แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กรณีพิพาทอินโดจีน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กรณีพิพาทอินโดจีน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

นักบินกองทัพอากาศไทยในอดีต เรืออากาศเอก เคียง จุฑาเกตุ




Breguet 14 of 3rd Wing Nakhon Ratchasima air base, Royal Siamese Flying Corps during 1920s-1930s.

ครั้งนี้จะมาเขียนเล่าถึงเรื่องราวของต้นตระกูลของผู้เขียนบ้าง เพราะหาโอกาสมานานตั้งแต่กลางปีแล้ว แต่ก็ติดขัดเรื่องเวลาประกอบกับข่าวสารในแวดวงวิทยาการความมั่นคงมีเรื่องสำคัญใหม่ๆมาตลอดทั้งปี จนได้มีเวลาได้เขียนล่าสุดนี้
ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนมัธยมอยู่ผู้เขียนเคยถูกญาติผู้ใหญ่บอกตอนที่คุยกันถึงว่าผู้เขียนมีความตั้งใจจะไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียทหารโดยเลือกโรงเรียนนายเรือเป็นอันดับ๑ และโรงเรียนนายเรืออากาศเป็นอันดับ๒ โดยหวังจะเป็นไปนักบินทหารว่า
"แกจะไปเป็นนักบินเอาอย่างตาเคียงหรือ?"
ซึ่งผู้เขียนก็เพิ่งมาทราบตอนงานรวมญาติเมื่อไม่นานมาในปี ๒๕๖๕ นี้ว่า ตาเคียงท่านนี้คือ เรืออากาศเอก เคียง จุฑาเกตุ นักบินกองทัพอากาศไทยเก่าที่ล่วงลับไปนานมากแล้ว

ต้องเล่าย้อนไปถึงสายสาแหรกของต้นตระกูลผู้เขียนก่อน คือต้นตระกูลสายจุฑาเกตุ ที่เป็นญาติทางสายย่าที่ผู้เขียนทราบจากญาติผู้ใหญ่จะเริ่มจาก
ตาเคลือบ แต่งงานกับ ยายตลิบ มีลูกเจ็ดคน คือ
นายเคียง หรือ เรืออากาศเอก เคียง จุฑาเกตุ เป็นคนโต
นายแคร หรือครูแคร เป็นคนรอง ท่านนี้ทราบว่าเป็นศิลปินพื้นบ้าน เป็นโขน เป็นหนังใหญ่ เป็นลำตัดและเพลงพื้นบ้านต่างๆ
นายเดช กับ นายดัด สองท่านนี้ไม่ทราบว่าใคนเป็นพี่เป็นน้องเพราะหน้าคล้ายกันมาก
นางแหนง เป็นลูกคนที่ห้า ซึ่งเป็นย่าผู้เขียนที่แต่งงานกับปู่เสนาะเข้าบ้านนาคพุ่ม
นางยิ้ม
และนายริด
ท่านๆเหล่านี้เสียชีวิตกันไปหมดหลายสิบปีก่อนที่ผู้เขียนจะเกิดแล้ว

ที่ญาติผู้ใหญ่เล่ากันมาคือ เรืออากาศเอก เคียง จุฑาเกตุ เป็นนักบินอยู่ฐานบินนครราชสีมา สมัย ๙๐ปีที่แล้ว ที่ผู้เขียนสืบค้นเพิ่มเติมจากประวัติกองทัพอากาศไทยจะพอได้เค้าว่า น่าจะเป็นนักบินมาตั้งแต่ยศชั้นประทวน 
ในสมัยกองบินใหญ่ที่๓ กรมอากาศยานสยาม ซึ่งประจำการด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ เบร์เกต์ ๑๔ ซึ่งจะตรงกับเรื่องที่เล่ากันในบ้านไร่สายตระกูลนาคพุ่มที่หมู่บ้านหนองตะแบกลพบุรีว่า
สมัยญาติๆยังอยู่บ้านทุ่งเก่าทางตะวันตกของเมืองลพบุรีติดสิงห์บุรีกับอ่างทอง ปู่เคียงเคยขับเครื่องบินบินผ่านบ้านย่าแหนงที่เป็นน้องสาวแล้วโยนหีบเหล็กลงมาจากเครื่องบินตรงลานหน้าบ้าน ในหีบใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาจากเมืองไว้
ก็เข้าใจได้ว่าต้องเป็นเครื่องขนาดใหญ่พอที่จะใส่สัมภาระขนาดพอประมาณได้อย่าง เบร์เกต์ ๑๔ ที่เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด ญาติผู้ใหญ่หลายท่านเคยเล่าว่าตอนแกยังเด็กๆ สมัยปี พ.ศ.๒๔๙๐ กว่าๆ ยังเคยเห็นและเล่นหีบเหล็กใบนี้อยู่

