blogspot.com/2018/08/t-15-57mm-t-14-152mm.html)
Alexander Potapov ผู้อำนวยการบริหาร Uralvagonzavod ผู้ผลิตรถถังยานเกราะรัสเซีย(ในเครือ Rostec) กล่าวในงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Milex-2019 ที่ Minsk เบลารุสระหว่างวันที่ 15-18 พฤษภาคม 2019 ล่าสุดว่า
บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาหลายทางเลือกของการนำปืนใหญ่กล 57mm มาใช้สำหรับกองทัพบกรัสเซีย(Russian Army), กองทัพเรือรัสเซีย(Russian Navy) และกองทัพอากาศรัสเซีย(Russian Aerospace Force)
สถาบันวิจัยกลาง Burevestnik ภายใน Uralvagonzavod ได้มีส่วนรวมในการพัฒนาระบบป้อมปืนที่ติดตั้งปืนใหญ่กลขนาด 57mm เช่น ระบบป้อมปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน Derivatsiya-PVO และป้อมปืนใหญ่กล AU-220M Baikail
ซึ่งระบบป้อมปืนแบบ AU-220M นี้ได้ถูกมาทดสอบติดตั้งกับรถแคร่ฐานของรถรบทหารราบสายพาน BMP-3 และสามารถนำไปทดสอบติดตั้งแบบยานเกราะได้อีกหลายแบบ เช่น ยานเกราะล้อยางตระกูล BTR และ Bumerang 8x8 ครับ
Today, the 30mm caliber gun is the basic diameter of firepower for Russia’s light-and medium-armored vehicles
http://tass.com/defense/1059222
https://saidpvo.livejournal.com
Tecmash บริษัทวิศวกรรมรัสเซีย และ Rostec กลุ่มรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมความมั่นคงรัสเซีย กำลังพิจารณาการเปลี่ยนปืนใหญ่กลที่ใช้ระบบกระสุนขนาด 30mm ด้วยปืนใหญ่กลกระสุนขนาด 57mm ในยานเกราะของกองทัพรัสเซีย
กระทรวงกลาโหมรัสเซียยังกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ รองผู้อำนวยการบริหารของ Tecmash รัสเซีย Alexander Kochkin กล่าวกับ TASS เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2019
"เรากำลังดำเนินการประเมินร่วมกันกับ Rostec State Corporation และลูกค้าที่เป็นตัวแทนโดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียกำลังดำเนินงานที่เกี่ยวข้องอยู่" Kochkin กล่าวในการตอบคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ยานเกราะรัสเซียจะมีการเปลี่ยนไปใช้ปืนใหญ่กลขนาด 57mm
ปัจจุบันกระสุน 30mm เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับปืนใหญ่กลที่ติดตั้งกับยานเกราะขนาดเบาและยานเกราะขนาดกลางของกองทัพรัสเซีย เช่น รถรบทหารราบสายพาน BMP-2 และ BMP-3 และยานเกราะล้อยางลำเลียงพล BTR-82A
การเปลี่ยนแปลงกำลังยานเกราะในกองทัพรัสเซียทั้งหมดไปใช้กระสุนแบบใหม่จะขึ้นอยู่กับงบประมาณทางการเงินที่มีอยู่ "การเปลี่ยนขนาดกระสุนปืนจะต้องการค่าใช้จ่ายมหาศาสในการปรับปรุงอาวุธปฏิบัติการและยุทโธปกรณ์ทางทหาร"
Kochkin อธิบายว่านั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Rostec กำลังทำงานในส่วนนี้ "บนความคิดริเริ่มของตนเอง" เขาเสริม
ระบบอาวุธที่ใช้กระสุนขนาด 57mm ใหม่เช่นป้อมปืนแบบ Kinzhal ที่ประกอบด้วยปืนใหญ่กล 57mm และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รถถัง ได้ถูกจัดแสดงในงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Army 2018 ที่ Patriot Park ใน Kubinka ภาค Moscow ระหว่างวันที่ 21-26 สิงหาคม 2018 เมื่อปีที่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียได้แสดงระบบปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน Derivatsiya-PVO บนรถแคร่ฐานของรถรบทหารราบ BMP-3 และรถรบทหารราบหนัก T-15 ในตระกูลรถรบสายพาน Armata ที่ติดป้อมปืน Kinzhal(https://aagth1.blogspot.com/2018/08/t-15-57mm-t-14-152mm.html)
