ประวัติศาสตร์คราวๆของวงการการ์ตูนไทยยุคใหม่เท่าที่ผมทราบมาบ้างเล็กน้อยน่าจะเริ่มต้นขึ้นจากยุคที่วงการการ์ตูนไทยในภาพรวมเข้าสู่ยุคการ์ตูนลิขสิทธิ์เต็มตัว
ซึ่งนอกจากการ์ตูนดังจากญี่ปุ่นที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องในไทยแล้ว
การ์ตูนไทยยุคใหม่ที่เขียนในลักษณะการ์ตูนญี่ปุ่น(manga) ก็เริ่มต้นขึ้นในช่วงใกล้เคียงกันด้วยน่าจะตั้งแต่นิตยสาร
Thai Comic ของวิบูลย์กิจ ในปี ๒๕๓๖
การ์ตูนไทยยุคบุกเบิกที่ลงใน BOOM ของ Nation หรือใน C-Kids ของ Siam Inter Comics ยุคต้นๆ พอเข้าช่วงปี ๒๕๔๐กว่าก็มี Manga Katch ของ B
Boyd CG เริ่มเข้าสู่ยุคทองช่วงปี ๒๕๔๓ เช่น CX, SEED ของ Future View, Comic Quest, Cosmic Comic, Cereal Comix, Let’s
Comic, Adenium Comic เป็นต้น
แต่เข้ายุคปัจจุบันปี
๒๕๕๗ นี้ นิตยสารหลายหัวในข้างต้นจนถึงตัวสำนักพิมพ์เองก็มีได้มีการปิดตัวลงไปมากแล้ว
คำถามคือเกิดอะไรขึ้น? เหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากสภาพโดยรวมของตลาดสื่อสิ่งพิมพ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะ...
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องจริงของใครบางคน
หรือไปฟังใครเขาเล่ามาให้ได้ยินอีกทีนะครับ
อ่านแล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องราวสมมุติในโลกจินตนาการอะไรสักอย่างแล้วกันนะครับ
เรื่องที่๑ หน้าที่ต้องเขียน
ผมชื่อปัญจวรรษ แต่แฟนๆนักอ่านการ์ตูนหลายคนจะรู้ผมดีในชื่อ
‘ริวคิโตะ’
นักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งตั้งแต่สมัยที่ผมเปิดตัวผลงานตัวเองในตลาดโดจินเมื่อสักเกือบ
๑๐ปีก่อน (แหม..อย่างมองผมแบบนั้นสิครับ ผมไม่ได้เขียนเรื่อง ‘อย่างว่า’ หรอก)
อาจจะเป็นการอวดตัวไปสักนิด
แต่ปัจจุบันผมได้ทำงานเป็นนักเขียนประจำสำนักพิมพ์สุวรรณสาสน์
ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มีสื่อในสังกัดหลายแขนงทั้ง หนังสือพิมพ์
และการ์ตูนที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ ผมเองก็เขียนการ์ตูนออริจินอลของตนลงตีพิมพ์ในนิตยสาร
NGen-Comic ซึ่งเป็นนิตยสารรายสัปดาห์ที่ลงการ์ตูนของญี่ปุ่น
และเพิ่งจะมีการเพิ่มหมวดการ์ตูนไทยเข้าไปเมื่อสัก ๕ปีก่อน ผมได้รับโอกาสเข้ามาเป็นนักเขียนประจำจากการประกวดนักเขียนมือใหม่ของ
NGen เองเมื่อ ๒ปีก่อน
ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็เคยได้ยินชื่อเสียงของ บก.ชู
ซึ่งเป็นบรรณาธิการของแผนกการ์ตูนไทยที่พยายามผลักดันวงการการ์ตูนไทยมาตลอดกว่า ๑๐ปี
และวิสัยทัศน์ของ คุณ วิโรจน์ หรือ เสี่ยง้วน ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของ NGen ที่ประกาศว่าจะผลักดันการ์ตูนไทยให้ไปสู่ตลาดสากล ทำให้ผมมีความศรัทธาต่อสิ่งที่ผมทำเป็นอย่างยิ่งจากประสบการณ์ตั้งแต่เด็กๆที่ไม่ว่าจะผู้ปกครองหรือครูมองว่าการ์ตูนเป็นเรื่องไร้สาระมาตลอด…แต่สิ่งที่ผมเห็นและเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไปนี้มันทำให้ผมไม่แน่ใจแล้วละครับ
มันเป็นวันที่ผมจะซื้อ NGen ฉบับล่าสุดที่วางแผงมาเก็บไว้ถึงแม้ว่างานของผมเองจะลงตีพิมพ์แบบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ก็เถอะ
และการ์ตูนญี่ปุ่นที่ลงในนั้นผมก็อ่านต้นฉบับจากแผนกแปลมาแล้ว (แฮะๆ)...แต่สิ่งที่ผมพบ
NGen ฉบับนี้ทำให้ผมต้องเดินจ้ำมาหา
บก.ชู ที่แผนกการ์ตูนไทยทันที
“พี่ชู! นี่หมายความไง!” ผมยืน NGen ฉบับล่าสุดให้ชายร่างท้วมในชุดเสื้อเชิ้ทลายทาง
“ทำไมวะไอ้ริว แล้วต้นฉบับมึงละ!?”
