A Model of Royal Thai Navy (RTN)'s frigate FFG-471 HTMS Bhumibol Adulyadej at
IODS 2024. (Alex Luck)
Thailand's Parliamentary Defense Committee visited Hanwha Ocean's Shipyard at
Geoje to observe its advanced shipbuilding capabilities on 3 December 2024.
(Hanwha)
The Krabi-class offshore patrol vessels (OPVs), OPV-551 HTMS Krabi and OPV-552
HTMS Prachuap Khiri Khan, based on BAE Systems 90m OPV design with technology
transfer to Bangkok Dock and builded at RTN Mahidol Adulyadej Naval Dockyard,
are latest domestic large warships which constructed in Thailand.
Royal Thai Navy (RTN) commander-in-chief Admiral Jirapol Wongwit meeting with
Thai Shipbuilding and Repairing Association (TSBA) and Thai shipbuilding
companies include
Bangkok Dock Company (1957) Limited, Asian Marine Services Public Company
Limited (ASIMAR), Marsun Public Company Limited, Seacrest Marine Company
Limited, Lanta Cruise Company Limited, Thai International Dockyard Co., Ltd.
(TINDY), MariArt Thailand Co., Ltd., and A & Marine Thai Co., Ltd. for
proposing new 4 of high performance frigates programme which to be constructed
in Thailand on 18 December 2024. (Royal Thai Navy)
Mr.Phumtham Wechayachai, Minister of Defence of Thailand said to media on long
delay Royal Thai Navy's S26T Submarine programme from China on 30 December
2024 that,
1. first S26T for RTN's hull is 80% completed.
2.will find the way to request Germany for direct sell its MTU 396 engine to
Thailand for RTN's S26T Submarine.
3.will evaluate CHD620 engine usage of Pakistan Navy's 8 of Hangor-class
Submarines.
4.will be a conclusion within 6 months, include cancellation of the agreement
with China.
วันที่ 18 ธ.ค.67 พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ
ร่วมหารือกับสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย
และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการต่อเรือในประเทศไทย ประกอบด้วย บจก.อู่กรุงเทพ
บมจ.เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ บมจ.มาร์ซัน บจก.ซี เครสท์ มารีน บจก.ลันตา ครูซ
บจก.ไทยอินเตอร์เนชั่นแนล ด็อคยาร์ด บจก.มาริอาร์ท (ประเทศไทย) และ บจก.เอ.
แอนด์ มารีน (ไทย)
ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม
เกี่ยวกับการเสนอโครงการจัดหาเรือฟริเกตของกองทัพเรือ
ซึ่งมีแนวความคิดในการต่อเรือในประเทศบางส่วนหรือทั้งหมดตามขีดความสามารถของอู่ต่อเรือ
โดยจะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
และส่งเสริมเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการต่อเรือ
อาทิ การได้รับค่าตอบแทนและการพัฒนาฝีมือแรงงาน
การจัดหาวัสดุอุปกรณ์จากภายในประเทศ การจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง
ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการต่อเรือขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน
ที่ประเทศไทยยังไม่เคยมีการดำเนินการมาก่อน
ในการนี้ สมาคมต่อเรือฯ และอู่ต่อเรือต่าง ๆ
ได้มีการรวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือกันมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีความเห็นพ้อง
พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการ ซึ่งจะเป็นการสร้างการลงทุน
และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมต่อเรือของประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้
การเตรียมเสนอโครงการจัดหาเรือฟริเกตของกองทัพเรือตามแนวความคิดดังกล่าว
เป็นไปตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ในเรื่องการพัฒนาระบบงานอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ
เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของกองทัพและหน่วยงานความมั่นคง
ตลอดจนสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
VIDEO
รัฐมนตรีกลาโหมส่งท้ายปีเก่า ยืนยันไม่ได้ดึงเวลาเรื่องเรือดำน้ำ S26T
คาดว่าจะจบได้ในอีก 6 เดือน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเรือดำน้ำ
S26T ว่าโครงการนี้ค้างมานานแล้ว แต่ตนยังไม่เซ็น เพราะยังไม่เห็นอะไรเลย
ใครทำไว้ก็ไม่รู้ แต่ตนต้องมาเซ็น ต้องมารับผิดชอบ หากมีผลเสียเกิดขึ้นมา
คนที่รับผิดชอบคนแรก คือ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร.