Alexander Potapov ผู้อำนวยการบริหาร Uralvagonzavod ผู้ผลิตรถถังยานเกราะรัสเซีย(ในเครือ Rostec) กล่าวในงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Milex-2019 ที่ Minsk เบลารุสระหว่างวันที่ 15-18 พฤษภาคม 2019 ล่าสุดว่า
บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาหลายทางเลือกของการนำปืนใหญ่กล 57mm มาใช้สำหรับกองทัพบกรัสเซีย(Russian Army), กองทัพเรือรัสเซีย(Russian Navy) และกองทัพอากาศรัสเซีย(Russian Aerospace Force)
สถาบันวิจัยกลาง Burevestnik ภายใน Uralvagonzavod ได้มีส่วนรวมในการพัฒนาระบบป้อมปืนที่ติดตั้งปืนใหญ่กลขนาด 57mm เช่น ระบบป้อมปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน Derivatsiya-PVO และป้อมปืนใหญ่กล AU-220M Baikail
ซึ่งระบบป้อมปืนแบบ AU-220M นี้ได้ถูกมาทดสอบติดตั้งกับรถแคร่ฐานของรถรบทหารราบสายพาน BMP-3 และสามารถนำไปทดสอบติดตั้งแบบยานเกราะได้อีกหลายแบบ เช่น ยานเกราะล้อยางตระกูล BTR และ Bumerang 8x8 ครับ
เฮลิคอปเตอร์ค้นหากู้ภัย HH-60W กองทัพอากาศสหรัฐฯทำการบินครั้งแรก
VIDEO: Maiden sortie for initial HH-60W combat rescue helicopter
Sikorsky has performed the first flight of the HH-60W combat search and rescue helicopter it is developing for the US Air Force (USAF), with the event taking place from the manufacturer's facility in West Palm Beach, Florida.
Separately, Sikorsky has been awarded a $1.13 billion contract by the US Navy covering the production of 12 CH-53K heavy-lift helicopters under the programme’s second and third lots of Low Rate Initial Production; deliveries of those aircraft will begin in 2022.
https://www.flightglobal.com/news/articles/video-maiden-sortie-for-initial-hh-60w-combat-rescu-458311/
บริษัท Sikorsky สหรัฐฯได้ทำการบินครั้งแรกของเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัยในพื้นที่การรบ HH-60W ที่ถูกพัฒนามาสำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force)
การทำการบินครั้งแรกของเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัย HH-60W มีขึ้น ณ โรงงานอากาศยานของ Sikorsky ใน West Palm Beach มลรัฐ Florida สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2019
เที่ยวบินครั้งแรกของเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัย Sikorsky HH-60W เป็นเวลา 1ชั่วโมง 20นาที ประกอบด้วยการตรวจสอบการควบคุมการลอยตัวนิ่งกลางอากาศ, การบินความเร็วต่ำ และการบินผ่านสนามบิน
การบินทดสอบครั้งที่สองมีกำหนดดำเนินการภายหลังในสัปดาห์นี้(19-25 พฤษภาคม 2019) ตามด้วยเฮลิคอปเตอร์เพิ่มเติมอีก 2เครื่องที่จะมีตามมาในเดือนถัดไป Sikorsky ในเครือบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯกล่าว