“ต้นฉบับเอาไว้ก่อน พี่ดูนี่!”
ผมเปิดหน้าโฆษณาประชาสัมพันธ์ซึ่งข่าวในหน้านั้นมีอยู่ว่า ‘Kraiserdom กำลังจะถูกทำเป็นเกม
RPG’ ซึ่ง Kraiserdom นี้ก็คือเรื่องที่ผมกำลังวาดอยู่และวาดมาได้
๒ปี และก็ออกรวมเล่มหลายฉบับแล้ว บก.ชู หันมายักไหล่ให้ผมนิดหนึ่ง
“ก็ดีนิ? การ์ตูนกูอย่างว่าแต่เป็นเกมเลย
หลายเรื่องตีพิมพ์ไม่ถึงปี รวมเล่มบางเรื่องยังไม่มีเลย...”
“ไม่พี่!
ปัญหามันอยู่ที่ว่าการ์ตูนผมจะเป็นเกมทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องละ!?”
“เสี่ยง้วนแกอาจจะอยากเซอร์ไพร์มึงก็ได้นี้หวา”
บก.ชูกกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วพูดกับผมแบบสบายๆ
“ไม่พี่!" ผมมอง บก.ชูด้วยสายตาจริงจัง “ผมไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะเอาการ์ตูนผมไปทำเป็นเกม
ผมดีใจด้วยซ้ำ แต่! ถ้าเขาจะบอกผมก่อน!”
“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา
มึงก็สงบสติก่อน...” บก.ชูตอบดูเหมือเขาพยายามพูดให้ผมใจเย็นลง
“ไม่! ผมเป็นเจ้าของเรื่องนะ!
ทำแบบนี้มันไม่ได้ให้เกียรติ..”
“งั้นมึงก็ไปคุยกับเสี่ยง้วนเองไป!”
บก.ชูตัดบทการคุยกัน ผมในตอนนั้นซึ่งเลือดขึ้นหน้าก็ตัดสินใจทันที่ว่า
“ได้พี่! ผมจะไปคุยกับเสี่ยง้วน” ก่อนที่ผมจะเดินออกไป
บก.ชู ตะโกนมาหาผมว่า
“เฮ้ย ริว! ต้นฉบับเสร็จยัง”
“วางบนโต๊ะแล้วพี่!” ตอนนั้นไม่มีใครคิดหรอกว่าผมจะไปพบกับเสี่ยง้วนจริงๆ
ผ่านไปสี่วันก่อนที่กำหนดการส่งต้นฉบับของตอนต่อไป
ผมรอการเข้าพบของเสี่ยง้วนเป็นเวลานาน
ทุกวันผมต้องเจอเลขาหน้าห้องหน้าใสและสมองฝ่อพูดให้ผมต้องกลับไปทุกครั้งอย่างเช่น
“วันนี้เสี่ยไปประชุมร่วมกับคณะกรรมการบริษัทนะคะ”
“วันนี้เสี่ยต้องบินไปเจรจาลิขสิทธิ์หนังสือที่ญี่ปุ่นนะคะ”
“วันนี้เสี่ยลาพักไปออกรอบกับเพื่อนค่ะ”
และวันนี้ความพยายามของผมก็สามารถเอาชนะเสี่ยง้วนได้เมื่อเสี่ยยอมคุยกับผมเป็นเวลา
๑๐นาทีในช่วงเย็นก่อนออฟฟิสจะปิด
“เชิญค่ะ คุณปัญจวรรษ” ผมได้ยินคำพูดอื่นจากยัยเลขาสมองน้อยนี่เสียที
“นั่งก่อนสิ!”
หลังจากปิดประตูชายวัยกลางคนร่างสูงรูปร่างค่อนข้างผอม
เชิญผมที่นั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เหมือนกับพนักงานในบริษัทใหญ่ๆทั่วไป
ผมเองแทบจะไม่ได้พูดคุยกับเสี่ยง้วนโดยตรงเลย
นอกจากครั้งล่าสุดที่ผมได้รับรางวัลนักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่เมื่อสองปีก่อน
“เอาละ! เข้าเรื่องเลยละกันนะ”
เสี่ยง้วนนั่งลงที่เก้าอี้ทรงสูงตัวใหญ่ มันดูภูมิฐานสมกับคนระดับผู้บริหาร
แต่เสี่ยก็พูดกับผมอย่างค่อนข้างจะเป็นกันเอง
“ผมต้องขอโทษคุณด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องที่จะเอางานของคุณไปทำเป็นเกม”
ผมกำลังจะอ้าปากถามถึงเหตุผลเสี่ยก็พูดต่อทันที
“ต้องเขาใจนะว่าผมเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบมาก
ผมอาจจะดูแลหรือแจ้งอะไรไปไม่ทั่วถึง ผมต้องขอโทษที่ทำให้คุณไม่สบายใจนะ” มันเป็นคำพูดที่ออกจะเป็นทางการอย่างไรไม่ทราบ
ไม่รู้สิ! เป็นผมเป็นนักเขียนการ์ตูนไม่นักธุรกิจ แต่..ผมรู้อย่างหนึ่งว่า
“จริงๆประเด็นมันคือว่าเรื่องของผมถูกนำไปเจรจากับบริษัททำเกม
โดยที่ทำไมผมไม่ได้รับทราบหรือเข้าประชุมด้วยละครับ”
“คุณควรทราบนะว่า
นั่นเป็นหน้าที่ในการดำเนินธุรกิจของฝ่ายบริหาร การตลาด”
เสี่ยง้วนพยายามอธิบายให้ผมเข้าใจเรื่องของธุรกิจแบบง่ายๆให้นักเขียนการ์ตูนอย่างผมทราบ
“มันไม่ควรจะเป็น อย่างนั้นครับ!” เสี่ยง้วนหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง
“...แล้ว”
“มันเป็นงานผม!
