วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชุดเรื่องสั้น: การ์ตูนไทยรายสัปดาห์ (๔เรื่อง ๔๐บาท)


            ประวัติศาสตร์คราวๆของวงการการ์ตูนไทยยุคใหม่เท่าที่ผมทราบมาบ้างเล็กน้อยน่าจะเริ่มต้นขึ้นจากยุคที่วงการการ์ตูนไทยในภาพรวมเข้าสู่ยุคการ์ตูนลิขสิทธิ์เต็มตัว ซึ่งนอกจากการ์ตูนดังจากญี่ปุ่นที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องในไทยแล้ว การ์ตูนไทยยุคใหม่ที่เขียนในลักษณะการ์ตูนญี่ปุ่น(manga) ก็เริ่มต้นขึ้นในช่วงใกล้เคียงกันด้วยน่าจะตั้งแต่นิตยสาร Thai Comic ของวิบูลย์กิจ ในปี ๒๕๓๖ การ์ตูนไทยยุคบุกเบิกที่ลงใน BOOM ของ Nation หรือใน C-Kids ของ Siam Inter Comics ยุคต้นๆ พอเข้าช่วงปี ๒๕๔๐กว่าก็มี Manga Katch ของ B Boyd CG เริ่มเข้าสู่ยุคทองช่วงปี ๒๕๔๓ เช่น CX, SEED ของ Future View, Comic Quest, Cosmic Comic, Cereal Comix, Let’s Comic, Adenium Comic เป็นต้น
            แต่เข้ายุคปัจจุบันปี ๒๕๕๗ นี้ นิตยสารหลายหัวในข้างต้นจนถึงตัวสำนักพิมพ์เองก็มีได้มีการปิดตัวลงไปมากแล้ว คำถามคือเกิดอะไรขึ้น? เหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากสภาพโดยรวมของตลาดสื่อสิ่งพิมพ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะ...

            เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องจริงของใครบางคน หรือไปฟังใครเขาเล่ามาให้ได้ยินอีกทีนะครับ อ่านแล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องราวสมมุติในโลกจินตนาการอะไรสักอย่างแล้วกันนะครับ


เรื่องที่๑ หน้าที่ต้องเขียน
ผมชื่อปัญจวรรษ แต่แฟนๆนักอ่านการ์ตูนหลายคนจะรู้ผมดีในชื่อ ริวคิโตะ นักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งตั้งแต่สมัยที่ผมเปิดตัวผลงานตัวเองในตลาดโดจินเมื่อสักเกือบ ๑๐ปีก่อน (แหม..อย่างมองผมแบบนั้นสิครับ ผมไม่ได้เขียนเรื่อง อย่างว่าหรอก)
อาจจะเป็นการอวดตัวไปสักนิด แต่ปัจจุบันผมได้ทำงานเป็นนักเขียนประจำสำนักพิมพ์สุวรรณสาสน์ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มีสื่อในสังกัดหลายแขนงทั้ง หนังสือพิมพ์ และการ์ตูนที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ ผมเองก็เขียนการ์ตูนออริจินอลของตนลงตีพิมพ์ในนิตยสาร NGen-Comic ซึ่งเป็นนิตยสารรายสัปดาห์ที่ลงการ์ตูนของญี่ปุ่น และเพิ่งจะมีการเพิ่มหมวดการ์ตูนไทยเข้าไปเมื่อสัก ๕ปีก่อน ผมได้รับโอกาสเข้ามาเป็นนักเขียนประจำจากการประกวดนักเขียนมือใหม่ของ NGen เองเมื่อ ๒ปีก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็เคยได้ยินชื่อเสียงของ บก.ชู ซึ่งเป็นบรรณาธิการของแผนกการ์ตูนไทยที่พยายามผลักดันวงการการ์ตูนไทยมาตลอดกว่า ๑๐ปี และวิสัยทัศน์ของ คุณ วิโรจน์ หรือ เสี่ยง้วน ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของ NGen ที่ประกาศว่าจะผลักดันการ์ตูนไทยให้ไปสู่ตลาดสากล ทำให้ผมมีความศรัทธาต่อสิ่งที่ผมทำเป็นอย่างยิ่งจากประสบการณ์ตั้งแต่เด็กๆที่ไม่ว่าจะผู้ปกครองหรือครูมองว่าการ์ตูนเป็นเรื่องไร้สาระมาตลอดแต่สิ่งที่ผมเห็นและเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไปนี้มันทำให้ผมไม่แน่ใจแล้วละครับ