ข้อมูลที่ได้รับจาการประเมินค่านี้จะสนับสนุนการตัดสินใจในหลักขั้นที่เรียกว่า Milestone C ที่มีกำหนดในเดือนกันยายน 2019 ที่จะทำให้ Sikorsky จะเริ่มการผลิต ฮ.HH-60W ที่มีพื้นฐานจากเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawk ได้
ภายใต้โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัยในพื้นที่การรบ กองทัพอากาศสหรัฐฯจะจัดหาเฮลิคอปเตอร์ HH-60W จำนวน 113เครื่อง เพื่อทดแทนฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัยในพื้นที่การรบ HH-60G Pave Hawk เดิม
เฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัย HH-60W มีการพัฒนาปรับปรุงไปจาก ฮ.UH-60M ดั้งเดิมประกอบด้วยถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ซึ่งขณะนี้มีความจุที่ 660USgal(2,500 litres) ทำให้มีรัศมีการรบได้ถึง 195nmi(361km)
เช่นเดียวกับการขยายเพิ่มขีดความสามารถระบบป้องกันตนเอง ระบบความปลอดภัยทาง Cyber ระบบการเชื่มโยงเป็นเครือข่าย network centric ลดการเสี่ยงในการตกอยู่ภายใต้สภาพอันตราย และระบบอาวุธ
แยกออกไปอีกเรื่อง บริษัท Sikorsky สหรัฐฯได้รับสัญญาวงเงิน $1.13 billion โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ครอบคลุมสายการผลิตเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงหนัก CH-53K King Stallion จำนวน 12เครื่อง
ภายใต้โครงการจัดหาสายการผลิตระดับต่ำ(LRIP: Low Rate Initial Production) Lot 2 และ Lot 3 การส่งมอบ ฮ.ลำเลียงหนัก CH-53K ชุดดังกล่าวจะเริ่มต้นได้ในปี 2022
นาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) จะจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงหนัก Sikorsky CH-53K รวมทั้งหมด 200เครื่อง โดยมีการส่งมอบแล้ว 2เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2018/05/ch-53k.html)
Fleets Analyzer บันทึกข้อมูลว่าปัจจุบันฝูงบินของ Sikorsky มี ฮ.ลำเลียงหนัก CH-53K จำนวน 4เครื่องที่ได้ทำการบินทดสอบไปแล้ว 1,400ชั่วโมงบินครับ
Sikorsky has performed the first flight of the HH-60W combat search and rescue helicopter it is developing for the US Air Force (USAF), with the event taking place from the manufacturer's facility in West Palm Beach, Florida.
Separately, Sikorsky has been awarded a $1.13 billion contract by the US Navy covering the production of 12 CH-53K heavy-lift helicopters under the programme’s second and third lots of Low Rate Initial Production; deliveries of those aircraft will begin in 2022.
https://www.flightglobal.com/news/articles/video-maiden-sortie-for-initial-hh-60w-combat-rescu-458311/
บริษัท Sikorsky สหรัฐฯได้ทำการบินครั้งแรกของเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัยในพื้นที่การรบ HH-60W ที่ถูกพัฒนามาสำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force)
การทำการบินครั้งแรกของเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัย HH-60W มีขึ้น ณ โรงงานอากาศยานของ Sikorsky ใน West Palm Beach มลรัฐ Florida สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2019
เที่ยวบินครั้งแรกของเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัย Sikorsky HH-60W เป็นเวลา 1ชั่วโมง 20นาที ประกอบด้วยการตรวจสอบการควบคุมการลอยตัวนิ่งกลางอากาศ, การบินความเร็วต่ำ และการบินผ่านสนามบิน