และคนรับผิดชอบสุดท้ายคือตน ดังนั้นต้องขอให้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ชัดก่อน
“ผมได้บอกกับ กองทัพเรือ และ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ไปว่า
ผมเป็นคนไม่ชอบทำอะไรที่ค้างนาน และไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อ หรือดึงเวลา
ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะให้เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2567 แต่ก็ทำไม่ได้
เพราะหลังจากมาดูแล้ว การเปลี่ยนตัวเครื่องยนต์ เป็นสาระสำคัญ
ซึ่งต้องคุยกันให้จบ
ถามว่ากองทัพเรือทำทุกอย่างครบหรือยัง กองทัพเรือก็พยายามชี้แจง
จึงอยากให้มีการพิสูจน์ทราบ ว่ามีปัญหาหรือไม่” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ตนได้มีการเชิญทูตทหารของเยอรมนีมาพูดคุย
โดยได้ถามไปว่าถ้าคุณไม่ขายให้กับประเทศจีน ขายให้กับประเทศไทยได้หรือไม่
แล้วเราไปหาคนติดตั้งเครื่องยนต์เอง ไม่ต้องให้จีนติดตั้ง
เพื่อให้ได้ของที่ตรงสเป็กมากขึ้น เรื่องนี้นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี
ได้เคยพูดคุยกันไว้บ้างแล้ว ทางทูตเยอรมัน
ก็แจ้งว่ายังไม่เคยไปพูดคุยกันในเรื่องนี้กับทางเยอรมนี
แต่รับปากว่าจะไปพูดคุยให้
นอกจากนี้ยังได้คุยกับทางเอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทย
ขอให้นำเรือดำน้ำรุ่นนี้ลงดำเร็วๆ แล้วประเมินผลด้วยหลักสากล
และถ้าลงน้ำและใช้งานไปแล้ว 3-4 เดือน ไม่มีปัญหาอะไร ก็จะสามารถตอบได้ว่า
การเปลี่ยนแปลงนี้ถึงแม้จะเป็นสาระสำคัญของสัญญา ก็สามารถทดแทนได้
และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน จะได้มีอะไรยืนยันเพื่อลงนามได้
เมื่อถามว่าโครงการเรือดำน้ำจะจบในรัฐบาลนี้เลยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า 6
เดือนก็จบแล้ว มั่นใจว่าจะตัดสินใจได้ ส่วนจะเรียบร้อยหรือไม่
สังคมก็ช่วยตรวจสอบ ตนจะไม่ทิ้งไว้ ถ้าทิ้งไว้ก็จะช้าอยู่อย่างนี้
จะเอาหรือไม่เอา จะตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจ ก็ต้องหาคำตอบมา
การเดินทางเยี่ยมชมอู่เรือบริษัท Hanwha Ocean
สาธารณรัฐเกาหลีของคณะกรรมาธิการการทหารรัฐสภาไทยเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม
พ.ศ.๒๕๖๗(2024) เกิดขึ้นหลังจากช่วงปีสองปีมานี้ที่มีการให้ข่าวในสื่อสังคม
online
ในไทยเกี่ยวกับปัญหาของเรือฟริเกตชุดเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชที่สร้างโดยบริษัท
DSME (ปัจจุบัน Hanwha Ocean) ช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๖-๒๕๖๑(2013-2018)
และขึ้นระวางประจำการในปี พ.ศ.๒๕๖๒(2019)
โดยชี้นำไปในทางที่ว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่กองทัพเรือไทยมองที่จะไม่สั่งจัดหาเรือฟริเกตชุด
ร.ล.ภูมิพลอดุยเดช ลำที่สองต่อ เช่นว่าตอนไปร่วมการฝึก Kakadu 2024
ที่ออสเตรเลียในเดือนสิงหาคม-เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๗ ที่ผ่านมาขณะที่
ร.ล.ภูมิพลอดุยเดช
เดินทางไปได้กลางทางต้องจอดรอที่อินโดนีเซียให้เรือลากจูงมาลากกลับไทยเพราะเครื่องจักรใหญ่เครื่องยนต์ดีเซล
