วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ปัญหาความล้าสมัยเพิ่มค่าใช้จ่ายการปรับปรุงรถถังหลัก Leclerc XL ฝรั่งเศส

Obsolescence issues could increase cost of Leclerc XL upgrade





Obsolescence issues could increase the cost of the Leclerc upgrade. (Janes/Patrick Allen)



ค่าใช้จ่ายของโครงการปรับปรุงรถถังหลัก Leclerc XL จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากปัญหาความล้าสมัยต่างๆที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาเป็นเวลาหลายปี
ตามรายงานโดยคณะกรรมาธิการกลาโหมและกองทัพของสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส(French National Assembly, Assemblée nationale française) เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2020

ปัจจุบันค่าใช้จ่ายของโครงการได้รับงบประมาณที่ 350 million Euros(เกือบ $298 million) สำหรับการปรับปรุงรถถังหลัก Leclerc จำนวน 122คัน ที่จะส่งมอบให้กองทัพบกฝรั่งเศส(French Army, Armée de Terre) ภายในปี 2025 และรวมทั้งหมด 200คัน ภายในปี 2030
ระหว่างการรับฟังเพื่อพิจารณาวันที่ 15 ตุลาคม 2020 โดยคณะกรรมาธิการกับ Joël Barre หัวหน้าฝ่ายบริหารของสำนักงานจัดหากลาโหมฝรั่งเศส(DGA: Direction Générale de l'Armement),

สมาชิกสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส Jean-Charles Larsonneur เน้นย้ำถึงปัญหาความล้าสมัยต่างๆกับระบบ Hyperbar turbocharge และกล้องเล็งผู้บังคับการรถของรถถังหลัก Leclerc
สายการผลิตของระบบ Hyperbar turbocharge ของ ถ.หลัก Leclerc ได้ยุติลงในปี 2014 หลังจากบริษัท Nexter ฝรั่งเศสล้มเหลวที่จะได้รับงบประมาณ 4 million Euros จากกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศสที่จะคงสายการผลิตให้ดำเนินต่อไป

ตามรายงานคณะกรรมาธิการกลาโหมและกองทัพฝรั่งเศส ระบบที่มีความล้าสมัยบนรถถังหลัก Leclerc จะใช้เวลาเฉลี่ย 36เดือนที่จะต้องทำการปรับปรุงแก้ไข
นั่นหมายความว่าปัญหาเกี่ยวกับการจัดหาแหล่งที่มาอะไหล่สำหรับระบบย่อยที่ล้าสมัยสำหรับรถถังหลัก Leclerc จะมีผลกระทบต่อความพร้อมของรถถังหลัก Leclerc XL รุ่นปรับปรุงที่ลดลงในหลายปี

รถถังหลัก Leclerc ถูกผลิตโดยบริษัท GIAT ฝรั่งเศส(ปัจจุบัน Nexter) ในช่วงปี 1990-2008 โดยเข้าประจำการในกองทัพบกฝรั่งเศส 222คัน ส่งออกให้ลูกค้ารายเดียวคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 388คันที่ล่าสุดได้บริจาครถของตนให้จอร์แดน 80คัน
รถถังหลัก Leclerc มีพลประจำรถ 3นาย(ผู้บังคับรถ, พลขับ และพลยิง) ป้อมปืนรถติดตั้งปืนใหญ่รถถังลำกล้องเรียบ GIAT CN120-26/52 ขนาด 120mm พร้อมระบบบรรจุกระสุนอัตโนมัติที่รวดเร็ว

บริษัท KNDS Group ที่ตั้งขึ้นจากการรวมกิจการระหว่างบริษัท Krauss-Maffei Wegmann(KMW) เยอรมนี กับบริษัท Nexter ฝรั่งเศส(https://aagth1.blogspot.com/2015/12/kmw-nexter.html) กำลังพัฒนารถถังหลักแบบใหม่เพื่อทดแทน Leclerc ฝรั่งเศสและรถถังหลัก Leopard 2 เยอรมนี
ภายใต้โครงการ Main Ground Combat System ที่คาดว่าจะเข้าประจำการได้ในปี 2035 ที่จะเป็นการออกแบบก้าวไปข้างหน้า เพราะทั้ง Leopard 2 และ Leclerc เป็นระบบที่เก่ามากไม่สามารถจะปรับปรุงไปได้มากกว่านี้แล้วครับ(https://aagth1.blogspot.com/2018/06/knds-embt.html)

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Boeing จะทำการประกอบเครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F ของแคนาดาในสหรัฐฯถ้าตนชนะ

Boeing would perform Canadian Super Hornet final assembly in US

Two experts that spoke with Janes said Boeing’s proposal to perform Block III Super Hornet final assembly in the US and not Canada if it won Canada’s fighter competition was a reasonable business decision. 


Artist’s illustration of Boeing’s Block III Super Hornets with Canadian logos. (Boeing)



บริษัท Boeing สหรัฐฯจะดำเนินการประกอบขั้นสุดท้ายของเครื่องบินขับไล่ F/A-18 Block III Super Hornet ของตนในสหรัฐฯแทนที่จะเป็นที่แคนาดา
ถ้าตนเป็นผู้ชนะการแข่งขันโครงการขีดความสามารถเครื่องบินขับไล่อนาคต(FFCP: Future Fighter Capability Project) ของแคนาดา(https://aagth1.blogspot.com/2020/08/boeing-lockheed-martin-saab.html)

