วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทะเลไทยตื้นเกินไปสำหรับเรือดำน้ำเป็นสิ่งที่ควรจะเลิกพูดได้แล้ว

จะซื้อเรือดำน้ำไปรบกับใคร โดย ลม เปลี่ยนทิศ
http://www.thairath.co.th/content/489841

เป็นความคิดที่นำกลับมากล่าวย้ำซ้ำๆบ่อยครั้งของสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่พยายามจะบอกเล่าให้ประชาชนที่รับทราบข่าวสารมาตลอดต่อเนื่องยาวนานว่า
"ทะเลไทยตื้นเกินไปสำหรับเรือดำน้ำ" และ "เรือดำน้ำไม่มีความจำเป็นสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน"
มันน่าตลกที่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะเชื่อสื่อกระแสหลักมากกว่าจะที่เชื่อคำชี้แจงประชาสัมพันธ์จากกองทัพเรือซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลปกป้องน่านน้ำไทย
ผมจะสรุปข้อโต้แย้งของประเด็นหลักๆที่ชอบพูดถึงนี้ให้สั้นที่ที่สุดนะครับ

ภาพลายเส้นตัดขวาง เรือดำน้ำชุด ร.ล.มัจฉาณุ

ไม่เป็นความจริงที่ว่าทะเลไทยตื้นเกินไปสำหรับเรือดำน้ำ
มีเอกสาร บทความ ประชาสัมพันธ์ชี้แจงมาก็มากถึงเรื่องนี้
โดยในด้านอ่าวไทยนั้นช่วงอ่าวตอนกลางและตอนล่างเลยจากปากอ่าวรูปตัว ก.ของเขตน่านน้ำอ่าวไทยชั้นในนั้นมีความลึกมากพอสำหรับการปฏิบัติการของเรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้าที่ระวางขับน้ำประมาณ 1,000tons ขึ้นไปได้
ซึ่งถ้าย้อนไปในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่๒ เรือดำน้ำเดินสมุทรขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรทั้ง กองทัพเรือสหรัฐฯและกองทัพเรือสหราชอาณาจักร ก็เคยนำเรือเข้ามาปฏิบัติการในเขตอ่าวไทยมาแล้ว
เช่นการลักลอบส่งเสรีไทยขึ้นฝั่ง หรือจมเรือต่างๆ ตัวอย่างเช่น ร.ล.สมุย(ลำที่๑) ซึ่งถูกเรือดำน้ำยิงจมใกล้เกาะโลซิน ระหว่างภารกิจลำเลียงน้ำมันจากสิงคโปร์มาไทย เมื่อ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๘
เรือดำน้ำอย่าง SS-315 USS Sealion ที่มีบันทึกปูมเรือว่าปฏิบัติการในเขตอ่าวไทยนั้นเป็นเรือดำน้ำชั้น Balao ซึ่งความยาวตัวเรือ 95m มีระวางขับน้ำขณะอยู่บนผิวน้ำ 1,550tons และขณะดำใต้น้ำ 2,500tons แล้ว

โดยในช่วงยุคปัจุบันนี้เองก็มีกองทัพเรือมิตรประเทศของไทยส่วนเรือดำน้ำมาเยี่ยมหรือร่วมฝึกกับกองทัพเรือไทยอยู่บ้าง
เช่น เรือดำน้ำชั้น Los Angeles กองทัพเรือสหรัฐฯซึ่งเป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ SSN ความยาวตัวเรือ 110m ระวางขับน้ำสูงสุด 6,900tons ก็เคยนำเรือเข้ามาฝึกที่อ่าวไทยมาแล้ว
ซึ่งเรือดำน้ำของกองทัพเรือมิตรประเทศเหล่านี้สามารถนำเรือดำลงใต้น้ำได้ในเขตอ่าวไทยได้ และการฝึกการค้นหาเรือดำน้ำเท่าที่เคยอ่านข้อมูลมาพบว่า
ขณะนั้นหมู่เรือปราบเรือดำน้ำของไทยไม่สามารถหาเรือข้าศึกสมมุติพบและผู้บังคับการเรือดำน้ำขึ้นผิวน้ำแสดงตัวเมื่อจบการฝึกซึ่งเรือก็ดำอยู่ใกล้ๆกับหมู่เรือปราบเรือดำน้ำนั่นเอง