มันเป็นวันที่ผมจะซื้อ NGen ฉบับล่าสุดที่วางแผงมาเก็บไว้ถึงแม้ว่างานของผมเองจะลงตีพิมพ์แบบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ก็เถอะ และการ์ตูนญี่ปุ่นที่ลงในนั้นผมก็อ่านต้นฉบับจากแผนกแปลมาแล้ว (แฮะๆ)...แต่สิ่งที่ผมพบ NGen ฉบับนี้ทำให้ผมต้องเดินจ้ำมาหา บก.ชู ที่แผนกการ์ตูนไทยทันที
“พี่ชู! นี่หมายความไง!” ผมยืน NGen ฉบับล่าสุดให้ชายร่างท้วมในชุดเสื้อเชิ้ทลายทาง
“ทำไมวะไอ้ริว แล้วต้นฉบับมึงละ!?
“ต้นฉบับเอาไว้ก่อน พี่ดูนี่!” ผมเปิดหน้าโฆษณาประชาสัมพันธ์ซึ่งข่าวในหน้านั้นมีอยู่ว่า Kraiserdom กำลังจะถูกทำเป็นเกม RPG’ ซึ่ง Kraiserdom นี้ก็คือเรื่องที่ผมกำลังวาดอยู่และวาดมาได้ ๒ปี และก็ออกรวมเล่มหลายฉบับแล้ว บก.ชู หันมายักไหล่ให้ผมนิดหนึ่ง
“ก็ดีนิ? การ์ตูนกูอย่างว่าแต่เป็นเกมเลย หลายเรื่องตีพิมพ์ไม่ถึงปี รวมเล่มบางเรื่องยังไม่มีเลย...”
“ไม่พี่! ปัญหามันอยู่ที่ว่าการ์ตูนผมจะเป็นเกมทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องละ!?
“เสี่ยง้วนแกอาจจะอยากเซอร์ไพร์มึงก็ได้นี้หวา” บก.ชูกกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วพูดกับผมแบบสบายๆ
“ไม่พี่!" ผมมอง บก.ชูด้วยสายตาจริงจังผมไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะเอาการ์ตูนผมไปทำเป็นเกม ผมดีใจด้วยซ้ำ แต่! ถ้าเขาจะบอกผมก่อน!”
“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา มึงก็สงบสติก่อน...” บก.ชูตอบดูเหมือเขาพยายามพูดให้ผมใจเย็นลง
“ไม่! ผมเป็นเจ้าของเรื่องนะ! ทำแบบนี้มันไม่ได้ให้เกียรติ..”
“งั้นมึงก็ไปคุยกับเสี่ยง้วนเองไป!” บก.ชูตัดบทการคุยกัน ผมในตอนนั้นซึ่งเลือดขึ้นหน้าก็ตัดสินใจทันที่ว่า
“ได้พี่! ผมจะไปคุยกับเสี่ยง้วน” ก่อนที่ผมจะเดินออกไป บก.ชู ตะโกนมาหาผมว่า
“เฮ้ย ริว! ต้นฉบับเสร็จยัง”
“วางบนโต๊ะแล้วพี่!” ตอนนั้นไม่มีใครคิดหรอกว่าผมจะไปพบกับเสี่ยง้วนจริงๆ