Jim Barnes ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจในแคนาดาของ Boeing Defense, Space, and Security อ้างเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2020 ว่าการเปิดสายการผลิตขนาดเล็กสำหรับดำเนินการประกอบขั้นสุดท้ายในโรงงานอากาศยาน St. Louis มลรัฐ Missouri ที่ซึ่งเครื่องบินขับไล่ Super Horner ถูกสร้าง 
แคนาดาจะจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ขั้นก้าวหน้าจำนวน 88เครื่องในฐานะส่วนหนึ่งของการแข่งขันของตน โดยเครื่องบินขับไล่เครื่องแรกคาดว่าจะได้รับมอบในปี 2025 การจัดหาคาดว่าจะมีวงเงินที่มูลค่า $11-14 billion

"มีการตัดสินใจว่าผลประโยชน์ของการจัดตั้งการปฏฺิบัติแบบเหล่านี้ขึ้นในแคนาดาไม่คุ้มค่าการลงทุน เรากำลังมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนตลอดอายุการใช้งานหลายทศวรรษสำหรับการแบ่งปันงานของหุ้นส่วนของเรา รวมถึงงานที่เป็นไปได้กับ Super Hornet กองทัพเรือสหรัฐ(US Navy)" Barnes กล่าว
Boeing กำลังแข่งขันกับเครื่องบินขับไล่ Saab Gripen E สวีเดนพร้อมสายการผลิตในแคนาดา(https://aagth1.blogspot.com/2020/03/saab-gripen-e.html) และเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35A Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) สหรัฐฯ สำหรับโครงการ FFCP

เครื่องบินขับไล่ของบริษัทผู้ชนะจะถูกนำมาทดแทนฝูงเครื่องบินขับไล่ Boeing F/A-18 Hornet รุ่นดั้งเดิม(CF-18/CF-188 ในประจำการกองทัพแคนาดา) ของกองทัพอากาศแคนาดา(RCAF: Royal Canadian Air Force)
ส่วนของผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรมและทางเทคนิค(ITB: Industrial and Technical Benefits) เป็นส่วนที่มีความสำคัญของข้อเสนอของผู้เข้าแข่งขัน

Jennifer Seidman ผู้จัดการความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์นานาชาติด้านแคนาดาของ Boeing กล่าวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2020 ว่า ทั้งด้านการพัฒนาการผลิตทักษะทางความมั่นคงเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอ ITB ของบริษัท Boeing แต่เธอไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
การเสนอของ Boeing สหรัฐฯระบุว่าเครื่องบินขับไล่ F/A-18 Super Hornet Block III เป็นระบบที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับกองทัพอากาศแคนาดา และหนึ่งสิ่งที่หาตัวจับได้ยากคือการรับประกันโอกาสมาสู่ภาคอุตสาหกรรมของแคนาดาในการสร้างงาน

อย่างไรก็ตามการตัดสินใจที่จะไม่เปิดสายการผลิตของ Super Hornet Block 3 ในแคนาดาถ้าหากว่า Boeing เป็นผู้ชนะในโครงการแข่งขันเครื่องบินขับไล่ใหม่ถือเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลทางด้านธุรกิจ
Boeing ได้มีการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว F/A-18E และเครื่องขับไล่สองที่นั่ง F/A-18F รุ่น Super Hornet Block 3 เครื่องทดสอบรวม 2เครื่องแก่กองทัพเรือสหรัฐฯในเดือนมิถุนายน 2020 ครับ(https://aagth1.blogspot.com/2020/06/boeing-fa-18ef-super-hornet-block-3.html)

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563

บัลแกเรียจะรับมอบเครื่องบินขับไล่ F-16 มือสองจากสหรัฐฯก่อนการส่งมอบ F-16V ชุดแรก

Bulgaria to receive surplus F-16s from US ahead of Block 70 delivery


Two U.S. Air Force F-16 Fighting Falcons assigned to the 555th Fighter Squadron, Aviano Air Base, Italy, and two Bulgarian air force MiG-29s fly over Graf Ignatievo Air Base, Bulgaria, during NATO enhanced Air Policing mission. (USAF)

A surplus US Air Force F-16 at the boneyard at Davis-Monthan Air Base, Arizona. Bulgaria is to be gifted two such aircraft to help prepare the country’s air force for the latest F-16V Block 70 from 2023. (309th Aerospace Maintenance And Regeneration Group)



บัลแกเรียจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-16 Fighting Falcon ส่วนเกินจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยเตรียมการสำหรับการมาถึงของเครื่องบินขับไล่ F-16V Block 70 ชุดแรกของตน 
การบริจาคถูกประกาศโดยสถานทูตสหรัฐฯในนครหลวง Sofia บัลแกเรียเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2020 ประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16 สองเครื่องของกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ที่ปลดประจำการแล้ว
เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2เครื่องที่สหรัฐฯบริจาคให้นี้จะใช้ในการฝึกนักบินและช่างอากาศยานของกองทัพอากาศบัลแกเรีย(BuAF: Bulgarian Air Force) ก่อนหน้าที่จะได้รับมอบ F-16V ชุดแรกจากทั้งหมด 8เครื่องของตน(https://aagth1.blogspot.com/2020/06/f-16v.html)

"ในความพร้อมกันกับที่ R Clarke Cooper(รัฐมนตรีช่วยด้านกิจการการเมืองและทางทหารกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ) มาเยือน(ฐานทัพอากาศและสถานที่ทางทหารหลายแห่งของบัลแกเรีย) สถานทูตสหรัฐฯประจำบัลแกเรียยินดีที่จะประกาศว่า
กองทัพอากาศสหรัฐฯมีความประสงค์ที่จะมอบเครื่องบินขับไล่ F-16 ที่ปลดประจำการแล้ว 2เครื่องแก่กองทัพอากาศบัลแกเรีย ประเด็นขึ้นอยู่กับการอนุมัติของสภา Congress สหรัฐฯ ตามการร้องขอของรัฐบาลบัลแกเรีย
โครงสร้างอากาศยาน 2เครื่องนี้จะถูกส่งมอบผ่านโครงการยุทโธปกรณ์ส่วนเกิน Excess Defense Articles(EDA) ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯเพื่อใช้ในฐานะเครื่องมือช่วยฝึกและสร้างความคุ้นเคยทั่วไปของกำลังพลกองทัพอากาศบัลแกเรีย" สถานทูตสหรัฐฯในบัลแกเรียกล่าว