SSN-715 USS Buffalo in Thailand 2012 

อีกเรื่องที่ถูกกล่าวพร้อมกันคือทะเลไทยน้ำใสและตื้นเรือดำน้ำดำลงไปมองด้วยตาเปล่าทางอากาศก็เห็นแล้ว
ในความเป็นจริงคือสภาพน้ำทะเลทั้งอ่าวไทยและอันดามันนั้นถ้าเรือดำน้ำดำลึกราว 5m ลงไปก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว
ซึ่งในทะเลนั้นมีปัจจัยเรื่องชั้นอุณหภูมิที่เกิดความแตกต่างของชั้นความเค็มเกลือในทะเล และสภาพพื้นใต้ทะเล ซึ่งเป็นปัจจัยในการรบกวนการสะท้อนคลื่นเสียงของ Sonar ในการค้นหาเรือดำน้ำด้วย
เรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้าซึ่งขับเคลื่อนด้วย Motor ไฟฟ้าขณะดำใต้น้ำซึ่งมีความเงียบสูงในเขตทะเลน้ำตื้นนั้นจึงทำการค้นหาได้ยาก และการฝึกปราบเรือดำน้ำหลายๆครั้งของกองทัพเรือที่ผ่านมาก็แสดงผลที่ว่านี้ชัดเจน

ไม่เป็นความจริงที่ว่าเรือดำน้ำไม่มีความจำเป็นเพราะประเทศไทยไม่ได้รบกับใคร
สั้นๆคือเราไม่รู้ว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไร และถ้าเกิดสงครามขึ้นเราจะไม่สามารถชนะสงครามได้ถ้าปราศจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีพอ

ลักษณะสภาพภูมิศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทยนั้นมีความใกล้เคียงกับบางประเทศในกลุ่มยุโรปเช่น นอร์เวย์ หรือ สวีเดน ที่มีทั้งอ่าวกึ่งปิดมีทางออกมหาสมุทรใหญ่อย่างทะเล Baltic หรือ ทะเลเปิดอย่างทะเลเหนือ
ซึ่งกองทัพเรือนอร์เวย์ก็มีเรือดำน้ำชั้น Ula ๖ลำ กองทัพเรือสวีเดนก็มีเรือดำน้ำชั้น Sodermanland ๒ลำ และเรือดำน้ำชั้น Gotland ๓ลำ และกำลังจะสร้างเรือดำน้ำแบบ A26 ใหม่ ๒ลำ
โดยทั้งสองประเทศนี้คือสวีเดนซึ่งเป็นประเทศเป็นกลาง และนอร์เวย์ซึ่งเป็นสมาชิก NATO ต่างเคยปรับลดกำลังกองทัพลงหลังยุคสงครามเย็นในช่วงปี 1990s-2000s
แต่จากสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนไปรวดเร็วหลังรัสเซียแทรกแซงยูเครนและส่งกำลังรบทางอากาศและทางเรือคุกคาม สวีเดน ฟินแลนด์ ซึ่งทั้งสองเป็นประเทศเป็นกลาง ในเขตทะเล Baltic มากขึ้น
ซึ่งในด้านเรือดำน้ำนั้นเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2014 แล้วก็มีรายงานว่าเรือดำน้ำไม่ปรากฎสัญชาติ(คาดว่าน่าจะเป็นเรือดำน้ำรัสเซีย)รุกล้ำน่านน้ำสวีเดน จนกองทัพสวีเดนต้องปฏิบัติการค้นหาเรือดำน้ำครั้งใหญ่แต่ก็หาไม่พบ
ปัจจุบันนี้ชาติกลุ่ม Nordic จึงได้เพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงในการรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียรวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปรับลดขนาดกองทัพมาตลอดเพราะคิดว่าไม่มีภัยคุกคามแล้ว

ก็อย่างที่กล่าวไปว่าเราไม่รู้ว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไร เราจะไปรู้อนาคตได้อย่างไรว่าประเทศเพื่อนบ้านอันแสนจะน่ารักและอบอุ่นรอบข้างเรานั้นวันหนึ่งจะหันอาวุธมายิงใส่เราเมื่อใด
การที่สนใจแต่การพัฒนาเศรษฐกิจจนตัดลดงบประมาณด้านความมั่นคงเป็นสิ่งที่ประเทศต่างๆถ้าไม่จำเป็นจริงๆไม่ควรจะทำกัน (เหมือนบ้านสวยร่ำรวยทรัพย์สิน แต่รั้วห่างหลังคาโหว่ โจรก็เข้าบ้านได้ง่ายขึ้น)


งานของกองทัพเรือและกองเรือดำน้ำซึ่งเป็นหน่วยที่เกี่ยวข้องโดยตรงในเรือนี้ก็คงจะต้องทำหน้าที่เช่นเดิมคือการประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้ประชาชนและสื่อมวลชนทราบถึงข้อเท็จจริงในการจัดหาเรือดำน้ำครับ
แต่โดยส่วนตัวค่อนข้างกังวลว่าการประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงนี้จะมีอุปสรรคอีกมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงความเชื่อของประชาชนส่วนใหญ่และสื่อเป็นสิ่งที่ทำได้ยากด้วยวัฒนธรรมของผู้คนในกลุ่มประเทศแถบอุษาคเนย์นี้
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อกองทัพเรือไทยตั้งกองเรือดำน้ำขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องจัดหาเรือดำน้ำให้ได้อยู่ดี เพราะถ้ายิ่งช้าออกไปมากเท่าไรความมั่นคงทางทะเลของไทยก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้นครับ