ปู่เคียง รับราชการมาจนได้เลื่อนยศเป็นนายทหารสัญญาบัตรในยุคกองบินน้อยที่๓ โคราช ที่มีการยกฐานะกรมอากาศยานเป็น กรมทหารอากาศ และเป็นกองทัพอากาศไทย ในปี พ.ศ.๒๔๘๐ จนถึงปัจจุบัน และได้เข้าร่วมกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส พ.ศ.๒๔๘๓-๒๔๘๔ 
นายเรืออากาศตรี เคียง จุฑาเกตุ ได้รับพระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๔ หลังกลับจากปฏิบัติราชการชายแดนสนับสนุนกองทัพบูรพาที่จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดอุบลราชธานี
จนเกษียณอายุราชการในยศ เรืออากาศเอก หลังจากนั้นกองทัพอากาศไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง กองบิน๓ โคราช เป็นฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ก่อนยุบในปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นที่ตั้งโรงเรียนการบินเก่าก่อนย้ายไป กำแพงแสน นครปฐมในปี พ.ศ.๒๕๑๒ (กองบิน๓ ปัจจุบันตั้งใหม่ที่ฐานบินวัฒนานคร)
ปัจจุบันผู้เขียนทราบว่าญาติในสายตระกูลจุฑาเกตุส่วนใหญ่พำนักอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งกองบิน๑ โคราช ปัจจุบัน แต่ผู้เขียนก็ยังไม่เคยเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง ท่านใดก็เป็นลูกหลานของตาเคียงหรือรู้จักท่านก็เข้ามาคุยกันได้ครับ

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2564

วันทหารม้า ๒๕๖๔ นิยายภาพ "บุกบูรพา ทหารม้าเกรียงไกร เหรียญชัยสมรภูมิ"




นิยายภาพเล่มเดียวจบ "บุกบูรพา ทหารม้าเกรียงไกร เหรียญชัยสมรภูมิ" เขียนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๔ ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๗ ขายในงาน Original and Community only event ที่จัดขึ้นที่ แหล่งสมาคมนายทหาร กองพลทหารม้าที่ ๒ รักษาพระองค์
เอามาลงให้อ่านใหม่อีกครั้งในระดับความละเอียดสูงเนื่องในโอกาสวันทหารม้า ๔ มกราคม ประจำปี ๒๕๖๔(เขียนจบครบ ๑๐ปี) และครบรอบ ๘๐ปี "วันรุกใหญ่" ๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ สงครามไทย-ฝรั่งเศส(กรณีพิพาทอินโดจีน)

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

ขอบพระคุณทุกท่านที่อุดหนุนนิยายภาพ "บุกบูรพา"

ขอบพระคุณทุกท่านที่ได้มาอุดหนุนนิยายภาพ: บุกบูรพา ทหารม้าเกรียงไกร เหรียญชัยสมรภูมิ
ในงาน Original and Community only event ที่จัดขึ้นที่ แหล่งสมาคมนายทหาร กองพลทหารม้าที่ ๒ รักษาพระองค์
จากจำนวนเล่มที่วางแผง ๑๘เล่ม ขายได้ถึง ๑๖เล่ม นับว่าเกินเป้าที่ตั้งไว้ว่าคงไม่น่าจะเกิน ๕เล่มมาก
สำหรับเล่มที่ยังเหลือ ๒เล่มยังคงอยู่ในสถานะที่รอว่าจะได้ขายให้ผู้สนใจหรือไม่ ก่อนจะทำการจัดเก็บไปทำอย่างอื่นตามสมควรต่อไป