การประกาศมีขึ้นระหว่างการเยือนของรัฐมนตรีช่วย Cooper มายังเครื่องบินขับไล่ F-16 กองบินขับไล่ที่31(31st Fighter Wing) กองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งวางกำลังชั่วคราวในภารกิจการเพิ่มขยายการตรวจตราทางอากาศของ NATO ณ ฐานทัพอากาศ Graf Ignatievo และ Bezmer ในบัลแกเรีย
สถานทูตสหรัฐฯประจำบัลแกเรียไม่ได้ระบุรุ่นหรือ Block ของเครื่องบินขับไล่ F-16 ส่วนเกินที่จะบริจาค และไม่ได้ระบุว่า F-16 ที่ 'ปลดประจำการ' แล้วเหล่านี้จะมีความสมควรเดินอากาศที่ยังทำการบินได้หรือใช้สำหรับการฝึกภาคพื้นดินเท่านั้นหรือไม่
เครื่องบินขับไล่ F-16 ส่วนเกินที่เคยประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯส่วนหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่สุสานอากาศยานในฐานทัพอากาศ Davis-Monthan AFB(Air Force Base) มลรัฐ Arizona สหรัฐฯ

บัลแกเรียได้สั่งจัดหาเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-16V Block 70 Fighting Falcon จากสหรัฐฯจำนวน 8เครื่อง ในสัญญาการขายรูปแบบ Foreign Military Sales(FMS) วงเงิน $512 million คาดว่าจะได้รับวงเงินเพิ่มเติมอีก $800 million สำหรับการสนับสนุน, การบริการ และอุปกรณ์
เพื่อที่จะทดแทนเครื่องบินขับไล่ Mikoyan MiG-29 (NATO กำหนดรหัส Fulcrum) กองทัพอากาศบัลแกเรีย ซึ่งประจำการมาตั้งแต่ยุค Warsaw Pact ที่เก่าและล้าสมัย(https://aagth1.blogspot.com/2018/12/f-16v-mig-29.html)
ในเดือนเมษายน 2020 บริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯได้รับสัญญาการสร้างเครื่องบินขับไล่ F-16V จำนวน 8เครื่องแก่บัลแกเรีย และมีกำหนดจะส่งมอบให้บัลแกเรียตั้งแต่ปี 2023 จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2027 ครับ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563

อินโดนีเซียรับมอบเป้าลวง Torpedo จาก ASELSAN ตุรกีสำหรับเรือดำน้ำชั้น Nagapasa

Indonesia takes delivery of torpedo countermeasures from Turkey
KRI Nagapasa 403 submarine of Indonesian Navy.




An effector from Aselsan’s Zoka range of torpedo countermeasure jammers and decoys. (Aselsan)



พัสดุจัดส่งของระบบก่อกวนและเป้าลวงทางเสียงต่อต้าน Torpedo ที่มีจุดหมายสำหรับใช้งานกับเรือดำน้ำโจมตีดีเซล-ไฟฟ้า(SSK) ชั้น Nagapasa กองทัพเรืออินโดนีเซีย(Indonesian Navy, TNI-AL: Tentara Nasional Indonesia-Angkatan Laut) ได้ถูกจัดส่งมาถึงอินโดนีเซียแล้ว
อุปกรณ์ซึ่งถูกส่งมอบโดยบริษัท Aselsan ตุรกี เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ลงนามในปี 2019 ได้เดินทางมาถึงอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2020 Janes ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้ชิดต่อเรื่องดังกล่าวนี้

อ้างอิงข้อมูลทางการจาก Aselsan ตุรกี Janes ได้รายงานครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2019 ว่าอินโดนีเซียได้เลือกเป้าลวงและก่อกวนสัญญาณแบบ Zoka หลายรูปแบบสำหรับเรือดำน้ำชั้น Nagapasa
ตัวก่อกวนสัญญาณ jammer ทำงานโดยการสร้างเสียงที่รบกวนคลื่นความถี่เสียงที่ใช้ปฏิบัติการใน Torpedo ที่เป็นที่รู้จักในตลาด ขณะที่เป้าลวง decooy สามารถตั้งค่าเพื่อจำลองคุณลักษณะทางเสียงและอุทกพลศาสตร์ของเรือดำน้ำต้นทางที่ปล่อยออกมาได้

ตัวสร้างสัญญาณก่อกวนและลวง effector เหล่านี้ถูกปล่อยออกมาจากระบบจ่ายเป้าลวง Zargana ซึ่งสามารถปล่อยเป้าลวงและตัวก่อกวนได้ถึง 24ตัวในการยิงแบบครั้งเดียวหรือแบบเป็นชุดโดยปราศจากการสร้างฟองอากาศใดๆที่อาจจะเปิดเผยตำแหน่งของเรือดำน้ำต้นทางให้ตกในอันตราย
ระบบจ่ายเป้าลวงนี้เป็นระบบพื้นฐานและไม่ขึ้นต่อรูปแบบการส่งข้อมูล(system-agnostic) และสามารถบูรณาการเข้ากับระบบอำนวยการรบ(CMS: Combat Management System) ของเรือต้นทางได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแผงควบคุมสำหรับระบบโดยเฉพาะ