การบินทดสอบครั้งที่สองมีกำหนดดำเนินการภายหลังในสัปดาห์นี้(19-25 พฤษภาคม 2019) ตามด้วยเฮลิคอปเตอร์เพิ่มเติมอีก 2เครื่องที่จะมีตามมาในเดือนถัดไป Sikorsky ในเครือบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯกล่าว
ข้อมูลที่ได้รับจาการประเมินค่านี้จะสนับสนุนการตัดสินใจในหลักขั้นที่เรียกว่า Milestone C ที่มีกำหนดในเดือนกันยายน 2019 ที่จะทำให้ Sikorsky จะเริ่มการผลิต ฮ.HH-60W ที่มีพื้นฐานจากเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawk ได้
ภายใต้โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัยในพื้นที่การรบ กองทัพอากาศสหรัฐฯจะจัดหาเฮลิคอปเตอร์ HH-60W จำนวน 113เครื่อง เพื่อทดแทนฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัยในพื้นที่การรบ HH-60G Pave Hawk เดิม
เฮลิคอปเตอร์ค้นหาและกู้ภัย HH-60W มีการพัฒนาปรับปรุงไปจาก ฮ.UH-60M ดั้งเดิมประกอบด้วยถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ซึ่งขณะนี้มีความจุที่ 660USgal(2,500 litres) ทำให้มีรัศมีการรบได้ถึง 195nmi(361km)
เช่นเดียวกับการขยายเพิ่มขีดความสามารถระบบป้องกันตนเอง ระบบความปลอดภัยทาง Cyber ระบบการเชื่มโยงเป็นเครือข่าย network centric ลดการเสี่ยงในการตกอยู่ภายใต้สภาพอันตราย และระบบอาวุธ
แยกออกไปอีกเรื่อง บริษัท Sikorsky สหรัฐฯได้รับสัญญาวงเงิน $1.13 billion โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ครอบคลุมสายการผลิตเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงหนัก CH-53K King Stallion จำนวน 12เครื่อง
ภายใต้โครงการจัดหาสายการผลิตระดับต่ำ(LRIP: Low Rate Initial Production) Lot 2 และ Lot 3 การส่งมอบ ฮ.ลำเลียงหนัก CH-53K ชุดดังกล่าวจะเริ่มต้นได้ในปี 2022
นาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) จะจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงหนัก Sikorsky CH-53K รวมทั้งหมด 200เครื่อง โดยมีการส่งมอบแล้ว 2เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2018/05/ch-53k.html)
Fleets Analyzer บันทึกข้อมูลว่าปัจจุบันฝูงบินของ Sikorsky มี ฮ.ลำเลียงหนัก CH-53K จำนวน 4เครื่องที่ได้ทำการบินทดสอบไปแล้ว 1,400ชั่วโมงบินครับ
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
จีนปลดประจำการเรือพิฆาตชั้น Type 051 เก่า 4ลำ
PLAN decommissions four Type 051 destroyers
The Chinese navy decommissioned four Type 051-class destroyers in a ceremony held at the North Sea Fleet base in Lushun on 16 May. Source: military.cnr.cn
https://www.janes.com/article/88602/plan-decommissions-four-type-051-destroyers
กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีน(PLAN: People's Liberation Army Navy) ได้ปลดประจำการเรือพิฆาตชั้น Type 051(NATO กำหนดรหัสชั้น Luda) จำนวน 4ลำ
โดยพิธีการปลดประจำการเรือได้จัดขึ้น ณ ฐานทัพเรือของกองเรือทะเลเหนือ(North Sea Fleet) ใน Lushun สาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดิมรู้จักในชื่อ Port Arthur เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2019