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสจัดพิมพ์ผลงานและนำมาวางขายในงานลักษณะนี้อีก รวมถึงท่านที่แวะมาทักทายในงานโดยไม่ได้กล่าวชื่อด้วยต่อไปในอนาคต
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

นิยายภาพ: บุกบูรพา ทหารม้าเกรียงไกร เหรียญชัยสมรภูมิ


แนะนำผลงานหน่อยครับสำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามผลงานกันมาบ้าง
นิยายภาพเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นขนาดยาวเล่มเดียวจบ ซึ่งเป็นเรื่องราวเสี้ยวหนึ่งของสงครามไทย-ฝรั่งเศส หรือ กรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ.๒๔๘๓-๒๔๘๔
โดยเป็นเรื่องราวสมมุติของหมวดลาดตระเวน กองพันทหารม้าที่ ๔ จันทบุรี กองพลจันทบุรี กองทัพบูรพา ในการบุกมณฑลบูรพา คืนจากอินโดจีนฝรั่งเศส

เรื่องนี้มีจะนำไปวางขายในงาน Original and Community only event ที่จัดขึ้นที่ แหล่งสมาคมนายทหาร กองพลทหารม้าที่ ๒ รักษาพระองค์
วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๐๐๐-๑๕๐๐ โต๊ะหมายเลข B16 AAG Graphic Novel

ผังงาน OC only event

https://www.facebook.com/oconlyevent

เป็นการนำผลงานมาขายในงานลักษณะนี้เป็นครั้งแรก(และก็ไม่ทราบว่าจะมีครั้งต่อไปหรือไม่)
ท่ามกลางหนังสือทำมือเล่มอื่นๆในงานเดียวกัน ผมว่าเรื่องนี้คงจะเป็นนิยายภาพสงครามเรื่องเดียวในงานกระมัง

เอามาวางขาย ๑๘เล่มครับ เล่มละ ๑๐๐บาท (แต่คิดว่าขายได้เกิน ๕เล่มก็บุญแล้ว เกรงว่าอาจจะไม่ถึง)
สนใจจะมาแวะชมงานแล้ว(ถ้าจำไม่ผิดบัตรเข้างานราคา ๕๐บาท) แล้ว
ถ้ามีเวลาพออาจจะแวะไปคุยกันนอกงาน หรือไปสนามยิงปืนในร่ม หรือไปดูม้าที่ชมรมขี่ม้า ม.พัน.๒๙ รอ. ข้างใน พล.ม.๒ รอ. ครับ

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

๑๗ มกราคม วันวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง

๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ ได้เกิดเหตุการณ์ "ยุทธนาวีเกาะช้าง" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามไทย-ฝรั่งเศสหรือกรณีพิพาทอินโดจีนในปี ๒๔๘๓-๒๔๘๔



ยุทธนาวีเกาะช้างการสู้รบระหว่างกำลังทางเรือของไทย คือ ร.ล.ธนบุรี ร.ล.สงขลา และ ร.ล.ชลบุรี กับกำลังทางเรือของฝรั่งเศสจำนวน ๕ ลำนำโดยเรืองลาดตระเวนเบาลามอตต์ ปิเกต์ เรือสลุป ๒ลำ และเรือช่วยรบ ๒ลำ ที่จะเข้ามาระดมยิงหัวเมืองชายทะเลของไทย

ผลของการรบ ฝ่ายไทยสูญเสียเรือรบทั้ง ๓ ลำคือ 
ร.ล.สงขลา และ ร.ล.ชลบุรีจม ร.ล.ธนบุรี เสียหายหนักถูกลากไปเกยตื้นที่แหลมงอบ(ภายหลังถูกกู้ขึ้นมาได้)  กำลังพลเสียชีวิต ๓๖ นาย 

ทางฝ่ายฝรั่งเศสได้รับความเสียหาย(โดยเฉพาะเรือธงเรือลาดตระเวนเบาลามอตต์ ปิเกต์)ต้องเดินทางกลับฐานทัพที่ไซง่อน  และไม่สามารถบรรลุภารกิจได้ เป็นอีกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ระลึกถึงความกล้าหาญของราชนาวีไทย