ผ่านไปสี่วันก่อนที่กำหนดการส่งต้นฉบับของตอนต่อไป ผมรอการเข้าพบของเสี่ยง้วนเป็นเวลานาน
ทุกวันผมต้องเจอเลขาหน้าห้องหน้าใสและสมองฝ่อพูดให้ผมต้องกลับไปทุกครั้งอย่างเช่น
“วันนี้เสี่ยไปประชุมร่วมกับคณะกรรมการบริษัทนะคะ”
“วันนี้เสี่ยต้องบินไปเจรจาลิขสิทธิ์หนังสือที่ญี่ปุ่นนะคะ”
“วันนี้เสี่ยลาพักไปออกรอบกับเพื่อนค่ะ”
และวันนี้ความพยายามของผมก็สามารถเอาชนะเสี่ยง้วนได้เมื่อเสี่ยยอมคุยกับผมเป็นเวลา ๑๐นาทีในช่วงเย็นก่อนออฟฟิสจะปิด
“เชิญค่ะ คุณปัญจวรรษ” ผมได้ยินคำพูดอื่นจากยัยเลขาสมองน้อยนี่เสียที
“นั่งก่อนสิ!” หลังจากปิดประตูชายวัยกลางคนร่างสูงรูปร่างค่อนข้างผอม เชิญผมที่นั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เหมือนกับพนักงานในบริษัทใหญ่ๆทั่วไป ผมเองแทบจะไม่ได้พูดคุยกับเสี่ยง้วนโดยตรงเลย นอกจากครั้งล่าสุดที่ผมได้รับรางวัลนักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่เมื่อสองปีก่อน
“เอาละ! เข้าเรื่องเลยละกันนะ” เสี่ยง้วนนั่งลงที่เก้าอี้ทรงสูงตัวใหญ่ มันดูภูมิฐานสมกับคนระดับผู้บริหาร แต่เสี่ยก็พูดกับผมอย่างค่อนข้างจะเป็นกันเอง
“ผมต้องขอโทษคุณด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องที่จะเอางานของคุณไปทำเป็นเกม” ผมกำลังจะอ้าปากถามถึงเหตุผลเสี่ยก็พูดต่อทันที
“ต้องเขาใจนะว่าผมเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบมาก ผมอาจจะดูแลหรือแจ้งอะไรไปไม่ทั่วถึง ผมต้องขอโทษที่ทำให้คุณไม่สบายใจนะ” มันเป็นคำพูดที่ออกจะเป็นทางการอย่างไรไม่ทราบ ไม่รู้สิ! เป็นผมเป็นนักเขียนการ์ตูนไม่นักธุรกิจ แต่..ผมรู้อย่างหนึ่งว่า
“จริงๆประเด็นมันคือว่าเรื่องของผมถูกนำไปเจรจากับบริษัททำเกม โดยที่ทำไมผมไม่ได้รับทราบหรือเข้าประชุมด้วยละครับ”
“คุณควรทราบนะว่า นั่นเป็นหน้าที่ในการดำเนินธุรกิจของฝ่ายบริหาร การตลาด” เสี่ยง้วนพยายามอธิบายให้ผมเข้าใจเรื่องของธุรกิจแบบง่ายๆให้นักเขียนการ์ตูนอย่างผมทราบ
“มันไม่ควรจะเป็น อย่างนั้นครับ!”  เสี่ยง้วนหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง
“...แล้ว”
“มันเป็นงานผม! ผมควรจะมีสิทธิในการตัดสินใจสิว่าผมจะอนุญาตให้นำงานของผมไปทำอะไรได้บ้าง”
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ..” เสี่ยวง้วนเริ่มโบกมือปราม แต่ผมก็ยังพูดต่อ
ไม่ใช่ให้บริษัทมาตัดสินใจเองโดยที่ไม่มีผมที่เป็นเจ้าของผลงาน..."
"หุบปากนะ! ไอ้เด็กบ้า!!"  เสี่ยง้วนลุกขึ้นตวาดใส่หน้าผมดังลั่นห้อง
“ลื้อคิดว่าลื้อเป็นใครวะหา! อั๊วะให้การ์ตูนบ้าๆไร้สาระของลื้อพิมพ์ในหนังสืออั๊วะก็บุญเท่าไรแล้ว! ลื้อเป็นพนักงานประจำของอั๊วะ! กินเงินเดือนอั๊วะ! อั๊วะจะทำอะไรกับงานลื้อก็ได้! จะบอกให้นะถ้าคิดว่าลื้อรับไม่ได้แล้วจะออกจากที่นี่ก็เชิญเว้ย! อั๊วะไม่ง้อ! อั๊วะซื้อการ์ตูนญี่ปุ่นมาขายเดือนเดียวได้เงินมากกว่ารวมเล่มการ์ตูนห่วยๆของลื้อทั้งปีอีก! อย่าว่าแต่ที่นี่เลย ต่อให้สำนักพิมพ์อื่นในไทยหรือที่ญี่ปุ่นเขาก็ใช้ระบบแบบนี้ทั้งนั้น! อั๊วะไม่ได้ทำการ์ตูนไทยเพื่อช่วยชาตินะโว้ย! ทำเอาเงินเข้าใจไหม! จะบอกให้อีกอย่าง ทางบอร์ดบริหารข้างบนนะเขาอยากให้อั๊วะยุบแผนกการ์ตูนไทยควายๆไม่ทำกำไรนี้นานแล้วโว้ย! แต่เห็นแก่ว่าลื้อเป็นเด็กใหม่ มาคุยกับอั๊วะตรงๆ อั๊วะจะยังใจดีไม่ไล่ลื้อออก ออกจากห้องอั๊วะไปได้แล้วไป!”

ตอนนั้นผมรู้สึกชาไปหมดหลังจากออกจากสำนักพิมพ์ขึ้นรถเมล์กลับหอพักดื่มเบียร์ย้อมใจสักสี่กระป๋อง แต่ผมก็ยังเบลอและงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี มันชัดเจนขึ้นอีกครั้งเมื่อวันรุ่งขึ้นผมเข้าไปที่แผนกการ์ตูนไทย บก.ชู รอผมอยู่
“มึงไปทำบ้าอะไรมาเมื่อวาน!” เขาถามผมด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรแววตาแข็งกร้าว
“คิดว่าตัวเองดังเลยปีกกล้าขาแข็งได้ใช่ไหม!” บก.ชูพูดใส่ผมเป็นชุด
"ทำอะไรไว้นะคนซวยนะกูเว้ย! กูยังมีเมีย มีลูกจะขึ้น ป.๓ กับหมาอีก ๒ตัวที่ต้องดูแล กูยังไม่อยากตกงานเพราะมึงนะโว้ย! หรือว่าอยากให้กูสั่ง 'ตัดจบ' เรื่องของมึงดีละ จะได้รู้สำนึกว่าที่นี่ใครใหญ่!”
ผมเคยได้ยินเรื่องราวของ บก.ชู ที่นักเขียนรุ่นเดียวกันที่เลิกเขียนไปบ้างแล้วเล่าไว้เกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างของเขา ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วละว่าจริงๆแล้วเขาคืออะไรกันแน่?
“อ้อ! ต้นฉบับเสร็จยัง?” บก.ชูพูดเรื่องประจำนี้อีกครั้ง
“ยังเหลืออีก ๖หน้าครับ”
“ทำให้เสร็จภายในบ่ายสองวันนี้!
บก.ชูก็ยักไหล่แล้วเดินจากไป หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเรียกเขาว่า พี่ และเขาก็ไม่เคยคุยกับผมอีกเลย ยกเว้นเรื่องงาน ผมนั่งลงที่โต๊ะ หยิบกระดาษขาวเอ๔ ดูเนมที่ทำไว้แล้ว ร่างภาพ เอาจีเพ็นจุมหมึก ตัดเส้น...ยังเหลืออีก ๖หน้าที่ต้องทำ!