MTU เยอรมนีเกิดขัดข้อง
ซึมีข้อสังเกตว่าเรื่องเหล่านี้อาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
อย่างแรกคือก่อนหน้านี้ที่ ร.ล.ภูมิพลอดุยเดช
เดินเรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือฝึกภาคปฏิบัติในทะเลต่างประเทศก็ไปจีน
บรูไน อินโดนีเซียในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๗ โดยไม่มีปัญหาอะไร
สองถ้าเครื่องยนต์ขัดข้องจริงภาพล่าสุดของห้องเครื่อง ร.ล.ภูมิพลอดุยเดช
ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗ ไม่น่าจะไม่มีสภาพร่องรอยความเสียหายใดๆ
พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์
ผู้บัญชาการทหารเรือไทยกล่าวต่อสื่อไทยในต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗ ว่า
กองทัพเรือไทยมองที่จะได้รับการอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลไทยในการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงใหม่จำนวน
๔ลำ ซึ่งถูกระบุในสมุดปกขาวกองทัพเรือ พ.ศ.๒๕๖๖ Royal Thai Navy White Paper 2023
ที่เผยแพร่ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๖(2023) ซึ่งถูกเลื่อนจากการร้องขอในปีงบประมาณ
พ.ศ.๒๕๖๘(2025)
โดยแบ่งเป็นสองระยะสำหรับเรือฟริเกตใหม่จำนวน ๒ลำในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๙(2026)
และอีก ๒ลำในในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๗๐(2027)
ซึ่งใช้งบประมาณผูกพันข้ามปีสำหรับเรือฟริเกต
๒ลำที่จะสร้างในไทยโดยการถ่ายทอดวิทยาการที่วงเงินราว
๓๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($1,026,588,850) หรือลำละราว ๑๗,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐($513,294,425)
รวมทั้งหมด ๔ลำ วงเงินราว ๘๐,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท($2,357,253,228)
เพื่อทดแทนเรือฟริเกตเก่าที่มีอายุการใช้งานมานานและจะปลดประจำการลงในเร็วๆ
นี้ทั้งเรือคอร์เวตชุดเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ๒ลำ ที่
ร.ล.รัตนโกสินทร์มีกำหนดจะปลดประจำการในราวปี พ.ศ.๒๕๖๙
และเรือหลวงสุโขทัยที่จมไปแล้วในปี พ.ศ.๒๕๖๕(2022)
รวมถึงเรือฟริเกตชุดเรือหลวงตาปี ทั้ง ๒ลำคือ ร.ล.ตาปี และเรือหลวงคีรีรัฐ
ซึ่งมีอายุการใช้งานเรือกว่า ๔๐-๕๐ปี จนถึงเรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา
๔ลำในอนาคตด้วย
ความชัดเจนจากทางกองทัพเรือไทยได้มีขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๗ เมื่อ
พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือไทย
ได้จัดการหารือร่วมกับสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย(TSBA: Thai Shipbuilding and
Repairing Association) และบริษัทต่างๆในภาคอุตสาหกรรมการต่อเรือไทย
เพื่อหารือเกี่ยวกับการเสนอโครงการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูง ๔ลำที่จะถูกสร้างภายในประเทศไทย
บริษัทต่างๆที่เข้าร่วมการประชุมหารือเช่น บริษัท อู่กรุงเทพ Bangkok Dock ไทย,