เรือพิฆาตชั้น Type 051 ทั้ง 4ลำคือ DDG-109 Kaifeng, DDG-110 Dalian, DDG-134 Zunyi และ DDG-164 Guilin ถูกนำเข้าประจำการในกองเรือพิฆาตที่10 และประจำการมาเป็นเวลามากกว่า 30ปี
Type 051 เป็นเรือพิฆาตที่ออกแบบและสร้างในจีน แต่เรือชั้นนี้ได้รับอิทธิพลการออกแบบจากรัสเซียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือพิฆาตชั้น Kotlin สมัยอดีตสหภาพโซเวียต(Project 56 Spokoinyy)
เรือพิฆาตชั้น Type 051 จำนวน 17ลำได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1970 และ 1990 แม้ว่าจะมีเรือชั้นนี้เพียง 2ลำคือ DDG-165 Zhanjiang และ DDG-166 Zhuhai ที่ยังคงประจำการอยู่หลังการปลดประจำการเรือสี่ลำหลังสุด
ด้วยขนาดระวางขับน้ำ 3,250ton เรือพิฆาตชั้น Type 051 มีขนาดเพียงราวครึ่งหนึ่งของเรือพิฆาตชั้น Type 052D(NATO กำหนดรหัสชั้น Luyang III) ซึ่งเรือลำที่19 และลำที่20 ได้ถูกปล่อยลงน้ำที่ Dalian เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2019
แม้ว่าระบบอาวุธที่ติดตั้งบนเรือพิฆาตชั้น Type 051 จะได้รับการปรับปรุงในช่วงที่ยังคงประจำการ โดยเฉพาะเรือพิฆาต DDG-109 Kaifeng และเรือพิฆาต DDG-110 Dalian ซึ่งได้รับการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ YJ-83 จำนวน 16นัด
อย่างไรก็ตามเรือพิฆาตชั้น Type 051 นั้นมีขีดความสามารถที่จำกัดอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเรือพิฆาตชั้นใหม่ๆที่กำลังถูกนำเข้าประจำการในกองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนปัจจุบัน
เรือพิฆาตชั้น Type 051 ไม่น่าที่จะถูกขายต่อให้กับกองทัพเรือมิตรประเทศต่างๆของจีน ตามที่เรือชั้นนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์กังหันไอน้ำที่ต้องใช้กำลังพลจำนวนมากทั้งในการปฏิบัติการและบำรุงรักษา
เรือพิฆาตชั้น Type 051 หลายลำที่กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนได้ปลดประจำการไปก่อนหน้านี้มีบางลำที่ถูกนำมาจอดเทียบท่าจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ
กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนยังคงมีเรือพิฆาตที่ใช้ระบบขับเคลื่อนกังหันไอน้ำประจำการอยู่จำนวนหนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ นอกจากเรือพิฆาตชั้น Type 051 ที่ยังคงประจำการอยู่ 2ลำในข้างต้น
ยังมีเรือพิฆาตชั้น Type 051B(NATO กำหนดรหัสชั้น Luhai) ที่มีการสร้างเพียงลำเดียวคือ DDG-167 Shenzhen ที่ได้รับการปรับปรุงความทันสมัย(https://aagth1.blogspot.com/2016/08/shenzhen-liaoning.html)
และยังมีเรือพิฆาตชั้น Type 051C(NATO กำหนดรหัสชั้น Luzhou) จำนวน 2ลำคือ DDG-115 Shenyang และ DDG-116 Shijiazhuang ซึ่งเข้าประจำการในปี 2006 และ 2007 ตามลำดับ
รวมถึงเรือพิฆาตชั้น Sovremenny(Project 956 Sarych) ที่จัดหาจากรัสเซียจำนวน 4ลำคือ DDG-136 Hangzhou, DDG-137 Fuzhou, DDG-138 Taizhou และ DDG-139 Ningbo ครับ
The Chinese navy decommissioned four Type 051-class destroyers in a ceremony held at the North Sea Fleet base in Lushun on 16 May. Source: military.cnr.cn
https://www.janes.com/article/88602/plan-decommissions-four-type-051-destroyers
กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีน(PLAN: People's Liberation Army Navy) ได้ปลดประจำการเรือพิฆาตชั้น Type 051(NATO กำหนดรหัสชั้น Luda) จำนวน 4ลำ