เรื่องที่๒ เขียนมาอย่างอยาก
ขอแนะนำให้รู้จัก "New Think Publication" หรือ NTP สำนักพิมพ์น้องใหม่ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ พวกเขากำลังรับสมัครเฟ้นหานักเขียนการ์ตูนไทยรุ่นใหม่ที่พร้อมจะพัฒนาวงการการ์ตูนไทยให้ก้าวหน้าด้วยผลงานแนวใหม่นอกกรอบ และนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับสำนักพิมพ์นี้เมื่อมีนักเขียนใหม่ส่งผลงานเข้ามาสมัครด้วยตนเองรายหนึ่ง
หนุ่มร่างเล็กผมสั้นอายุน่าจะเพิ่ง ๒๐ต้นๆ เดินเข้ามาพบกับหัวหน้า บก.นิตยสารการ์ตูนหัวใหม่ของ NTP ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วนี้
“พี่ชื่อติ๊กนะ ไหนแนะนำตัวเองหน่อยสิ"”บก.ร่างท้วมซึ่งเป็นอดีตนักเขียนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการเอยปากขึ้น
“ผมไม่ขอบอกชื่อจริงเพราะผมมีโจทก์เยอะ เรียกผมว่า 'Tentacle Night' แล้วกัน”
มาอีกแล้วพวกติสต์แตก...บก.ติ๊กคิดในใจ
“โอเค ไหนเอางานที่น้องจะเสนอมาให้ดูสิ” บก.ติ๊กรับซองเอกสารสีน้ำตาลเปิดออกอ่านต้นฉบับ หน้าแรกเป็นหน้าสีภาพกลุ่มเด็กสาววัยประถมน่ารักสามคน ซึ่งจัดได้ว่าทั้งลายเส้น การลงสี และการวางองค์ประกอบอยู่ในระดับมืออาชีพทีเดียว
“อืม...วาดได้ดีนี้! ปีนี้น้องอายุเท่าไร” เด็กหนุ่มเจ้าของงานเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบแบบไม่เต็มใจ
“๒๖”
“ตอนนี้เรียนหรือทำงานอยู่ที่ไหน” บก.ติ๊กอ่านงานไปที่ละหน้าอย่างรวดเร็วแต่ก็จับรายละเอียดทุกส่วนได้ครบถ้วน
“..เป็นพนักงานคอมพิวเตอร์...ของธุรกิจส่วนตัวของที่บ้าน” ชายหนุ่มดูเหมือนว่าจะไม่อยากตอบคำถามเรื่องส่วนตัวมากนัก เขาจึงนั่งเงียบๆ แต่ บก.ติ๊กเดาทันทีว่า อ้อ! พวกอยู่กับบ้านเฉยๆไม่มีงานประจำทำ
            บก.ติ๊กได้งานเรื่องสั้นจนครบ ๖๔หน้า แล้วคิดในใจ โอ้! ตายแล้ว มันเอาบ้าอะไรมาให้กูอ่านว่ะ! ถ้าจะให้กล่าวตามตรงแล้วเนื้อหาของงานเรื่อนี้คือ...เด็กสาววัยประถมสามคนที่เล่นเป็นนางพยาบาลแล้วมีเพศสัมพันธ์แบบกามวิปริตวิตถารกับพี่ชายของพวกเธอเอง! แล้วจบด้วยการที่พี่ชายจับเด็กสาวนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า! แล้วน้องสาวเอามีดดาบแทงฆ่ากันเลือดสาดใส้ทะลัก! ใช่! มันคือการ์ตูนโป๊แนวเลือดสาด!!
หนุ่มผมสั้นเจ้าของงานเอยปากขึ้นหลังจากที่ บก.ติ๊ก อ่านหน้าสุดท้ายจบ
“เป็นไงบ้าง” บก.ติ๊กใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนที่ก่อนจะพูด
“น่าเสียดายนะ...น้องมีฝีมือในการวาดที่ดีมาก แต่น้องน่าจะวาดเรื่องอื่นที่มัน...เออ...ดีกว่านี้” ชายหนุ่มชักสีหน้าทันที มีเสียงหัวเราะในลำคอ เขามอง บก.ติ๊กด้วยแววตาที่เหยียดหยัน
“หึหึหึ คุณก็เหมือนกับที่อื่นๆที่ผมเคยไปนั่นแหละ เป็นพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี!”
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นนะ” บก.ติ๊กแย้ง “คือไอ้งานแบบนี้มันลงตีพิมพ์ไม่ได้...ซึ่งมันเกี่ยวกับหลายๆเรื่องเช่นกฎหมาย...”
“เหอะๆ! เพราะว่าไอ้ประเทศเน่าๆอย่างไทยนี่มันมีข้อจำกัดเยอะคุณถึงต้องยอมมันงั้นเหรอะ? ทำไมที่ญี่ปุ่นที่วงการการ์ตูนเขาเจริญกว่าไทยมากๆเขาทำเรื่องพวกนี้ขายได้ละ?” หนุ่มผมสั้นเริ่มออกอาการชวนตีรวนเอาสีข้างเข้าถู ป่วยการจะอธิบายเหตุผลกับคนพรรค์นี้ บก.ติ๊กจึงพูดตัดบทไปว่า
“ทำไม!? คุณ 'อยาก' นักเหรอะ!” ชายหนุ่มหน้าบึ้งคิ้วขมวดเกร็ง ตอนนี้เขาดูไม่ต่างอะไรกับเด็กตัวเล็กๆที่โกรธเพราะไม่ได้ดั่งใจ เขากระชากผลงานที่เขาเชื่อว่าเขาใช้พลังอันสูงส่งในการสร้างเก็บใส่ซอง แล้วพูดเหมือนคำรามในลำคอพร้อมสบถใส่ บก.ติ๊ก
“ถุย! ไอ้กาก! จะบอกให้นะทีหลังอย่ามาบอกใครต่อใครว่าจะพัฒนาวงการหน่อยเลย เชิญจมปลักย่ำอยู่กับประเทศไทยที่กำลังจะล่มสลายนี่ต่อไปเถอะ!” เขาสบัดก้นเดินเอาส้นเท้ากระแทกพื้นเสียงดังตึงตังจากไป แน่นอนไม่มีใครในกอง บก.อยากให้เขากลับมา!