ผมควรจะมีสิทธิในการตัดสินใจสิว่าผมจะอนุญาตให้นำงานของผมไปทำอะไรได้บ้าง”
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ..”
เสี่ยวง้วนเริ่มโบกมือปราม แต่ผมก็ยังพูดต่อ
ไม่ใช่ให้บริษัทมาตัดสินใจเองโดยที่ไม่มีผมที่เป็นเจ้าของผลงาน..."
"หุบปากนะ! ไอ้เด็กบ้า!!" เสี่ยง้วนลุกขึ้นตวาดใส่หน้าผมดังลั่นห้อง
“ลื้อคิดว่าลื้อเป็นใครวะหา! อั๊วะให้การ์ตูนบ้าๆไร้สาระของลื้อพิมพ์ในหนังสืออั๊วะก็บุญเท่าไรแล้ว!
ลื้อเป็นพนักงานประจำของอั๊วะ! กินเงินเดือนอั๊วะ! อั๊วะจะทำอะไรกับงานลื้อก็ได้! จะบอกให้นะถ้าคิดว่าลื้อรับไม่ได้แล้วจะออกจากที่นี่ก็เชิญเว้ย!
อั๊วะไม่ง้อ! อั๊วะซื้อการ์ตูนญี่ปุ่นมาขายเดือนเดียวได้เงินมากกว่ารวมเล่มการ์ตูนห่วยๆของลื้อทั้งปีอีก!
อย่าว่าแต่ที่นี่เลย ต่อให้สำนักพิมพ์อื่นในไทยหรือที่ญี่ปุ่นเขาก็ใช้ระบบแบบนี้ทั้งนั้น!
อั๊วะไม่ได้ทำการ์ตูนไทยเพื่อช่วยชาตินะโว้ย! ทำเอาเงินเข้าใจไหม! จะบอกให้อีกอย่าง
ทางบอร์ดบริหารข้างบนนะเขาอยากให้อั๊วะยุบแผนกการ์ตูนไทยควายๆไม่ทำกำไรนี้นานแล้วโว้ย!
แต่เห็นแก่ว่าลื้อเป็นเด็กใหม่ มาคุยกับอั๊วะตรงๆ
อั๊วะจะยังใจดีไม่ไล่ลื้อออก ออกจากห้องอั๊วะไปได้แล้วไป!”
ตอนนั้นผมรู้สึกชาไปหมดหลังจากออกจากสำนักพิมพ์ขึ้นรถเมล์กลับหอพักดื่มเบียร์ย้อมใจสักสี่กระป๋อง
แต่ผมก็ยังเบลอและงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี มันชัดเจนขึ้นอีกครั้งเมื่อวันรุ่งขึ้นผมเข้าไปที่แผนกการ์ตูนไทย
บก.ชู รอผมอยู่
“มึงไปทำบ้าอะไรมาเมื่อวาน!”
เขาถามผมด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรแววตาแข็งกร้าว
“คิดว่าตัวเองดังเลยปีกกล้าขาแข็งได้ใช่ไหม!”
บก.ชูพูดใส่ผมเป็นชุด
"ทำอะไรไว้นะคนซวยนะกูเว้ย!
กูยังมีเมีย มีลูกจะขึ้น ป.๓ กับหมาอีก ๒ตัวที่ต้องดูแล
กูยังไม่อยากตกงานเพราะมึงนะโว้ย! หรือว่าอยากให้กูสั่ง 'ตัดจบ' เรื่องของมึงดีละ
จะได้รู้สำนึกว่าที่นี่ใครใหญ่!”
ผมเคยได้ยินเรื่องราวของ บก.ชู
ที่นักเขียนรุ่นเดียวกันที่เลิกเขียนไปบ้างแล้วเล่าไว้เกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างของเขา
ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วละว่าจริงๆแล้วเขาคืออะไรกันแน่?
“อ้อ! ต้นฉบับเสร็จยัง?”
บก.ชูพูดเรื่องประจำนี้อีกครั้ง
“ยังเหลืออีก ๖หน้าครับ”
“ทำให้เสร็จภายในบ่ายสองวันนี้!”