PT PAL รัฐวิสาหกิจอู่ต่อเรืออินโดนีเซียจะทำงานกับวิศวกรจาก Aselsan ตุรกีเพื่อบูรณาการระบบประจำบนเรือกับเรือดำน้ำชั้น Nagapasa ทั้งสามลำ(https://aagth1.blogspot.com/2020/04/nagapasa.html
อินโดนีเซียได้ลงนามจัดหารือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้า Type 209/1400(DSME 1400) จำนวน 3ลำกับบริษัท Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering(DSME) สาธารณรัฐเกาหลีในปี 2011

กองทัพเรืออินโดนีเซียนำเรือดำน้ำชั้น Nagapasa สองลำแรกเข้าประจำการแล้วคือลำแรก KRI Nagapasa 403 และลำที่สอง KRI Ardadedali 404 และลำที่สาม KRI Alugoro 405 ซึ่งเป็นเรือดำน้ำลำแรกที่ถูกสร้างในอินโดนีเซียกำลังรอเข้าประจำการ
เรือดำน้ำชั้น Nagapasa มีความยาวเรือ 61.2m กว้าง 6.25m และกินน้ำลึก 5.5m ติดตั้งแหล่งกำเนิดพลังงานเครื่องยนต์ดีเซล MTU 12V 493 เยอรมนี 4เครื่อง ทำความเร็วสูงสุดขณะดำใต้น้ำที่ 21.5knots และขณะลอยอยู่ผิวน้ำที่ 11knots

กองทัพเรืออินโดนีเซียมีเรือดำน้ำโจมตีดีเซล-ไฟฟ้าชั้น Cakra(Type 209/1300) ที่จัดหาจากเยอรมนี 2ลำคือ KRI Cakra 401 และ KRI Nanggala 402 ที่เข้าประจำการมาตั้งแต่ปี 1981 เมื่อรวมกับเรือดำน้ำชั้น Nagapasa สามลำจะมีเรือดำน้ำรวมเป็น 5ลำ
กองทัพเรืออินโดนีเซียมีความต้องการที่จะมีเรือดำน้ำรวมทั้งหมด 8ลำ โดยได้มีการลงนามสัญญาจัดหาเรือดำน้ำชั้น Nagapasa ชุดที่สองเพิ่มเติม 3ลำ ที่จะมีการถ่ายทอดวิทยาการประกอบสร้างในอินโดนีเซียครับ(https://aagth1.blogspot.com/2019/04/nagapasa-3.html)

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2563

BAE Systems เสนอปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง ARCHER สำหรับกองทัพบกสหรัฐฯ

BAE Systems proposes Archer for US Army's towed howitzer replacement competition



BAE Systems is offering up its Archer mobile howitzer for a new US Army competition. (BAE Systems)









กองทัพบกสหรัฐฯ(US Army) กำลังอยู่ในการแสวงหาระบบปืนใหญ่อัตตาจรล้อยางขนาด 155mm ใหม่และบริษัท BAE Systems สหราชอาณาจักรสาขาสหรัฐฯได้ยื่นเสนอแบบปืนใหญ่อัตตราจรล้อยาง Archer ของตน
ซึ่งปัจจุบันได้เข้าประจำการในกองทัพบกสวีเดน(Swedish Army, Svenska armén) แล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2016/09/archer-48.html, https://aagth1.blogspot.com/2016/02/archer.html)

ตัวแทนบริษัท BAE Systems ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวภาคสนามเกี่ยวกับการเข้าแข่งขันของตนเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2020 และกล่าวว่าตนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบปืนใหญ่อัตตราจร Archer ที่ติดตั้งปืนใหญ่สนามวิถีโค้งขนาด 155mm/52calibre 
บนรถยนต์บรรทุกพ่วง Volvo A30 6x6 โดยไม่การเปลี่ยนรถแคร่ฐานบริษัทสามารถมอบระบบที่ผ่านการทดสอบภาคสนามอย่างเข้มงวดแล้ว ที่สามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็วแก่กองทัพบกสหรัฐฯ Chris King ผู้อำนวยการการพัฒนาธุรกิจของ BAE Systems กล่าว

King ยังเน้นว่าระบบปืนใหญ่อัตตราจร Archer สามารถที่จะบรรทุกบนเครื่องบินลำเลียงทางยุทธศาสตร์ C-17 Globemaster แต่ไม่ง่ายที่จะวางกำลังบนเครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธี C-130 Hercules ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force)
"กองทัพบกสหรัฐต้องตัดสินใจว่าอะไรที่ตนต้องการ ถ้าต้องการระบบ ป.155mm/52cal บนล้อยางและไปพร้อมกับกองพลน้อยยานเกราะล้อยาง Stryker ได้ นั่นเป็นไปได้ยากมากที่จะหาบางสิ่งแบบนั้นที่จะเข้าไปภายใน C-130 พอดีได้" เขากล่าว

"มันอาจจะเป็นไปได้ที่ควรจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนอื่นๆ เช่น การเอาเกราะป้องกันออกถ้าต้องการจะให้ระบบ(ปืนใหญ่อัตตาจร)มีน้ำหนักเบาขึ้น" King เสริม
ป.อัตตาจร Archer สามารถยิงกระสุนต่อต้านยานเกราะ BONUS ได้ที่ระยะยิง 35km, กระสุนตามแบบที่ระยะยิง 40km และกระสุนนำวิถีความแม่นยำสูงเช่น M982 Excalibur ที่ระยะยิงมากกว่า 50km รวมถึงมีห้องบรรจุกระสุนภายในความจุ 21นัด

"(ทหาร)สามารถรับการร้องขอ(ขณะกำลังขับรถเตรียมเดิน), หยุดบนไหล่ทางหรือบนถนน และภายใน 30วินาทีจะพร้อมตั้งฐานเตรียมยิง และสามารถทำการยิงได้ที่อัตราเร็ว 8นัดต่อนาที
จากนั้น(ทหาร) สามารถออกจากตำแหน่งที่ตั้งฐานยิงภายในเวลาน้อยกว่า 30วินาที เข้าสู่การเตรียมเดิน และขับไปได้ไกลออกไป 500m ภายใน 45วินาที" Henrik Knape ผู้จัดการโครงการระบบ Archer กล่าว