เรื่องที่๓ ยังเขียนไม่จบแต่ต้องจบ
            “น้าๆ ขอตังส์หน่อย” เด็กชายในชุดนักเรียนผิวคล้ำอายุประมาณ ๑๐กว่าขวบแบมือขอเงินจากชายหนุ่มร่างสูงผมประบ่าใส่เสื้อเชิ้ทลายตารางที่ริมถนนย่านธุรกิจใจกลางเมือง
"ขอบคุณครับน้า" เขาให้เงินเด็กคนนั้นไป ๒๐บาท มืออีกข้างของเขาถือกระเป๋าใส่แฟ้มเอกสาร หลังจากนั้นเขาก็เดินไปอีกสัก ๓๐มตรเพื่อจะเข้าสำนักงาน
"เฮ้ย! ไอ้เติ้ล! มึงไปให้เงินมันทำไมว่ะ!?" ชายร่างท้วมใส่แว่นตาสี่เหลี่ยมสวมเสื้อสีแสดเรียกเขาจากข้างหลัง เขายกมือไหว้
“หวัดดีครับพี่โจ๋ย” ชายร่างท้วมรับไหว้รุ่นน้อง
“มึงก็รู้นี่ว่าไอ้เด็กพวกนี้มันหนีเรียนมาเล่นเกมส์ เงินหมดมันก็มาไล่ไถ่เงินเอากับคนแถวนี้” ชายร่างท้วมพูดพลางขยับแว่นไป
“ก็ถือว่าทำบุญละครับ เรามีเราก็ให้เขา” เขาพูดเจือยิ้มหน่อยๆ “แล้ววันนี้พี่ก็มาที่สำนักพิมพ์ด้วยหรือครับ” เขาถาม
“ก็ บก.เขาเรียนนักเขียนปะจำที่ลง XP มาทุกคน กูก็ต้องมาอยู่แล้ว” ชายร่างท้วมตอบ แต่เขาก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย
“แล้ว บก.เขาเรียกเรามาด่วนกลางเดือนนี้เรื่องอะไรละครับ” ชายร่างท้วมขยับแว่นเล็กน้อย
“กูว่ากูพอรู้นะ” ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าประตูใหญ่ของสำนักงานสำนักพิมพ์ World Continental Book (WCB) ทั้งเขาและพี่โจ๋ยต่างเป็นนักเขียนประจำของ XPerience นิตยสารการ์ตูนไทย รายปักษ์ ที่ลงผลงานของนักเขียนประจำ ๕เรื่อง สิ่งที่พี่โจ๋ยต่างจากเขาคือ พี่โจ๋ยเป็นนักเขียนรุ่นเก๋าในวงการที่เคยมีผลงานตีพิมพ์ลงหนังสือมาแล้วก่อนหน้านี้สองสำนักพิมพ์ แต่เขาเพิ่งจะมีผลงานลงตีพิมพ์ประจำที่ XP เป็นที่แรก
เขาก็เหมือนกับนักเขียนหน้าใหม่ที่เริ่มจากการส่งผลงานเรื่องสั้นไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆและหวังว่าจะได้รับการตีพิมพ์ หลายปีที่ผ่านมานั้นเขาทุ่มเทกับการ์ตูนอย่างหนัก ถึงแม้ว่าทางบ้านจะไม่สนับสนุนเพราะมองว่ามันเป็นอาชีพที่ไม่มีความแน่นอนก็ตาม แต่การที่เขาได้เขียนเรื่องยาว วินมอร์เตอร์ไซค์ใจสิงห์ ลง XP นั้นเขาได้แสดงให้ทางบ้านเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จและสามารถเลี้ยงชีพด้วยการเขียนการ์ตูนได้ แต่ทว่า...