บก.ชูก็ยักไหล่แล้วเดินจากไป หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเรียกเขาว่า
‘พี่’ และเขาก็ไม่เคยคุยกับผมอีกเลย ยกเว้นเรื่องงาน ผมนั่งลงที่โต๊ะ
หยิบกระดาษขาวเอ๔ ดูเนมที่ทำไว้แล้ว ร่างภาพ เอาจีเพ็นจุมหมึก
ตัดเส้น...ยังเหลืออีก ๖หน้าที่ต้องทำ!
เรื่องที่๒ เขียนมาอย่างอยาก
ขอแนะนำให้รู้จัก "New Think Publication" หรือ NTP สำนักพิมพ์น้องใหม่ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่
พวกเขากำลังรับสมัครเฟ้นหานักเขียนการ์ตูนไทยรุ่นใหม่ที่พร้อมจะพัฒนาวงการการ์ตูนไทยให้ก้าวหน้าด้วยผลงานแนวใหม่นอกกรอบ
และนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับสำนักพิมพ์นี้เมื่อมีนักเขียนใหม่ส่งผลงานเข้ามาสมัครด้วยตนเองรายหนึ่ง
หนุ่มร่างเล็กผมสั้นอายุน่าจะเพิ่ง ๒๐ต้นๆ
เดินเข้ามาพบกับหัวหน้า บก.นิตยสารการ์ตูนหัวใหม่ของ NTP ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วนี้
“พี่ชื่อติ๊กนะ ไหนแนะนำตัวเองหน่อยสิ"”บก.ร่างท้วมซึ่งเป็นอดีตนักเขียนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการเอยปากขึ้น
“ผมไม่ขอบอกชื่อจริงเพราะผมมีโจทก์เยอะ
เรียกผมว่า 'Tentacle
Night' แล้วกัน”
มาอีกแล้วพวกติสต์แตก...บก.ติ๊กคิดในใจ
“โอเค
ไหนเอางานที่น้องจะเสนอมาให้ดูสิ” บก.ติ๊กรับซองเอกสารสีน้ำตาลเปิดออกอ่านต้นฉบับ
หน้าแรกเป็นหน้าสีภาพกลุ่มเด็กสาววัยประถมน่ารักสามคน ซึ่งจัดได้ว่าทั้งลายเส้น
การลงสี และการวางองค์ประกอบอยู่ในระดับมืออาชีพทีเดียว
“อืม...วาดได้ดีนี้!
ปีนี้น้องอายุเท่าไร” เด็กหนุ่มเจ้าของงานเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบแบบไม่เต็มใจ
“๒๖”
“ตอนนี้เรียนหรือทำงานอยู่ที่ไหน”
บก.ติ๊กอ่านงานไปที่ละหน้าอย่างรวดเร็วแต่ก็จับรายละเอียดทุกส่วนได้ครบถ้วน
“..เป็นพนักงานคอมพิวเตอร์...ของธุรกิจส่วนตัวของที่บ้าน” ชายหนุ่มดูเหมือนว่าจะไม่อยากตอบคำถามเรื่องส่วนตัวมากนัก
เขาจึงนั่งเงียบๆ แต่ บก.ติ๊กเดาทันทีว่า อ้อ! พวกอยู่กับบ้านเฉยๆไม่มีงานประจำทำ
บก.ติ๊กได้งานเรื่องสั้นจนครบ
๖๔หน้า แล้วคิดในใจ โอ้! ตายแล้ว มันเอาบ้าอะไรมาให้กูอ่านว่ะ! ถ้าจะให้กล่าวตามตรงแล้วเนื้อหาของงานเรื่อนี้คือ...เด็กสาววัยประถมสามคนที่เล่นเป็นนางพยาบาลแล้วมีเพศสัมพันธ์แบบกามวิปริตวิตถารกับพี่ชายของพวกเธอเอง!
แล้วจบด้วยการที่พี่ชายจับเด็กสาวนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า!
แล้วน้องสาวเอามีดดาบแทงฆ่ากันเลือดสาดใส้ทะลัก! ใช่! มันคือการ์ตูนโป๊แนวเลือดสาด!!
หนุ่มผมสั้นเจ้าของงานเอยปากขึ้นหลังจากที่
บก.ติ๊ก อ่านหน้าสุดท้ายจบ
“เป็นไงบ้าง” บก.ติ๊กใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนที่ก่อนจะพูด
“น่าเสียดายนะ...น้องมีฝีมือในการวาดที่ดีมาก
แต่น้องน่าจะวาดเรื่องอื่นที่มัน...เออ...ดีกว่านี้” ชายหนุ่มชักสีหน้าทันที
มีเสียงหัวเราะในลำคอ เขามอง บก.ติ๊กด้วยแววตาที่เหยียดหยัน
“หึหึหึ
คุณก็เหมือนกับที่อื่นๆที่ผมเคยไปนั่นแหละ เป็นพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี!”
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นนะ” บก.ติ๊กแย้ง
“คือไอ้งานแบบนี้มันลงตีพิมพ์ไม่ได้...ซึ่งมันเกี่ยวกับหลายๆเรื่องเช่นกฎหมาย...”
