วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2562

กองทัพเรือสหรัฐฯประกาศความพร้อมปฏิบัติการขั้นต้นเครื่องบินขับไล่ F-35C

Navy Declares Initial Operational Capability for F-35C Joint Strike Fighter


Three F-35C Lightning II — one each attached to the “Argonauts” of Strike Fighter Squadron (VFA) 147, the “Rough Raiders” Strike Fighter Squadron (VFA) 125 and the “Grim Reapers” Strike Fighter Squadron (VFA) 101
— complete a flight overhead Eglin Air Force Base in Fort Walton Beach, Fla., Feb. 1, 2019. US Navy photo.

Ten VFA-147 Argonaut F-35C aircraft are displayed on the flightline here at Naval Air Station Lemoore (NASL) in celebration of the F-35C’s Initial Operational Capability (IOC) announcement today.
IOC declaration is a capability-driven joint decision made by Commander, Naval Air Forces, Vice Admiral DeWolfe Miller III and United Sates Marine Corps Deputy Commandant for Aviation (DCA), Lieutenant General Stephen R. Rudder.
Achieving IOC means the F-35C is available to be used in deployed environments as requested by combatant commanders. US Navy photo.
https://news.usni.org/2019/02/28/navy-declares-initial-operational-capability-for-f-35c-joint-strike-fighter



เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2019 กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ได้ประกาศว่าเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35C Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) รุ่นประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน CV(Carrier Variant) ได้มีความพร้อมปฏิบัติการเพื่อวางกำลังและดำเนินการปฏิบัติภารกิจรอบโลก
การประกาศความพร้อมปฏิบัติการขั้นต้น(IOC: Initial Operational Capability) มีขึ้นหลังจากฝูงบิน F-35C ฝูงแรกของกองทัพเรือสหรัฐฯคือฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-147 'Argonauts' ดำเนินการรับรองการปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-70 USS Carl Vinson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2018
และได้รับการรับรองความปลอดภัยสำหรับการบินปฏิบัติการในวันที่ 12 ธันวาคม 2018 และและใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการทำงานกับกลุ่มทดสอบของกองทัพเรือสหรัฐฯเพื่อพิสูจน์ว่ามันสามารถปฏิบัติการและบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่ Stealth ใหม่นี้ได้

"F-35C พร้อมสำหรับการปฏิบัติการ พร้อมสำหรับการรบ และพร้อมที่จะชนะ เราได้เพิ่มระบบอาวุธที่น่าเหลือเชื่อเข้าสู่คลังแสงของกลุ่มเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี(Carrier Strike Groups) ของเรา นั่นเป็นการขยายขีดความสามารถของกำลังร่วมอย่างสำคัญ"
ผู้บัญชาการกองกำลังทางอากาศนาวี พลเรือโท DeWolfe Miller กล่าวในการแถลง และรองผู้บัญชาการฝ่ายการบิน(DCA: Deputy Commandant for Aviation) นาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) พลโท Stephen R. Rudder ผู้มีส่วนในการขับเคลื่อนการตัดสินใจร่วม
การประกาศความพร้อมการปฏิบัติการขั้นต้น ณ สถานีอากาศนาวี Lemoore(NAS: Naval Air Station) เป็นการบรรลุความสำเร็จที่หมายความว่าเครื่องบินขับไล่ F-35C พร้อมที่จะถูกใช้สภาพแวดล้อมการวางกำลังตามการร้องขอของผู้บัญชาการรบ

ก่อนกองทัพเรือสหรัฐฯจะประกาศขีดความสามารถการปฏิบัติการของฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-147 ผู้บังคับการกองบิน Joint Strike Fighter นาวาเอก Max McCoy กล่าวกับ USNI News ในเดือนพฤศจิกายน 2018 ว่า
ฝูงบินมีกำลังพลเต็มอัตรา โดยนักบินทุกนายผ่านการรับรองการปฏิบัติการบนบนฝั่ง และจากนั้นการปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson
นักบินต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถดำเนินการปฏิบัติการและการดำเนินกลยุทธได้หลายรูปแบบ ช่างเครื่องต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถรักษาเครื่องบินใหม่ให้ทำการบินได้ กองทัพเรือสหรัฐต้องพิสูจน์ได้ว่าตนสามารถดำรงความพร้อมของฝูงบินผ่านระบบส่งกำลังบำรุงที่สมบูรณ์ได้