กองทัพบกสวีเดนได้จัดหาปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง Archer รวม 48ระบบ ซึ่ง 24ระบบเดิมเคยเป็นส่วนที่จะถูกจัดหาโดยกองทัพบกนอร์เวย์(Norwegian Army) แต่ถูกยกเลิกไป สวีเดนจึงต้องจัดหาระบบทั้งหมด
ระบบปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง Archer ทั้ง 48ระบบของกองทัพบกสวีเดนถูกนำเข้าประจำการใน กรมทหารปืนใหญ่ที่9(Artilleriregementet: A 9) ซึ่งมีที่ตั้งใน Boden ทางตอนเหนือของสวีเดนครับ

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

บราซิลนำเสนอเครื่องบินขับไล่ Gripen E ของตนอย่างเป็นทางการ

Gripen Officially Presented in Brazil














The Gripen E, named F-39E Gripen by the Brazilian Air Force (FAB), was officially presented today October 23rd.





เครื่องบินขับไล่ Saab Gripen E ที่ได้รับการกำหนดชื่อเป็นเครื่องบินขับไล่ F-39E Gripen โดยกองทัพอากาศบราซิล(Brazilian Air Force, FAB: Força Aérea Brasileira) ได้ถูกจัดแสดงต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ตุลาคม 2020
ระหว่างการฉลองวันนักบินและวันกองทัพอากาศบราซิล ณ กองบิน1 ใน Brasília โดยเครื่องบินขับไล่ Gripen E ทำการบินเหนือฐานทัพอากาศหลังการแสดงทางอากาศของเครื่องบินฝึกใบพัด Embraer EMB-314 Super Tucano ฝูงบินสาธิต Smoke Squadron กองทัพอากาศบราซิล

พิธีได้เชิญประธานาธิบดีบราซิล Jair Bolsonaro, รัฐมนตรีกลาโหมบราซิล Fernando Azevedo e Silva, ทูตสวีเดนประจำบราซิล Johanna Brosmar-Skoogh, ผู้บัญชาการกองทัพอากาศบราซิล พลอากาศเอก Antonio Carlos Moretti Bermudez, 
ผู้บัญชาการกองทัพอากาศสวีเดน พลอากาศตรี Carl-Johan Edström, หัวหน้าผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหารบริษัท Saab สวีเดน Marcus Wallenberg และประธานและผู้อำนวยการบริหาร Saab สวีเดน Micael Johansson ร่วมพิธีท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ

"มันเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่ได้เห็น Gripen E ในพิธีเฉลิมฉลองวันนักบินและวันกองทัพอากาศบราซิล ผมไม่เชื่อว่าจะมีโอกาสที่เหมาะสมมากกว่านี้สำหรับการนำเสนอนี้ ตามที่มันมีความหมายแท้จริงอย่างมากต่อนักบินบราซิลที่จะเครื่องบินทำการบินในท้องฟ้าของบราซิล
นี่เป็นผลลัพธ์ของความสำเร็จที่ประสบความสำเร็จระหว่างบราซิลและสวีเดน และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ต่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพิ่มเติมระหว่างสองประเทศ" Johansson ผู้อำนวยการบริหารและประธานของ Saab กล่าวแถลง

พลอากาศเอก Bermudez ชี้ให้เห็นว่าเครื่องบินขับไล่ใหม่จะพร้อมเร็วๆนี้เพื่อเริ่มการปฏิบัติการโดยกองทัพอากาศบราซิล "การพัฒนาและการผลิตเครื่องบินขับไลอัจฉริยะยังได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดโดยสมาชิกของกองทัพอากาศบราซิล
และการมีส่วนร่วมอย่างมืออาชีพจากหลายบริษัทแห่งชาติบราซิล ดังนั้นวันที่ 23 ตุลาคม ที่พิเศษยิ่งมากขึ้นในปีนี้ ตามที่เราได้จัดแสดงอย่างเป็นทางการของเครื่องบินขับไล่ F-39 Gripen เครื่องแรกที่มาถึงบราซิล"

เครื่องบินขับไล่ Gripen E เครื่องแรกของกองทัพอากาศบราซิลได้เดินทางมาถึงบราซิลเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2020(https://aagth1.blogspot.com/2020/09/gripen-e.html) และสามวันต่อมาได้ทำการบินครั้งแรกในบราซิล
จาก Navegantes (รัฐ Santa Catarina) ไปยัง Gavião Peixoto (รัฐ São Paulo) เพื่อเดินหน้าโครงการทดสอบการบินต่อไป(https://aagth1.blogspot.com/2020/09/gripen-e_26.html)

กิจกรรมการทดสอบในบราซิลรวมถึงการทดสอบระบบควบคุมการบินและควบคุมสภาพอากาศ เช่นเดียวกับการทดสอบเครื่องบินในสภาวะสภาพอากาศเขตร้อน นอกเหนือจากการทดสอบที่มีความร่วมกันกับโครงการเครื่องบินขับไล่ Gripen E คุณลักษณะเฉพาะของเครื่องบราซิลจะยังได้รับการทดสอบ เช่น การบูรณาการระบบอาวุธ และระบบสื่อสาร Link BR2 ซึ่งมอบการสื่อสารข้อมูลและเสียงที่เข้ารหัสแก่เครื่องบิน Gripen เครื่องแรกจะถูกส่งมอบให้กองทัพอากาศบราซิล ณ กองบินที่2 ใน Anápolis (รัฐ Goiás) ภายในสิ้นปี 2021(https://aagth1.blogspot.com/2020/07/saab-gripen-ef.html)