“ผมต้องเรียนตามตรงนะครับว่า ทางผู้ใหญ่ตัดสินใจแล้วว่า XP จะปิดตัวลงในเล่มที่ ๒๔แล้วครับ”บก.ผู้ดูแลนิตยสาร XP กล่าวในที่ประชุมกับนักเขียนประจำกับพนักงานที่เกี่ยวข้อง
“เพราะฉนั้นหลังจากเล่มที่ ๒๒ ออกไปในวันที่ ๑๖นี้ ในส่วนของนักเขียนก็ไปเขียนปิดเรื่องของพวกคุณภายในสองตอนสุดท้ายที่จะลงเล่ม ๒๓ กับ ๒๔นี้นะครับ”
อะไรกัน!!? เขาคิดด้วยความตกใจและงุนงน

“กูไม่แปลกใจเลยว่ะ!” พี่โจ๋ยพูดกับเขาขณะรับประทานอาหารที่ร้านข้าวมันไก่ซึ่งมากินประจำเวลามาติดต่องานกับ WCB
“มึงคิดดูกูเคยไปคุยกับสายส่ง หนังสือส่งคืนกลับเพียบ! ร้านหนังสือแถวบ้านกูก็ไม่มีรับมาขายสักร้าน แล้วมันจะไปรอดได้ยังไง!”
“แล้วพี่จะเอาไงต่อละครับ” เขาถามรุ่นพี่ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการมานาน
“ต้นเดือนนี้กูพึ่งไปสมัครตำแหน่งกราฟิกบริษัทโฆษณามา เขารับกูแล้วด้วย เดือนหน้าก็เริ่มงานได้” ชายแว่นร่างท้วมดื่มน้ำโอเลี้ยงแก้คอแห้ง
“แล้วเรื่อง 'ก๊วนจิ๋วจอมซ่าสยบสงครามเวหา' ของพี่ละ” เขาถามชายร่างท้วมที่กำลังเติมน้ำเปล่าลงในแก้ว
“เฮ้ย! จะไปยากอะไร กูมีตอนสต็อกไว้สองสามตอน ก็ลงๆให้มันจบแค่นั้น”  พี่โจ๋ยขยับแว่นและจิบน้ำไปพลางพูดไปพลาง
“นี่กูจะบอกอะไรมึงให้ไอ้เติ้ล! กูไม่ได้เจอเรื่องพวกนี้ครั้งแรก สำนักพิมพ์แรกที่กูอยู่ก็เป็นพวกอยู่ไปวันๆ เขียนไปก็ไม่เจริญ พอกูออกมาลงอีกสำนักพิมพ์แม่งนึกจะปิดก็ปิดเฉยไม่บอกไม่กล่าว! ที่ WCB นี่ถือว่าดีกว่าเยอะ มีตั้งหลายเรื่องที่กูเขียนไม่จบ แต่กูก็ทิ้งไปเขียนเรื่องใหม่เลยเพราะมันไม่ได้สำคัญอะไร ไปทำอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยดูโอกาสหาที่เขียนใหม่ก็ได้ แต่พูดตรงๆนะกูเบื่อเต็มทีแล้ว กูอาจจะเลิกไปเลยก็ได้”พูดจบพี่โจ๋ยก็ดื่มน้ำจนหมดแก้ว เขานิ่งและถอนหายใจเบาๆ
“แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้...เรื่อง'วินมอร์ไซค์ฯ' ยังไปได้อีกหลายร้อยตอน...” เขาหยุดคิดอีกสักครู่
“ผมทุ่มเทไปมากหลายปีกว่าจะให้ทางบ้านยอมรับได้ ถ้าหยุดไปคราวนี้ไม่รู้ทางบ้านจะยอมอีกหรือเปล่า...” เขาถอนหายใจอีกครั้ง
“ผมฝันมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน ผมไม่อยากทำอย่างอื่นนอกจากเขียนการ์ตูน”
“มึงจะบ้าเหรอะว่ะไอ้เติ้ล!?” พี่โจ๋ยขึ้นเสียงใส่เขา คนเราต้องหาเงินมาซื้อข้าวกินนะเว้ย ไอ้ความฝันอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยทำให้ท้องมึงอิ่มหรอก!” ชายแว่นร่างท้วมเคี้ยวก้อนน้ำแข็งตอบอย่างไม่ยี่ระ
“ทำตัวให้เหมือนแมลงสาบซิ ปรับตัวง่ายตายยาก! ดูกูนี่ตกงานก็ไปหางานใหม่ทำแค่นั้น” พี่โจ๋ยขยับตัวมาตบบ่าเขาเบาๆ
“ขืนมัวแต่เลือกแต่งานที่อยากทำก็อดตายพอดี ไม่งั้นมึงก็ได้แต่ต้องเกาะพ่อเกาะแม่กินต่อไป!”