“เหอะๆ! เพราะว่าไอ้ประเทศเน่าๆอย่างไทยนี่มันมีข้อจำกัดเยอะคุณถึงต้องยอมมันงั้นเหรอะ?
ทำไมที่ญี่ปุ่นที่วงการการ์ตูนเขาเจริญกว่าไทยมากๆเขาทำเรื่องพวกนี้ขายได้ละ?”
หนุ่มผมสั้นเริ่มออกอาการชวนตีรวนเอาสีข้างเข้าถู ป่วยการจะอธิบายเหตุผลกับคนพรรค์นี้
บก.ติ๊กจึงพูดตัดบทไปว่า
“ทำไม!? คุณ 'อยาก' นักเหรอะ!” ชายหนุ่มหน้าบึ้งคิ้วขมวดเกร็ง
ตอนนี้เขาดูไม่ต่างอะไรกับเด็กตัวเล็กๆที่โกรธเพราะไม่ได้ดั่งใจ เขากระชากผลงานที่เขาเชื่อว่าเขาใช้พลังอันสูงส่งในการสร้างเก็บใส่ซอง
แล้วพูดเหมือนคำรามในลำคอพร้อมสบถใส่ บก.ติ๊ก
“ถุย! ไอ้กาก! จะบอกให้นะทีหลังอย่ามาบอกใครต่อใครว่าจะพัฒนาวงการหน่อยเลย
เชิญจมปลักย่ำอยู่กับประเทศไทยที่กำลังจะล่มสลายนี่ต่อไปเถอะ!” เขาสบัดก้นเดินเอาส้นเท้ากระแทกพื้นเสียงดังตึงตังจากไป
แน่นอนไม่มีใครในกอง บก.อยากให้เขากลับมา!
เรื่องที่๓ ยังเขียนไม่จบแต่ต้องจบ
“น้าๆ ขอตังส์หน่อย”
เด็กชายในชุดนักเรียนผิวคล้ำอายุประมาณ ๑๐กว่าขวบแบมือขอเงินจากชายหนุ่มร่างสูงผมประบ่าใส่เสื้อเชิ้ทลายตารางที่ริมถนนย่านธุรกิจใจกลางเมือง
"ขอบคุณครับน้า"
เขาให้เงินเด็กคนนั้นไป ๒๐บาท มืออีกข้างของเขาถือกระเป๋าใส่แฟ้มเอกสาร หลังจากนั้นเขาก็เดินไปอีกสัก
๓๐มตรเพื่อจะเข้าสำนักงาน
"เฮ้ย! ไอ้เติ้ล!
มึงไปให้เงินมันทำไมว่ะ!?" ชายร่างท้วมใส่แว่นตาสี่เหลี่ยมสวมเสื้อสีแสดเรียกเขาจากข้างหลัง
เขายกมือไหว้
“หวัดดีครับพี่โจ๋ย”
ชายร่างท้วมรับไหว้รุ่นน้อง
“มึงก็รู้นี่ว่าไอ้เด็กพวกนี้มันหนีเรียนมาเล่นเกมส์
เงินหมดมันก็มาไล่ไถ่เงินเอากับคนแถวนี้” ชายร่างท้วมพูดพลางขยับแว่นไป
“ก็ถือว่าทำบุญละครับ
เรามีเราก็ให้เขา” เขาพูดเจือยิ้มหน่อยๆ “แล้ววันนี้พี่ก็มาที่สำนักพิมพ์ด้วยหรือครับ”
เขาถาม
“ก็ บก.เขาเรียนนักเขียนปะจำที่ลง XP มาทุกคน
กูก็ต้องมาอยู่แล้ว” ชายร่างท้วมตอบ แต่เขาก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย
“แล้ว
บก.เขาเรียกเรามาด่วนกลางเดือนนี้เรื่องอะไรละครับ” ชายร่างท้วมขยับแว่นเล็กน้อย
“กูว่ากูพอรู้นะ” ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าประตูใหญ่ของสำนักงานสำนักพิมพ์
World Continental Book (WCB) ทั้งเขาและพี่โจ๋ยต่างเป็นนักเขียนประจำของ
XPerience นิตยสารการ์ตูนไทย
รายปักษ์ ที่ลงผลงานของนักเขียนประจำ ๕เรื่อง สิ่งที่พี่โจ๋ยต่างจากเขาคือ
พี่โจ๋ยเป็นนักเขียนรุ่นเก๋าในวงการที่เคยมีผลงานตีพิมพ์ลงหนังสือมาแล้วก่อนหน้านี้สองสำนักพิมพ์ แต่เขาเพิ่งจะมีผลงานลงตีพิมพ์ประจำที่
XP เป็นที่แรก
เขาก็เหมือนกับนักเขียนหน้าใหม่ที่เริ่มจากการส่งผลงานเรื่องสั้นไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆและหวังว่าจะได้รับการตีพิมพ์
หลายปีที่ผ่านมานั้นเขาทุ่มเทกับการ์ตูนอย่างหนัก
ถึงแม้ว่าทางบ้านจะไม่สนับสนุนเพราะมองว่ามันเป็นอาชีพที่ไม่มีความแน่นอนก็ตาม แต่การที่เขาได้เขียนเรื่องยาว
‘วินมอร์เตอร์ไซค์ใจสิงห์’ ลง XP นั้นเขาได้แสดงให้ทางบ้านเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จและสามารถเลี้ยงชีพด้วยการเขียนการ์ตูนได้ แต่ทว่า...