ความเป็นหุ้นกับบราซิลในโครงการ Gripen ได้เริ่มต้นในปี 2014 ด้วยสัญญาสำหรับการพัฒนาและเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F จำนวน 36เครื่องสำหรับกองทัพอากาศบราซิล รวมถึงระบบ, การสนับสนุน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น F-39E ที่นั่งเดี่ยว 28เครื่อง และ F-39F สองที่นั่ง 8เครื่อง
โครงการการถ่ายทอดวิทยาการที่กว้างขวางซึ่งมีขึ้นเป็นช่วงเวลากว่าสิบปีเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานท้องถิ่นบราซิลผ่านการมีส่วนร่วมของบริษัทหุ้นส่วนต่างๆในโครงการ Gripen ของบราซิล

ระหว่างช่วงเวลานี้ ช่างเทคนิคและวิศวกรบราซิลมากกว่า 350คนจะยังมีส่วนร่วมในการฝึกทางทฤษฎีและปฏิบัติในสวีเดนในคำสั่งเพื่อจัดหาองค์ความรู้ที่จำเป็นเพื่อดำเนินงานเดียวกันในบราซิล
จากนั้นบุคลากรมืออาชีพมากกว่า 230คนได้เสร็จสิ้นการฝึกและส่วนใหญ่กลับมายังบราซิลเพื่อทำงาน ณ ศูนย์ออกแบบและพัฒนา Gripen(GDDN: Gripen Design and Development Center)

เครื่องบินขับไล่ Gripen E/F ที่จะถูฏส่งมอบให้กองทัพอากาศบราซิลจะถูกพัฒนาแล้วผลิตในความร่วมมือกับช่างเทคนิคและวิศวกรบราซิล ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไปเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์จำนวน 15เครื่องจะทำขึ้นในบราซิล
การพัฒนาของเครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง Gripen F กำลังมีความก้าวหน้าด้วยกิจกรรมจำนวนมาก ณ ศูนย์ GDDN ในบราซิลครับ(https://aagth1.blogspot.com/2020/03/saab-gripen-f.html

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สวีเดนมีแผนที่จะประจำการเครื่องบินขับไล่ Gripen C/D เกินปี 2026

Sweden solidifies plan to retain Gripen C/D beyond 2026



Having earlier announced it would like to retain a number of its Gripen C/D fighters in service beyond their planned 2026 retirement date, the money and the political will has now been found to make this plan a reality. (Saab)



กองทัพอากาศสวีเดน(SwAF: Swedish Air Force, Svenska flygvapnet) จะยังคงประจำการเครื่องบินขับไล่ Saab JAS-39 Gripen C/D จำนวนหนึ่งของตนนานเกินแผนการปลดประจำการปัจจุบันที่ปี 2026
การเสริมความมั่นคงต่อแผนที่มีการประกาศก่อนหน้านี้มีขึ้นตามการคาดการณ์การขาดแคลนในจำนวนเครื่องบินขับไล่ Saab Gripen E(https://aagth1.blogspot.com/2019/12/saab-gripen-e.html)

แผนที่ถูกประกาศโดยกระทรวงกลาโหมสวีเดนในกลางเดือนตุลาคม 2020 และได้รับการยืนยันจากบริษัท Saab สวีเดนผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่ Gripen ในวันที่ 23 ตุลาคม 2020
เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มการใช้จ่ายกลาโหมแห่งชาติของสวีเดนหลายอย่างที่มากว่าร้อยละ40 ระหว่างปี 2021-2025 ที่ถูกเปิดเผยโดยรัฐมนตรีกลาโหมสวีเดน Peter Hultqvist

จากฝูงบินขับไล่ 6ฝูงบินของกองทัพอากาศสวีเดนที่ประจำการเครื่องบินขับไล่ Gripen C/D ฝูงบินขับไล่ 4ฝูงมีกำหนดที่จะเปลี่ยนแบบไปประจำการด้วยเครื่องบินขับไล่ Gripen ในอีกหลายปีข้างหน้าที่จะมาถึง
ตามที่ได้รับการเปิดเผยในการประกาศล่าสุดของรัฐมนตรีกลาโหมสวีเดน Hultqvist ฝูงบินขับไล่ 2ฝูงบินที่เหลือจะยังคงประจำการด้วยเครื่องบินขับไล่ Gripen C/D ที่มีอยู่ของตนต่อไป

ในปี 2017 Janes ได้รายงานครั้งแรกถึงความเห็นที่มีโดยนายทหารระดับสูงของกองทัพอากาศสวีเดนที่กล่าวว่าด้วยเครื่องบินขับไล่ Gripen E เพียง 60เครื่องที่จะถูกส่งมอบตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปี 2026(https://aagth1.blogspot.com/2017/05/gripen-c-2026-c-130h.html)
กองทัพอากาศสวีเดนกำลังเสนอที่จะยังคงประจำการ Gripen C จำนวน 73เครื่องของตนเกินเวลาที่ได้รับมอบ Gripen E ชุดสุดท้ายเพื่อรองรับช่องว่างจำนวนเครื่อง(มีการเปิดเผยแล้วว่าเครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง Gripen D จำนวน 24เครื่องน่าจะยังคงประจำการต่อไปในฐานะเครื่องบินฝึก)

แม้ว่าจำนวนเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว Gripen C ที่จะยังคงประจำการอยู่ยังเป็นตัวเลือก แต่ ณ เวลาดังกล่าวนั้นจะไม่มีการตั้งวงเงินงบประมาณเพิ่มแก่แผนดังกล่าว
ตามการเน้นโดย Saab สวีเดน ไม่เพียงแต่เฉพาะวงเงินตอนนี้เท่านั้น แต่ต้องกำหนดวันที่จะประจำการ 'เกินปี 2030' สำหรับเครื่องที่จะยังประจำการต่อไปด้วย