“น้าๆ ขอตังส์หน่อย”
ผ่านไปสามเดือนเขาเจอเด็กชายในชุดนักเรียนผิวคล้ำคนเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเดินจากไปโดยไม่ให้เงิน มีเสียงตะโกนเล็กๆจากเด็กชายคนนั้นไล่หลังเขามาว่า
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”


เรื่องที่๔ เรื่องนี้เคยเขียนส่งไปนานแล้ว
            เมื่อสัก ๑๐กว่าปีก่อนมีนักเรียนชายวัยรุ่น ม.๔ คนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทของจังหวัดเลย เขาเป็นคนชอบเครื่องบินรบมาก แล้วก็ชอบเขียนการ์ตูน  แน่นอนการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาก็จะเป็นการ์ตูนสงครามทางอากาศอย่าง Area 88 (คลาสสิคมาก) เขาอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับสงครามทางอากาศของไทยบ้าง เขาเลยเขียนการ์ตูนเรื่อง มัจจุราชเวหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักบินนิรนามในสงครามลับในลาวสมัยสงครามเวียดนาม เป็นเรื่องสั้นยาว ๔๐หน้าอย่างทุ่มเทมาก ถึงแม้เขาจะใช้ปากกาพิกมาวาดบนกระดาษถ่ายเอกสารขาวธรรมดา ไม่ได้ใช้หัวจีเพ็นราคาแพง หมึกนำเข้าจากญี่ปุ่น กระดาษสำหรับเขียนการ์ตูนโดยเฉพาะ และสกรีนโทนราคาแพงๆก็ตาม พอเขียนจบแล้วเขาได้อ่านเจอจากนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์หัวหนึ่งที่ไปซื้อมาตอนเข้าไปเรียนตัวเมือง(ไม่ได้ซื้อประจำทุกเล่ม) ว่าในเล่มลงการ์ตูนไทยและมีหน้าประกาศรับผลงานเรื่องสั้นขนาดไม่เกิน ๔๐หน้าของนักเขียนจากทางบ้าน
            เราสร้างนักเขียนชื่อดังมาแล้วหลายคน และคุณอาจจะเป็นคนต่อไป
            ข้อความนี้ทำให้เด็กหนุ่มมีความหวังมาก พอถึงช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม เขาโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์ในตลาดไปติดต่อนัดกองบรรณาธิการการ์ตูนไทยจากนิตยสารหัวนั้นตอน ๑๐โมงเช้ากว่าๆ
            “คลิ้ก(เสียงยกหูโทรศัพท์) ฮัลโหล?”
            “สวัสดีครับ กอง บก.การ์ตูนไทย ใช่ไหมครับ”
            “ใช่!”(เสียงพูดแบบห้วนๆแสดงความเบื่อหน่ายสุดๆ)
            “ผมจะมาเสนองานนะครับ ไม่ทราบว่า...”
            “มาสัปดาห์หน้าสักบ่าย๑ เลือกเอาวันไหนก็ได้!” (พูดแบบรีบๆแสดงถึงความเบื่อสุดขีด)
            “เออ..งั้นวันอังคารสัปดาห์หน้าแล้วกันครับ เออ คือไม่ทราบว่า...”
            “คลิ้ก!(เสียงกระแทกวางสายโทรศัพท์) ตู้ดๆๆๆ...”
            เด็กหนุ่มจดวันนัดหมายลงในปฏิทินอย่างตื่นเต้น เตรียมตัวต้นฉบับเก็บใส่ซองเอกสารอย่างดี ซื้อตั๋วรถทัวร์เดินทางออกจากจังหวัดเลยไปสำนักพิมพ์ที่กรุงเทพฯตั้งแต่ตี๒ แต่เด็กหนุ่ม ม.ปลายไม่ได้เฉลียวใจเลยว่ามันมีอะไรทะแม่งๆตั้งแต่ตอนโทรศัพท์นัดแล้ว