บริษัท Asian Marine Services(ASIMAR) ไทย, บริษัท Marsun ไทย
เป็นต้นนั้นต่างมีประสบการณ์และขีดความสามารถในการสร้างเรือต่างๆเป็นจำนวนมากส่งมอบให้กองทัพเรือไทยและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยมาอย่างต่อเนื่องแล้ว
ซึ่งได้มีความร่วมมือหรือมองที่จะหาหุ้นส่วนจากต่างประเทศในโครงการเรือฟริเกตใหม่นี้
จากการนำเสนอล่าสุดที่ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม
โครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงใหม่อาจจะเป็นได้ทั้งการต่อเรือฟริเกตชุด
ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช เพิ่มเติมในไทย ๑ลำ หรือการต่อเรือฟริเกตแบบใหม่ ๒-๓ลำ
ที่จะมีการแข่งขันคัดเลือกแบบต่อไป
ซึ่งทั้งหมดจะเป็นการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมต่อเรือในไทยผ่านการลงทุนพัฒนาและกระจายงานให้บริษัทต่างๆในประเทศ รูปแบบเดียวกับที่เห็นในญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี
อย่างไรก็ตามการจัดหาเรือฟริเกตใหม่
๔ลำจากรัฐบาลไทยและรัฐสภาไทยยังมีอุปสรรคสำคัญคือการที่กองทัพเรือไทยยังคงพยายามผลักดันโครงการจัดหาเรือดำน้ำ
S26T จีนที่ยังค้างคาอยู่ โดยล่าสุดรัฐมนตรีกลาโหมไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย
ได้ให้สัมภาษณ์สื่อล่าสุดเกี่ยวกับความคืบหน้าของเรือดำน้ำ S26T
ที่จีนสร้างตัวเรือเสร็จไปแล้วมากกว่าร้อยละ๘๐ เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗
ที่เป็นวันทำงานสุดท้ายของปีว่า
ในการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า CHD620
จีนมาติดตั้งกับเรือดำน้ำ S26T
ของไทยนั้นเป็นสาระสำคัญที่ต้องคุยกันให้จบเพราะถ้าลงนามเห็นชอบแล้วก็ต้องรับผิดชอบถ้ามีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น
โดยมองแนวทางที่จะให้เยอรมนีขายเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า MTU 396
เยอรมนีที่ไม่ส่งออกให้จีนให้ไทยโดยตรงมาติดในเรือดำน้ำ S26T ตามสัญญาเดิม
โดยจะหาผู้รับติดตั้งเครื่องยนต์แทนจีน
โดยยังมองที่จะประเมินการใช้งานของเรือดำน้ำชั้น Hangor ทั้ง
๘ลำของกองทัพเรือปากีสถานที่ยอมรับเครื่องยนต์ CHD620
จีนไปแล้วที่มีพื้นฐานจากเรือดำน้ำชั้น Type 039B จีนเช่นเดียวกับ S26T
ไทยว่ามีผลตอบรับอย่างไร ซึ่งข้อสรุปการตัดสินใจจะเสร็จสิ้นภายใน ๖เดือนข้างหน้า
ซึ่งจากแผนเดิมที่จะจัดเรือดำน้ำ S26T รวม
๓ลำจะลดเหลือลำเดียวหรือจะยกเลิกโครงการไปเลย
ซึ่งทั้งหมดต้องมีคำตอบให้ประชาชนยอมรับได้
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการออกกำหนดร่างขอบเขตของงาน(TOR: Terms of Reference)
เอกสารขอข้อมูล(RFI: Request for information) หรือเอกสารขอข้อเสนอ(RFP: Request
for Proposals) เพื่อเริ่มต้นการแข่งขันอย่างเป็นทางการก็ตาม
ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นไปได้ที่ต่างมองจะมีความร่วมมือกับอู่เรือของไทยยังคงรอความชัดเจนอยู่ว่ารัฐบาลไทยและรัฐสภาไทยจะผลักดันโครงการเรือฟริเกตใหม่ให้กองทัพเรือไทยจริงหรือไม่
เพราะถ้าทั้งโครงการเรือดำน้ำ S26T