“ผมต้องเรียนตามตรงนะครับว่า
ทางผู้ใหญ่ตัดสินใจแล้วว่า XP จะปิดตัวลงในเล่มที่ ๒๔แล้วครับ”บก.ผู้ดูแลนิตยสาร
XP กล่าวในที่ประชุมกับนักเขียนประจำกับพนักงานที่เกี่ยวข้อง
“เพราะฉนั้นหลังจากเล่มที่ ๒๒
ออกไปในวันที่ ๑๖นี้ ในส่วนของนักเขียนก็ไปเขียนปิดเรื่องของพวกคุณภายในสองตอนสุดท้ายที่จะลงเล่ม
๒๓ กับ ๒๔นี้นะครับ”
อะไรกัน!!? เขาคิดด้วยความตกใจและงุนงน
“กูไม่แปลกใจเลยว่ะ!”
พี่โจ๋ยพูดกับเขาขณะรับประทานอาหารที่ร้านข้าวมันไก่ซึ่งมากินประจำเวลามาติดต่องานกับ
WCB
“มึงคิดดูกูเคยไปคุยกับสายส่ง
หนังสือส่งคืนกลับเพียบ! ร้านหนังสือแถวบ้านกูก็ไม่มีรับมาขายสักร้าน
แล้วมันจะไปรอดได้ยังไง!”
“แล้วพี่จะเอาไงต่อละครับ”
เขาถามรุ่นพี่ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการมานาน
“ต้นเดือนนี้กูพึ่งไปสมัครตำแหน่งกราฟิกบริษัทโฆษณามา
เขารับกูแล้วด้วย เดือนหน้าก็เริ่มงานได้” ชายแว่นร่างท้วมดื่มน้ำโอเลี้ยงแก้คอแห้ง
“แล้วเรื่อง 'ก๊วนจิ๋วจอมซ่าสยบสงครามเวหา' ของพี่ละ”
เขาถามชายร่างท้วมที่กำลังเติมน้ำเปล่าลงในแก้ว
“เฮ้ย! จะไปยากอะไร กูมีตอนสต็อกไว้สองสามตอน
ก็ลงๆให้มันจบแค่นั้น” พี่โจ๋ยขยับแว่นและจิบน้ำไปพลางพูดไปพลาง
“นี่กูจะบอกอะไรมึงให้ไอ้เติ้ล!
กูไม่ได้เจอเรื่องพวกนี้ครั้งแรก สำนักพิมพ์แรกที่กูอยู่ก็เป็นพวกอยู่ไปวันๆ
เขียนไปก็ไม่เจริญ พอกูออกมาลงอีกสำนักพิมพ์แม่งนึกจะปิดก็ปิดเฉยไม่บอกไม่กล่าว!
ที่ WCB นี่ถือว่าดีกว่าเยอะ
มีตั้งหลายเรื่องที่กูเขียนไม่จบ
แต่กูก็ทิ้งไปเขียนเรื่องใหม่เลยเพราะมันไม่ได้สำคัญอะไร ไปทำอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยดูโอกาสหาที่เขียนใหม่ก็ได้
แต่พูดตรงๆนะกูเบื่อเต็มทีแล้ว กูอาจจะเลิกไปเลยก็ได้”พูดจบพี่โจ๋ยก็ดื่มน้ำจนหมดแก้ว เขานิ่งและถอนหายใจเบาๆ
“แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้...เรื่อง'วินมอร์ไซค์ฯ' ยังไปได้อีกหลายร้อยตอน...”
เขาหยุดคิดอีกสักครู่
“ผมทุ่มเทไปมากหลายปีกว่าจะให้ทางบ้านยอมรับได้
ถ้าหยุดไปคราวนี้ไม่รู้ทางบ้านจะยอมอีกหรือเปล่า...” เขาถอนหายใจอีกครั้ง
“ผมฝันมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน
ผมไม่อยากทำอย่างอื่นนอกจากเขียนการ์ตูน”
“มึงจะบ้าเหรอะว่ะไอ้เติ้ล!?” พี่โจ๋ยขึ้นเสียงใส่เขา
“คนเราต้องหาเงินมาซื้อข้าวกินนะเว้ย
ไอ้ความฝันอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยทำให้ท้องมึงอิ่มหรอก!” ชายแว่นร่างท้วมเคี้ยวก้อนน้ำแข็งตอบอย่างไม่ยี่ระ
“ทำตัวให้เหมือนแมลงสาบซิ
ปรับตัวง่ายตายยาก! ดูกูนี่ตกงานก็ไปหางานใหม่ทำแค่นั้น” พี่โจ๋ยขยับตัวมาตบบ่าเขาเบาๆ
“ขืนมัวแต่เลือกแต่งานที่อยากทำก็อดตายพอดี
ไม่งั้นมึงก็ได้แต่ต้องเกาะพ่อเกาะแม่กินต่อไป!”