เครื่องบินขับไล่ Gripen C/D ได้เข้าประจำการในกองทัพอากาศสวีเดน, กองทัพอากาศฮังการี, กองทัพอากาศสาธารณรัฐเช็ก, กองทัพอากาศแอฟริกาใต้ และกองทัพอากาศไทย(RTAF: Royal Thai Air Force)(https://aagth1.blogspot.com/2020/02/2020.html)
Saab สวีเดนยังมีแผนที่จะกลับมาเปิดสายการผลิตเครื่องบินขับไล่ Gripen C/D ใหม่ ตามที่มีการเสนอขาย Gripen C/D จำนวน 12เครื่องแก่โครเอเชียครับ(https://aagth1.blogspot.com/2020/09/saab-gripen-cd.html)

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Elbit และ BAE Systems รวมกำลังในสังเวียนรถรบอนาคตกองทัพบกสหรัฐฯ

Elbit, BAE Systems combining forces in US combat vehicle arena

In 2019, Elbit Systems demonstrated a Future Fighting Vehicle Demonstrator that was an M113 armoured personnel carrier (APC) integrated with a host of its technologies designed to reduce manpower on combat vehicles. (Elbit Systems)


The US Army plans to issue a final RFP for its revamped Bradley replacement effort in December. (US Army )

บริษัท BAE System สหราชอาณาจักรสาขาสหรัฐฯที่ยังคงกัดฟันรอว่าตนจะได้เข้าชิงในโครงการแข่งขันเพื่อทดแทนรถรบทหารราบสายพาน M2 Bradley Fighting Vehicle ของกองทัพบกสหรัฐฯ(US Army) ที่ถูกแก้ไขใหม่หรือไม่
แต่บริษัทกล่าวกับ Janes ว่าการเชื่อมความเป็นหุ้นส่วนใหม่กับบริษัท Elbit Systems อิสราเอลสาขาสหรัฐฯจะช่วยตนเหมาะสมกับข้อเสนอดังกล่าวด้วยการเพิ่มขีดความสามารถต่างๆ

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2020 ทั้งสองบริษัทประกาศว่าตนได้จัดตั้งทีมที่จะพัฒนาและบูรณาการ "ขีดความสามารถทางปฏิบัติการขั้นก้าวหน้า" สำหรับรถรบภาคพื้นดิน
ความเป็นหุ้นส่วนนี้นำโดย ระบบพลประจำรถอัตโนมัติ, การป้องกันรถ และระบบเชิงรับและเชิงรุกอื่นๆของ Elbit ได้ถูกนำมารวมเข้ากับรถรบของ BAE Systems ที่มีอยู่ในปัจจุบันและอนาคต

"ลูกค้าของ BAE Systems ทั้งภายในประเทศและนานาชาติกำลังมองที่จะประปรุงความทันสมัยรถรบของตนและเพิ่มขยายขีดความสามารถของพวกมัน การจัดตั้งความเป็นหุ้นส่วนนี้จะมอบความคล่องแคล่วมากขึ้น
ในการพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ตรงความต้องการและกำหนดเวลาของลูกค้าเรา" โฆษกของบริษัท Amanda Niswonger พิมพ์ใน email ที่ถูกส่งตามมา

Niswonger ไม่ได้ระบุโดยตรงว่าโครงการดั้งเดิมและโครงการในอนาคตใดที่ความเป็นหุ้นส่วนนี้จะเร่งเดินหน้าเข้าหา แต่กล่าวว่า "เรากำลังหารือเป็นภายในเกี่ยวกับร่างเอกสารขอข้อมูล(RFP: Request for Proposal)
โครงการรถรบมีพลบังคับเป็นตัวเลือก OMFV(Optionally Manned Fighting Vehicle) และยังไม่ได้ตัดสินใจว่ามันเป็นโครงการที่เหมาะสำหรับ BAE Systems เพื่อที่จะเข้าแข่งขันหรือไม่"

BAE Systems ได้ทิ้งการแข่งขันการพัฒนาต้นแบบรถรบ OMFV ของกองทัพบกสหรัฐฯในปี 2019 โดยอ้างถึง "ข้อกำหนดความต้องการ" และ "กำหนดการการจัดหา" ของโครงการ
ตั้งแต่นั้นมากองทัพบกสหรัฐฯได้ทิ้งความพยายามและเปิดโครงการใหม่อีกครั้งด้วยความต้องการที่ดูเหมือนจะเข้มงวดน้อยกว่า ตามที่กองทัพบกสหรัฐฯยังไม่ได้ออกเอกสารขอข้อมูลสุดท้าย

ในเดือนสิงหาคม 2019 กระทรวงกลาโหมอิสราเอลได้เปิดตัวแนวคิดยานรบหุ้มเกราะรูปแบบใหม่ในชื่อ Carmel ที่ใช้ขีดความสามารถปัญญาประดิษฐ์(AI: Artificial Intelligence) อัตโนมัติ และเพิ่มขยายการหยั่งรู้สถานการณ์เพื่อบรรลุระดับใหม่ของความมีประสิทธิผลสนามรบ
โดยสามบริษัทของอิสราเอลคือ Elbit Systems, บริษัท Israel Aerospace Industries(IAI) และบริษัท Rafael Advanced Defense Systems ได้พัฒนารถต้นแบบของตนโดยใช้พื้นฐานจากรถสายพานลำเลียง M113 APC สหรัฐฯครับ(https://aagth1.blogspot.com/2019/08/carmel.html)

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

มาเลเซียนับจำนวนข้อบกพร่องที่พบบนเรือตรวจการณ์ Littoral Mission Ship ลำแรก KD Keris

Malaysia tallies deficiencies observed on first Keris-class littoral mission ship