กองทัพเรือสหรัฐฯเสริมในการแถลงว่า "ในคำสั่งการประกาศ IOC ฝูงบินปฏิบัติการฝูงแรกต้องมีกำลังพลที่เหมาะสม, ได้รับการฝึก, และบรรจุติดตั้ง เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายในการสนับสนุนปฏิบัติการของกองเรือ
นี่รวมถึงครื่องบินขับไล่ F-35C Block 3F 10เครื่อง, อะไหล่ที่จำเป็น, อุปกรณ์สนับสนุน, เครื่องมือ, สิ่งพิมพ์ทางเทคนิค, การฝึก และระบบข้อมูลส่งกำลังบำรุงอัตโนมัติ(ALIS: Autonomic Logistic Information System) ที่ทำงานได้
นอกจากนี้เรือที่สนับสนุนฝูงบินแรกต้องจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม, การผ่านคุณสมบัติและการรับรอง สุดท้ายสำนักงานโครงการร่วม(JPO: Joint Program Office), อุตสาหกรรม และการบินนาวี ต้องสาธิตว่ากระบวนการ, ขั้นตอน และนโยบายทั้งหมดอยู่ในที่จะดำรุงการปฏิบัติการได้"

"เราภูมิใจอย่างยิ่งในสิ่งที่กลาสีเราประสบความสำเร็จในกลุ่ม JSF ความมุ่งมั่นของพวกเขาในภารกิจส่งมอบขีดความสามารถเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 สู่กองบินเรือบรรทุกเครื่องบิน ได้สร้างประสิทธิภาพการที่มากขึ้นแก่พวกเรากว่าก่อนหน้าที่เคยมีมา
เราจะเดินหน้าเรียนรู้และปรับปรุงวิถีทางในการบำรุงรักษาและดำรงความะพร้อม F-35C ตามที่เราเตรียมสำหรับการวางกำลังครั้งแรก การเพิ่ม F-35C แก่กองบินเรือบรรทุกเครื่องที่มีอยู่เป็นขีดความสามารถที่ทำให้มั่นใจว่า เราสามารถต่อสู้และชนะในการแข่งขันการรบในตอนนี้และเช่นเดียวกันในอนาคต"
นาวาเอก McCoy ผบ.กองบิน JSF กล่าวในการแถลง เครื่องบินขับไล่ F-35C ยังถูกนำเข้าประจำการในฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-125 'Rough Raiders' และฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-101 'Grim Reapers' ซึ่งเป็นฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบอากาศยาน(FRS: Fleet Replacement Squadron)

"F-35C จะปฏิวัติขีดความสามารถและแนวคิดการปฏิบัติการของอากาศยานประจำเรือบรรทุกเครื่องบินของการบินนาวีโดยใช้วิทยาการขั้นก้าวหน้าเพื่อค้นหา, ตรึง และประเมินภัยคุกคาม และถ้าจำเป็น ติดตาม จับเป้า และโจมตีพวกมันในทุกสภาพแวดล้อมการแข่งขัน
ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นถึงหลายปีของการทำงานอย่างหนักในส่วนของสำนักงานโครงการร่วม F-35 และกลุ่มอุตสาหกรรมการบินนาวี การมุ่งเน้นของเราในตอนนี้ได้ย้ายไปสู่การประยุกต์นำบทเรียนที่เรียนรู้ในขั้นตอนนี้แก่ฝูงบินที่จะเปลี่ยนแบบในอนาคต
และเตรียมการฝูงบิน VFA-147 สำหรับการวางกำลังนอกประเทศครั้งแรก" พลเรือตรี Dale Horan ผู้อำนวยการสำนักงานบูรณาการฝูงบิน F-35C กองทัพเรือสหรัฐฯ กล่าวในการแถลง การวางกำลังในฐานะส่วนหนึ่งของกองบินเรือบรรทุกเครื่องบินที่น่าจะเป็นเรือ USS Carl Vision ในปี 2021