“น้าๆ ขอตังส์หน่อย”
ผ่านไปสามเดือนเขาเจอเด็กชายในชุดนักเรียนผิวคล้ำคนเดิมอีกครั้ง
แต่คราวนี้เขาเดินจากไปโดยไม่ให้เงิน มีเสียงตะโกนเล็กๆจากเด็กชายคนนั้นไล่หลังเขามาว่า
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”
เรื่องที่๔ เรื่องนี้เคยเขียนส่งไปนานแล้ว
เมื่อสัก
๑๐กว่าปีก่อนมีนักเรียนชายวัยรุ่น ม.๔ คนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทของจังหวัดเลย
เขาเป็นคนชอบเครื่องบินรบมาก แล้วก็ชอบเขียนการ์ตูน แน่นอนการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาก็จะเป็นการ์ตูนสงครามทางอากาศอย่าง
Area 88 (คลาสสิคมาก)
เขาอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับสงครามทางอากาศของไทยบ้าง
เขาเลยเขียนการ์ตูนเรื่อง ‘มัจจุราชเวหา’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักบินนิรนามในสงครามลับในลาวสมัยสงครามเวียดนาม เป็นเรื่องสั้นยาว
๔๐หน้าอย่างทุ่มเทมาก ถึงแม้เขาจะใช้ปากกาพิกมาวาดบนกระดาษถ่ายเอกสารขาวธรรมดา
ไม่ได้ใช้หัวจีเพ็นราคาแพง หมึกนำเข้าจากญี่ปุ่น กระดาษสำหรับเขียนการ์ตูนโดยเฉพาะ
และสกรีนโทนราคาแพงๆก็ตาม พอเขียนจบแล้วเขาได้อ่านเจอจากนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์หัวหนึ่งที่ไปซื้อมาตอนเข้าไปเรียนตัวเมือง(ไม่ได้ซื้อประจำทุกเล่ม)
ว่าในเล่มลงการ์ตูนไทยและมีหน้าประกาศรับผลงานเรื่องสั้นขนาดไม่เกิน ๔๐หน้าของนักเขียนจากทางบ้าน
‘เราสร้างนักเขียนชื่อดังมาแล้วหลายคน
และคุณอาจจะเป็นคนต่อไป’
ข้อความนี้ทำให้เด็กหนุ่มมีความหวังมาก
พอถึงช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม เขาโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์ในตลาดไปติดต่อนัดกองบรรณาธิการการ์ตูนไทยจากนิตยสารหัวนั้นตอน
๑๐โมงเช้ากว่าๆ
“คลิ้ก(เสียงยกหูโทรศัพท์)
ฮัลโหล?”
“สวัสดีครับ กอง
บก.การ์ตูนไทย ใช่ไหมครับ”
“ใช่!”(เสียงพูดแบบห้วนๆแสดงความเบื่อหน่ายสุดๆ)
“ผมจะมาเสนองานนะครับ
ไม่ทราบว่า...”
“มาสัปดาห์หน้าสักบ่าย๑
เลือกเอาวันไหนก็ได้!” (พูดแบบรีบๆแสดงถึงความเบื่อสุดขีด)
“เออ..งั้นวันอังคารสัปดาห์หน้าแล้วกันครับ
เออ คือไม่ทราบว่า...”
“คลิ้ก!(เสียงกระแทกวางสายโทรศัพท์)
ตู้ดๆๆๆ...”
เด็กหนุ่มจดวันนัดหมายลงในปฏิทินอย่างตื่นเต้น
เตรียมตัวต้นฉบับเก็บใส่ซองเอกสารอย่างดี ซื้อตั๋วรถทัวร์เดินทางออกจากจังหวัดเลยไปสำนักพิมพ์ที่กรุงเทพฯตั้งแต่ตี๒
แต่เด็กหนุ่ม ม.ปลายไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ามันมีอะไรทะแม่งๆตั้งแต่ตอนโทรศัพท์นัดแล้ว
ในวันนัดดูงานที่กรุงเทพฯ
เด็กหนุ่มเดินขาลากเพราะนั่งรถเมล์มาลงผิดป้ายทำให้ต้องเดินไกลกว่าจะถึงสำนักพิมพ์บริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ติดถนนใหญ่
แลกบัตรกับ รปภ.และขึ้นลิฟท์ไปชั้นที่ ๒๕ แล้วเขาก็รออยู่สัก
๒๐กว่านาทีในตอนบ่าย๑เป๊ะว่าจะมีใครมาออกมารับเขาหรือไม่ ไม่มี! เขาเดินวนๆดูรอบชั้นนี้ของตึกจนกระทั้งเจอกองบรรณาธิการการ์ตูนไทยเป็นสำนักงานเล็กๆมีพนักงานทำงานอยู่ราว
๑๐กว่าคน
พอเด็กหนุ่มเปิดประตูเขาไปในกอง
บก. บางคนก็ก้มหน้าวาดต้นฉบับ บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกัน แต่ไม่มีใครสนใจเขาเลย
เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นมากที่เห็นการทำงานของนักเขียนการ์ตูนจริงๆเป็นครั้งแรก
เขาเดินวนไปรอบๆกอง บก.จนกระทั้งมีพนักงานในกอง
บก.คนหนึ่งรู้สึกถึงตัวตนของเด็กหนุ่ม มันเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มแล้วพูดกึ่งตะคอกใส่เขา
“น้องมาทำอะไร!?” เด็กหนุ่มตอบว่า
“เออ...มาเสนองานครับ”
มันทำหน้าเหย่เกแล้วหันไปตะโกนคุยกับพวกเพื่อนของมันว่า
“เฮ้ยไอ้...มีเด็กมาเสนองานนัดไว้ตั้งแต่เมื่อไหรวะ!?”