โดยพิธีการปลดประจำการเรือได้จัดขึ้น ณ ฐานทัพเรือของกองเรือทะเลเหนือ(North Sea Fleet) ใน Lushun สาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดิมรู้จักในชื่อ Port Arthur เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2019
เรือพิฆาตชั้น Type 051 ทั้ง 4ลำคือ DDG-109 Kaifeng, DDG-110 Dalian, DDG-134 Zunyi และ DDG-164 Guilin ถูกนำเข้าประจำการในกองเรือพิฆาตที่10 และประจำการมาเป็นเวลามากกว่า 30ปี
Type 051 เป็นเรือพิฆาตที่ออกแบบและสร้างในจีน แต่เรือชั้นนี้ได้รับอิทธิพลการออกแบบจากรัสเซียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือพิฆาตชั้น Kotlin สมัยอดีตสหภาพโซเวียต(Project 56 Spokoinyy)
เรือพิฆาตชั้น Type 051 จำนวน 17ลำได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1970 และ 1990 แม้ว่าจะมีเรือชั้นนี้เพียง 2ลำคือ DDG-165 Zhanjiang และ DDG-166 Zhuhai ที่ยังคงประจำการอยู่หลังการปลดประจำการเรือสี่ลำหลังสุด
ด้วยขนาดระวางขับน้ำ 3,250ton เรือพิฆาตชั้น Type 051 มีขนาดเพียงราวครึ่งหนึ่งของเรือพิฆาตชั้น Type 052D(NATO กำหนดรหัสชั้น Luyang III) ซึ่งเรือลำที่19 และลำที่20 ได้ถูกปล่อยลงน้ำที่ Dalian เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2019
แม้ว่าระบบอาวุธที่ติดตั้งบนเรือพิฆาตชั้น Type 051 จะได้รับการปรับปรุงในช่วงที่ยังคงประจำการ โดยเฉพาะเรือพิฆาต DDG-109 Kaifeng และเรือพิฆาต DDG-110 Dalian ซึ่งได้รับการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ YJ-83 จำนวน 16นัด
อย่างไรก็ตามเรือพิฆาตชั้น Type 051 นั้นมีขีดความสามารถที่จำกัดอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเรือพิฆาตชั้นใหม่ๆที่กำลังถูกนำเข้าประจำการในกองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนปัจจุบัน
เรือพิฆาตชั้น Type 051 ไม่น่าที่จะถูกขายต่อให้กับกองทัพเรือมิตรประเทศต่างๆของจีน ตามที่เรือชั้นนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์กังหันไอน้ำที่ต้องใช้กำลังพลจำนวนมากทั้งในการปฏิบัติการและบำรุงรักษา
เรือพิฆาตชั้น Type 051 หลายลำที่กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนได้ปลดประจำการไปก่อนหน้านี้มีบางลำที่ถูกนำมาจอดเทียบท่าจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ
กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนยังคงมีเรือพิฆาตที่ใช้ระบบขับเคลื่อนกังหันไอน้ำประจำการอยู่จำนวนหนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ นอกจากเรือพิฆาตชั้น Type 051 ที่ยังคงประจำการอยู่ 2ลำในข้างต้น
ยังมีเรือพิฆาตชั้น Type 051B(NATO กำหนดรหัสชั้น Luhai) ที่มีการสร้างเพียงลำเดียวคือ DDG-167 Shenzhen ที่ได้รับการปรับปรุงความทันสมัย(https://aagth1.blogspot.com/2016/08/shenzhen-liaoning.html)
และยังมีเรือพิฆาตชั้น Type 051C(NATO กำหนดรหัสชั้น Luzhou) จำนวน 2ลำคือ DDG-115 Shenyang และ DDG-116 Shijiazhuang ซึ่งเข้าประจำการในปี 2006 และ 2007 ตามลำดับ
รวมถึงเรือพิฆาตชั้น Sovremenny(Project 956 Sarych) ที่จัดหาจากรัสเซียจำนวน 4ลำคือ DDG-136 Hangzhou, DDG-137 Fuzhou, DDG-138 Taizhou และ DDG-139 Ningbo ครับ