KD Keris , seen here whrere it arrived in Malaysia on 17 January 2020. (Royal Malaysian Navy)

กองทัพเรือมาเลเซีย(RMN: Royal Malaysian Navy, TLDM: Tentera Laut DiRaja Malaysia) ได้รวบรวมรายการข้อบกพร่องที่ถูกสังเกตพบขณะปฏิบัติการเรือตรวจการณ์ชั้น Keris(LMS: Littoral Mission Ship)
และขณะนี้กำลังอยู่ในการหารือกับกลุ่มผู้รับสัญญาที่ถูกเลือกเพื่อจะปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นและเพื่อป้องกันปัญชาเช่นเดียวกันกับเรือลำอื่นในชั้น(https://aagth1.blogspot.com/2020/01/littoral-mission-ship-kd-keris_19.html)

รัฐบาลมาเลเซียได้ลงนามสัญญาเพื่อจัดหาเรือตรวจการณ์ชั้น Keris จำนวน 4ลำกับ China Shipbuilding Industry Corporation(CSIC) รัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมทางเรือจีนในเดือนเมษายน 2017(https://aagth1.blogspot.com/2017/03/littoral-mission-ship.html)
เป็นเรือรบแบบแรกที่มาเลเซียจัดหาจากจีน และเรือลำแรกของชั้น KD Keris หมายเลขเรือ 111 ได้เข้าประจำการในเดือนมกราคม 2020(https://aagth1.blogspot.com/2020/01/littoral-mission-ship-kd-keris_7.html)

รายการข้อบกพร่องที่ถูกพบ ซึ่งได้ถูกมอบข้อมูลให้แก่ Janes โดยแหล่งข่าวในภาคอุตสาหกรรมที่สามารถเข้าถึงการหารือดังกล่าวได้ ตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาที่ถูกตรวจพบบนเรือตรวจการณ์ชั้น Keris นั้น ส่วนใหญ่วนเวียนอยู่กับระบบอุปกรณ์ตรวจจับและระบบการรบที่มีแหล่งที่มาจากจีนของตัวเรือ
เรือตรวจการณ์ชั้น Keris ซึ่งมีความยาวตัวเรือรวม 68.8m ติดตั้งระบบติดตามเป้าหมาย EOTS(Electro Optical Tracking System) แบบ OFC-3 จากสถาบัน Electro-Optics Huazhong(Huazhong Institute of Electro-Optics),

Radar ตรวจการณ์อากาศและผิวน้ำแบบ SR2405A จากสถาบัน Radar ทางทะเล Nanjing(Nanjing Marine Radar Institute) และระบบตรวจจับการแพร่คลื่นไฟฟ้า ESM(Electronic Support Measure) จากสถาบันอุปกรณ์ไฟฟ้าตะวันตกเฉียงใต้จีน(Southwest Institute of Electronic Equipment of China)
เรือยังติดตั้ง Radar นำร่องแบบ VisionMaster FT 250 จากบริษัท Sperry Marine สหราชอาณาจักร ซึ่งทำงานร่วมกับเครื่องแสดงแผนที่และข้อมูลเดินเรือ ECDIS(Electronic Chart Display and Information System) และระบบพิสูจน์ทราบอัตโนมัติ AIS(Automatic Identification System)

ในส่วนของระบบอาวุธเรือตรวจการณ์ชั้น Keris ติดตั้งปืนใหญ่กลเอนกประสงค์ CS/AN3 ขนาด 30mm จาก Chongqing Chang’an Industrial Group Limited จีน ในตำแหน่งปืนเรือหลักที่หัวเรือ
และปืนกลหนัก CS/LM6 ขนาด 12.7mm สองแท่นยิงจาก Sichuan Huaqing Machinery Company Limited จีน ในตำแหน่งปืนรองที่กราบซ้ายและกราบขวาของเรือ

เรือตรวจการณ์ชั้น Keris ลำที่สอง KD Sundang หมายเลขเรือ 112 ที่ปล่อยเรือลงน้ำเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019(https://aagth1.blogspot.com/2019/07/littoral-mission-ship-kd-sundang.html) ควรน่าจะถูกนำเข้าประจำการภายในปี 2020 นี้จากกำหนดเดิมในเดือนเมษายน 2020
พลเรือเอก Mohd Reza Mohd Sany ผู้บัญชาการกองทัพเรือมาเลเซียในขณะนั้นกล่าวในพิธีต้อนรับเรือตรวจการณ์ KD Keris ว่าเรือชั้น Keris ที่เหลืออีกสองลำหลังซึ่งยังไม่ได้รับการตั้งชื่อคาดว่าจะเดินทางมาถึงมาเลเซียในเดือนพฤษภาคม 2021 และเดือนสิงหาคม 2021 ตามลำดับ

เดิมมาเลเซียมีแผนที่จะให้อู่เรือ Boustead Naval Shipyard(BNS) มาเลเซียทำการต่อเรือตรวจการณ์ชั้น Keris สองลำหลังผ่านการถ่ายทอดวิทยาการ แต่ได้มีการแก้ไขสัญญาใหม่ให้เรือทั้งหมด 4ลำถูกสร้างในจีน(https://aagth1.blogspot.com/2019/03/littoral-mission-ship_31.html)
Janes ได้รายงานในเดือนกันยายน 2020 ว่ากองทัพเรือมาเลเซียได้เริ่มขั้นตอนเบื้องต้นที่จะประเมินค่าความเป็นได้ของแบบเรือใหม่สำหรับโครงการเรือตรวจการณ์ LMS ระยะที่สอง โดยมีสี่บริษัทผู้สร้างเรือและหนึ่งกลุ่มร่วมทุนระหว่าง Damen เนเธอร์แลนด์และ Destini มาเลเซียที่เสนอแบบเรือของตนครับ