“กูไม่รู้เว้ย! ไอ้...”
พวกมันคนหนึ่งตะโกนสวนตอบกลับมา มันมองเด็กหนุ่มอย่างเหยียดๆแล้วพูดกึ่งตะคอกสำทับว่า
“มาเสนองานทีหลังอย่างเดินดุ่มๆเข้ามาเอง
โทรฯนัดก่อนสิน้อง!”
“...ก็ผมนัดพวกพี่ไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนี่ครับ?”
มันไม่สนใจ มันชี้นิ้วไปที่โต๊ะตัวหนึ่งบอกให้เด็กหนุ่มนั่งลง
เด็กหนุ่มกุลีกุจอเปิดกระเป๋าเดินทางและวางต้นฉบับผลงานของตนเองบนโต๊ะต่อหน้ามัน
“เขียนมากี่หน้า?”
มันถามเด็กหนุ่มแบบห้วนๆ
“๔๐หน้าครับ”
“สำหรับเรื่องสั้นจากทางบ้าน
เรารับ ๒๐หน้าเท่านั้น!” พอมันพูดจบเด็กหนุ่มก็หน้าเหวอ
“เดี๋ยวสิครับพี่
ก็ใน(ชื่อนิตยสาร)เล่มนี้ลงว่าไม่เกิน ๔๐หน้าไม่ใช่หรือครับ?”
เด็กหนุ่มยืนนิตยสารการ์ตูนที่ลงกติกาในการรับผลงานให้มัน
“เล่มนี้มันตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว! เขาเปลี่ยนรายละเอียดใหม่แล้ว!” มันตอบกลับด้วยการตะคอก
“อ้าว!
แล้วผมจะไปรู้ได้ไงครับพี่?” เด็กหนุ่มตอบมันไปแบบซื่อๆ
“ทำไมไม่ศึกษาข้อมูลมาก่อน! อินเตอร์เนทก็มีไม่ใช่เรอะทำไมไม่ไปดู?”
เด็กหนุ่มตัวแข็งด้วยความโกรธ ผมอยู่บ้านนอกไม่มีอินเตอร์เนทหรือคอมพิวเตอร์ให้ใช้ครับ! แล้วมันก็พูดตะคอกใส่เขาต่อเป็นชุด
“น้องไม่เคารพกติกาเท่ากับไม่เคารพเรา
อย่างนี้ทำงานด้วยกันไม่ได้หรอก! น้องไปที่อื่นเถอะไป!”
“...แล้วจะไม่ดูงานผมหรือครับ”
“ไม่ดู!!”
มันพูดตัดรอนน้ำใจเด็กหนุ่มอย่างเด็ดขาด
เขาเดินทางจากเลยเข้ากรุงเทพฯเพื่อมาเจอกับเรื่องแบบนี้หรือ?
เด็กหนุ่มโกรธและเสียใจมาก เขาเก็บผลงานของเขาใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อออกจากกอง
บก.ไป แต่ก่อนจะไปนั้นมีมันตัวหนึ่งที่น่าจะเป็นหัวหน้า บก.เดินมาหาเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“เดี๋ยวผมจะไปส่งน้องให้นะครับ” เหมือนจะทำเป็นมีน้ำใจ
แต่เด็กหนุ่มตอบกลับเป็นภาษาถิ่นไปว่า
“บ่ต้องครับ! ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมาแล้ว ผมไปต่าวเองได้”
สิบกว่าปีผ่านไปเด็กหนุ่มคนนั้นได้สอบเข้าโรงเรียนนายเรืออากาศ
และปัจจุบันเป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ยศเรืออากาศเอก ทุกครั้งที่เอยถึงเรื่องการเสนองานการ์ตูนครั้งนั้นเขาจะพูดประมาณว่า
“ถ้ารู้ว่าจะโดนแบบนี้แต่แรก
กูไม่น่าไปเสียเวลาไร้สาระกับพวกมันเลย!”
…
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นครับว่า
อ่านจบแล้วก็คิดเสียว่า เป็นเรื่องราวสมมุติในโลกจินตนาการอะไรสักอย่างแล้วกันนะครับ
ขอบคุณครับ