ยังคงถูกเลื่อนการตัดสินใจที่ชัดเจนพอไปเรื่อยๆเช่นนี้
ซึ่งดูจะเป็นการกดดันจากฝ่ายการเมืองที่จะให้กองทัพเรือยอมแพ้ที่จะมีเรือดำน้ำใช้งานไปด้วยตนเองมากกว่าที่จะเป็นเหตุผลด้านความเหมาะสมต่างๆ
และยังมีความขัดแย้งในฝ่ายการเมืองที่มีเห็นว่าควรจะต่อเรือฟริเกตชุด
ร.ล.ภูมิพลอดุยเดช เพิ่มเพื่อลดแบบเรือลง
หรือจะต่อเรือฟริเกตชุดใหม่ในไทยดี
การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสร้างเรือไทยก็อาจจะยังถูกมองว่าไม่มีศักยภาพและดึงดูดจากผู้ลงทุนจากต่างประเทศเพียงพอ
แม้ว่าจะมีตัวแทนของรัฐบาลและผู้สร้างเรือจากหลายประเทศเริ่มเข้ามาพูดคุยกับกองทัพเรือไทยรัฐบาลไทยและภาคเอกชนไทยบ้างแล้วในเบื้องต้นก็ตาม
ซึ่งนี้จะทำให้กองทัพเรือไทยขาดขีดความสามารถเรือรบผิวน้ำหลักเพิ่มเติมในอนาคต
ต่อจากการขาดขีดความสามารถสงครามใต้น้ำอยู่แล้วในตอนนี้ครับ
Royal Thai Marine Corps (RTMC) domestic Chaiseri AWAV (Armoured Wheeled
Amphibious Vehicle) 8x8 participated Royal Thai Navy Amphibious Exercise for
first time at Hat Yao beach, Sattahip District, Chonburi Province, Gulf of
Thailand on 13 December 2024. (Royal Thai Marine Corps/Royal Thai Navy)
https://aagth1.blogspot.com/2024/12/awav-8x8.html
The exercise of joint task group include CVH-911 HTMS Chakri Naruebet
helicopter carrier, FFG-471 HTMS Bhumibol Adulyadej guided-missile
frigate, FFG-421 HTMS Naresuan and FFG-422 HTMS Taksin the Naresuan-class
guided-missile frigates; FFG-456 HTMS Bangpakong and FFG-457 HTMS Kraburi
the Chao Phraya-class frigates, FSG-441 HTMS Ratanakosin corvette, and
PF-432 HTMS Khirirat the Tapi-class patrol frigate at Sattahip Bay, Chonburi
Province, Gulf of Thailand on 10-12 December 2024. (Royal Thai Navy)
“นาวิกโยธินไทย ฝึกเพื่อความพร้อมรบ
พร้อมช่วยเหลือประชาชนในทุกสถานการณ์”
เมื่อ ๑๒ ธ.ค.๖๗ พล.ร.อ.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผบ.กร.
ตรวจเยี่ยมการฝึกเป็นหน่วยกำลังรบยกพลขึ้นบกนาวิกโยธินประจำปี ๒๕๖๘
ภายใต้การฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ
ประจำปี ๒๕๖๘ การฝึกในครั้งนี้ครอบคลุมการพัฒนาทั้งองค์บุคคลและองค์ยุทธวิธี
เน้นให้กำลังพลจากกองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธการ กองเรือยุทธการและ
กองพลนาวิกโยธิน
หน่วยบัญชาการนาวิกโยธินมี ความรู้ ความชำนาญในการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก
ตั้งแต่การวางแผน การขึ้นสู่เรือ การเคลื่อนย้าย การซักซ้อม
จนถึงการโจมตีตามลำดับขั้นตอน โดยได้นำยุทโธปกรณ์ ยานเกราะล้อยาง 8x8 AWAV
ที่ผลิตในประเทศไทย
มาฝึกเป็นครั้งแรกซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพโดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมภายในประเทศ
โดยมี พล.ร.ต.นิรัตน์ ทากุดเรือ รอง ผบ.นย. ผู้แทน ผบ.นย.พร้อมด้วย
พล.ร.ต.ณรงค์ วงษ์ประเสริฐ เสธ.นย. และ พล.ร.ต.โยธิน ธนะมูล ผบ.พล.นย.
ตลอดจนนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของ นย.ให้การต้อนรับ ณ สนามฝึก กองทัพเรือหมายเลข
๑๕ หาดยาว อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี
ทั้งนี้การฝึกการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบกฝึกเพื่อเสริมสร้างความพร้อมรบแล้ว
ยังมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น
เหตุการณ์ความไม่สงบหรือภัยพิบัติต่าง ๆ
สามารถดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง
รวมถึงการบรรเทาสาธารณภัยด้วยยุทโธปกรณ์ที่นำมาจากเรือรบทางทะเล
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ประสบภัยอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
**กองเรือยุทธการ จัดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือ กองบิน
และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568 ในทะเล ระหว่าง 10-12 ธ.ค.67
โดยมีพื้นที่ การฝึกครอบคลุมบริเวณอ่าวไทยตอนบน
ซึ่งเป็นการฝึกบูรณาการปฏิบัติการระหว่างกองเรือต่าง ๆ ตลอดจนอากาศยาน
และชุดปฏิบัติการพิเศษ เพื่อให้ตอบสนองต่อการเตรียมความพร้อม
ในการใช้กำลังทางเรือ
โดยแบ่งกำลังทางเรือเป็น 2 หมวดเรือประกอบด้วย
-หมวดเรือที่หนึ่ง ฝึกการเดินทางระยะไกล และการฝึกทบทวยยุทธวิธีกอง
สงครามทางเรือทั้ง 3 มิติ การรับส่งสิ่งของในทะเล การฝึกแปรขบวนเรือ
การฝึกใช้อาวุธประจำเรือ และการแบ่งฝ่ายประลองยุทธ
-หมวดเรือที่สองเป็นการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก
ซึ่งเป็นการฝึกร่วมกับกำลังรบยกพล ขึ้นบกของ หน่วยบัญชาการ นาวิกโยธิน
และการสนับสนุนจากหน่วยต่าง ๆ ทั้งนี้ ในการฝึกองค์บุคคลฯ ของ กองเรือยุทธการ
ในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและความชำนาญของกำลังพล
ให้เป็นไปตามระบบมาตรฐานกำลังพล (PQS)
โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
เพื่อให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ สอดคล้องกับนโยบายกองทัพเรือ
Navy Safety 2025
การฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๘ ในห้วงเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗
ที่ผ่านมาได้เห็นการนำรถหุ้มเกราะล้อยางลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก Chaiseri
AWAV 8x8
นาวิกโยธินไทยที่ออกแบบและสร้างในไทย เข้าร่วมการฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบกเป็นครั้งแรก
หลังจากที่ได้มีการส่งมอบครบ ๗คันในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๖๗ ที่ผ่านมา
การฝึกยุทธวิธีร่วมกองเรือ กองเรือยุทธการในอ่าวไทย
ยังเห็นกำลังทางเรือของกองทัพเรือภาคที่๑ ทรภ.๑ ที่ตั้งในฐานทัพเรือสัตหีบ
จัดกำลังกระบวนหมู่เรือขนาดใหญ่ประกอบด้วยเช่นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือฟริเกตเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
เรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร ร.ล.นเรศวร และเรือหลวงตากสิน
และเรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงบางประกง และเรือหลวงกระบุรี
เป็นต้น
แต่ทว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีการสร้างกระแสจากผู้ไม่หวังดีต่อชาติโจมตีกองทัพเรืออย่างต่อเนื่องว่าไม่ยอมทำอะไรเลยต่อปัญหาเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชาบริเวณเกาะกูด
หรือกรณีที่เรือรบกองทัพเรือพม่าล้ำน่านน้ำไทยยิงใส่และจับคนไทยและเรือประมงไทยที่ชะวากทะเลจังหวัดระนอง
คือกองทัพเรือจะปฏิบัติการต่อประเทศเพื่อนบ้านเอาเองไม่ได้ถ้ารัฐบาลพลเรือนที่มาจากเลือกตั้งโดยประชาชนไม่เห็นชอบ
หรือถ้าทหารเรือลงมือทำอะไรจริง พวกไม่หวังดีพวกนี้ก็จะไม่พอใจอยู่ดีครับ
The Royal Oman Navy has Signed a Contract to Build Four Landing Craft
with the Thai Marsun Shipyard
On 10 December 2024, Mr. Ek-att Thitaram, Minister Counsellor, represented
the Royal Thai Embassy in Muscat as a witness in the signing ceremony of the
contract between the Ministry of Defense of the Sultanate of Oman and Marsun
Public Company Limited on Design, Build, and Supply of Landing Craft Vessel
for the Royal Navy of Oman.