            ในวันนัดดูงานที่กรุงเทพฯ เด็กหนุ่มเดินขาลากเพราะนั่งรถเมล์มาลงผิดป้ายทำให้ต้องเดินไกลกว่าจะถึงสำนักพิมพ์บริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ติดถนนใหญ่ แลกบัตรกับ รปภ.และขึ้นลิฟท์ไปชั้นที่ ๒๕ แล้วเขาก็รออยู่สัก ๒๐กว่านาทีในตอนบ่าย๑เป๊ะว่าจะมีใครมาออกมารับเขาหรือไม่ ไม่มี! เขาเดินวนๆดูรอบชั้นนี้ของตึกจนกระทั้งเจอกองบรรณาธิการการ์ตูนไทยเป็นสำนักงานเล็กๆมีพนักงานทำงานอยู่ราว ๑๐กว่าคน
            พอเด็กหนุ่มเปิดประตูเขาไปในกอง บก. บางคนก็ก้มหน้าวาดต้นฉบับ บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกัน แต่ไม่มีใครสนใจเขาเลย เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นมากที่เห็นการทำงานของนักเขียนการ์ตูนจริงๆเป็นครั้งแรก เขาเดินวนไปรอบๆกอง บก.จนกระทั้งมีพนักงานในกอง บก.คนหนึ่งรู้สึกถึงตัวตนของเด็กหนุ่ม มันเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มแล้วพูดกึ่งตะคอกใส่เขา
            “น้องมาทำอะไร!?” เด็กหนุ่มตอบว่า
            “เออ...มาเสนองานครับ” มันทำหน้าเหย่เกแล้วหันไปตะโกนคุยกับพวกเพื่อนของมันว่า
            “เฮ้ยไอ้...มีเด็กมาเสนองานนัดไว้ตั้งแต่เมื่อไหรวะ!?
            “กูไม่รู้เว้ย! ไอ้...” พวกมันคนหนึ่งตะโกนสวนตอบกลับมา มันมองเด็กหนุ่มอย่างเหยียดๆแล้วพูดกึ่งตะคอกสำทับว่า
            “มาเสนองานทีหลังอย่างเดินดุ่มๆเข้ามาเอง โทรฯนัดก่อนสิน้อง!
            “...ก็ผมนัดพวกพี่ไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนี่ครับ?” มันไม่สนใจ มันชี้นิ้วไปที่โต๊ะตัวหนึ่งบอกให้เด็กหนุ่มนั่งลง เด็กหนุ่มกุลีกุจอเปิดกระเป๋าเดินทางและวางต้นฉบับผลงานของตนเองบนโต๊ะต่อหน้ามัน
            “เขียนมากี่หน้า?” มันถามเด็กหนุ่มแบบห้วนๆ
            “๔๐หน้าครับ”
            “สำหรับเรื่องสั้นจากทางบ้าน เรารับ ๒๐หน้าเท่านั้น!” พอมันพูดจบเด็กหนุ่มก็หน้าเหวอ
            “เดี๋ยวสิครับพี่ ก็ใน(ชื่อนิตยสาร)เล่มนี้ลงว่าไม่เกิน ๔๐หน้าไม่ใช่หรือครับ?” เด็กหนุ่มยืนนิตยสารการ์ตูนที่ลงกติกาในการรับผลงานให้มัน
            “เล่มนี้มันตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว! เขาเปลี่ยนรายละเอียดใหม่แล้ว!” มันตอบกลับด้วยการตะคอก
            “อ้าว! แล้วผมจะไปรู้ได้ไงครับพี่?” เด็กหนุ่มตอบมันไปแบบซื่อๆ
            “ทำไมไม่ศึกษาข้อมูลมาก่อน! อินเตอร์เนทก็มีไม่ใช่เรอะทำไมไม่ไปดู?” เด็กหนุ่มตัวแข็งด้วยความโกรธ ผมอยู่บ้านนอกไม่มีอินเตอร์เนทหรือคอมพิวเตอร์ให้ใช้ครับ! แล้วมันก็พูดตะคอกใส่เขาต่อเป็นชุด
“น้องไม่เคารพกติกาเท่ากับไม่เคารพเรา อย่างนี้ทำงานด้วยกันไม่ได้หรอก! น้องไปที่อื่นเถอะไป!”
“...แล้วจะไม่ดูงานผมหรือครับ”
“ไม่ดู!!
มันพูดตัดรอนน้ำใจเด็กหนุ่มอย่างเด็ดขาด เขาเดินทางจากเลยเข้ากรุงเทพฯเพื่อมาเจอกับเรื่องแบบนี้หรือ? เด็กหนุ่มโกรธและเสียใจมาก เขาเก็บผลงานของเขาใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อออกจากกอง บก.ไป แต่ก่อนจะไปนั้นมีมันตัวหนึ่งที่น่าจะเป็นหัวหน้า บก.เดินมาหาเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“เดี๋ยวผมจะไปส่งน้องให้นะครับ” เหมือนจะทำเป็นมีน้ำใจ แต่เด็กหนุ่มตอบกลับเป็นภาษาถิ่นไปว่า
“บ่ต้องครับ! ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมาแล้ว ผมไปต่าวเองได้”

สิบกว่าปีผ่านไปเด็กหนุ่มคนนั้นได้สอบเข้าโรงเรียนนายเรืออากาศ และปัจจุบันเป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ยศเรืออากาศเอก ทุกครั้งที่เอยถึงเรื่องการเสนองานการ์ตูนครั้งนั้นเขาจะพูดประมาณว่า
“ถ้ารู้ว่าจะโดนแบบนี้แต่แรก กูไม่น่าไปเสียเวลาไร้สาระกับพวกมันเลย!

            อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นครับว่า อ่านจบแล้วก็คิดเสียว่า เป็นเรื่องราวสมมุติในโลกจินตนาการอะไรสักอย่างแล้วกันนะครับ ขอบคุณครับ