กองทัพเรือสหรัฐฯเคยหวังที่จะประกาศความพร้อมปฏิบัติการขั้นต้นของ F-35C ในเดือนสิงหาคม 2018 เลื่อนมาเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ตามเกณฑ์ความต้องการหรือจำนวนวันต่ำสุดที่ยอมรับได้ โดยกองทัพเรือสหรัฐฯจะมีการจัดหา F-35C ตลอดทั้งโครงการ 273เครื่อง
นาวิกโยธินสหรัฐฯได้ประกาศความพร้อมรบขั้นต้นของเครื่องบินขับไล่ F-35B รุ่นบินขึ้นระยะสั้นลงจอดทางดิ่ง STOVL(Short Take-Off Vertical Landing) ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2015
และกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ประกาศความพร้อมรบขั้นต้นของเครื่องบินขับไล่ F-35A รุ่นขึ้นลงตามแบบ CTOL(Conventional Takeoff and Landing) ในวันที่ 2 สิงหาคม 2016

นอกเหนือจากที่จะทำการบิน F-35B ของตนเองแล้ว นาวิกโยธินสหรัฐฯจะยังจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-35C จำนวน 4ฝูงบิน 67เครื่องเพื่อนำมาปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเครื่องบินร่วมกับกองทัพเรือสหรัฐฯด้วย
F-35C ได้เดินทางมาถึงสถานีอากาศนาวี Patuxent River ในปี 2011 สำหรับการทดสอบและในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันได้ดำเนินการส่งขึ้นบินด้วยด้วยรางดีด catapult บนสถานีภาคพื้นดินเป็นครั้งแรก
ในปี 2012 F-35C เครื่องทดสอบเครื่องสุดท้ายได้มาถึง NAS Patuxent River การทดสอบการลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินบนสถานีภาคพื้นดิน และการทดสอบการบินด้วยการติดตั้งอาวุธภายนอกลำตัวได้มีขึ้นเป็นครั้งแรก

ในปี 2013 F-35C ได้ถูกส่งมอบให้ฝูงบินขับไล่โจมตี VFA-101 ณ ฐานทัพอากาศ Eglin มลรัฐ Florida ต่อมา 3 พฤศจิกายน 2014 F-35C ได้ทำการลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-68 USS Nimitz เป็นครั้งแรก
ดำเนินการทดลองในทะเลบนเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimittz เป็นเวลา 11วัน เสร็จสิ้นการพัฒนาทดสอบระดับ1(DT-I: Developmental Test-I) โดยฝูงบินทดสอบและประเมินค่าทางอากาศ VX-23
และตรงตามทุกวัตถุประสงค์การทดสอบเพื่อพิสูจน์ความเข้ากันได้ระหว่างเรือและเครื่องบินแบละความเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติการในทะเล ต่อมาเดือนกันยายน 2015 F-35C ดำเนินการพัฒนาทดสอบระดับ2 DT-II บนเรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-69 USS USS Dwight D. Eisenhower

เดือนกันยายน 2017 เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ดำเนินการปฏิบัติการ F-35C ในทะเลเป็นครั้งแรก และในเดือนธันวาคม 2017 เรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-72 USS Abraham Lincoln ได้ดำเนินการรับรองคุณสมบัตินักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ 9นายแรกที่จะปฏิบัติการบิน F-35C ในทะเล
เดือนสิงหาคม 2018  เรือ USS Abraham Lincoln ดำเนินการบูรณาการกองบินครั้งแรก ซึ่งลูกเรือได้ส่งขึ้นและรับกลับลงจอด ลากจูงและบำรุง F-35C และอากาศยานแบบอื่นในเวลาเดียวกัน แทนการใช้เครื่องบินใหม่แยกกันอย่างระมัดระวัง โดยใช้เครื่องจากฝูงบิน VFA-125 และ VFA-147
เดือนธันวาคม 2019 ฝูงบิน VFA-147 เริ่มการดำเนินการปฏิบัติงานอย่างอิสระ ฝูงบินเข้าใกล้หลักขั้นความปลอดภัยสำหรับการบิน ซึ่งทำให้สามารถจะบินและบำรุงรักษาโดยปราศจากการควบคุมดูแลจากฝูงบินฝึกเปลี่ยนแบบอากาศยานครับ