The design of this ship series is based on the LCU M55 designed and built by
Marsan Shipyard for service in the Royal Thai Navy and exported according to
customer requirements. The M55 LCU is a landing craft with a length of 55
meters, a beam of 11 meters, a displacement of 145 tons, a maximum speed of
12 knots, and a range of more than 2,500 nautical miles.
After the ceremony, the delegation including representatives of the Ministry
of Defense of Thailand and the Royal Thai Navy met with HE Ms. Warunee
Pan-krajang, Ambassador-Designate, to provide information on the company's
business operations and Thailand's potential for the defense industry.
มาร์ซันได้สัญญาต่อเรือระบายพลLCU ให้กับโอมาน
สถานทูตไทยประจำกรุงมัสกัต ประเทศโอมาน ออกแถลงการณ์
การลงนามในสัญญาระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งรัฐสุลต่านโอมาน กับบริษัทมาร์ซัน
ในการออกแบบ,ต่อเรือ และสนับสนุนการปฏิบัติงาน
เรือยกพลขึ้นบกสำหรับกองทัพเรือโอมานจำนวน 4ลำ เมื่อวันที่10 ธันวาคม
แผนแบบของเรือชุดนี้มีพื้นฐานมาจากเรือLCU M55
ที่ออกแบบและต่อโดยอู่ต่อเรือมาร์ซัน เพื่อประจำการในกองทัพเรือไทย
และส่งออกตามความต้องการของลูกค้า
M55 LCU เป็นเรือระบายพล ขนาดความยาวตัวเรือ 55 เมตร หน้ากว้างตัวเรือ11เมตร
ระวางบรรทุก 145ตัน มีความเร็วสูงสุด 12 น็อต พิสัยทำการมากกว่า
2,500ไมล์ทะเล
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการลงนาม
คณะบริษัทมาร์ซันและผู้แทนกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือของไทยได้เข้าพบนางสาววารุณี
ปั้นกระจ่าง เอกอัครราชทูต ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการของบริษัท
และศักยภาพของไทยด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
การลงนามสัญญาสร้างเรือระบายพล(Landing Craft Vessel) จำนวน
๔ลำสำหรับกองทัพเรือโอมาน(RNO: Royal Navy of Oman) ระหว่างกระทรวงกลาโหมโอมาน
และบริษัท Marsun ไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗ ณ กรุง Muscat
รัฐสุลต่านโอมาน
นอกจากจะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่สุดสำหรับภาคอุตสาหกรรมต่อเรือของไทยแล้ว
ยังน่าจะเป็นครั้งแรกที่ไทยจะสร้างเรือประเภทนี้ส่งออกต่างประเทศ ด้วย
เป็นที่เข้าใจว่าเรือระบายพล
๔ลำที่จะส่งออกให้กองทัพเรือโอมานน่าจะเป็นแบบเรือระบายพลขนาดใหญ่ M55 Landing
Craft Utility(LCU) ของ Marsun
ได้รับสัญญาจ้างสร้างจากกองทัพเรือไทยภายใต้โครงการเรือส่งกำลังบำรุงขนาดเล็ก(small
supply support vessel)
เข้าประจำการในชื่อเรือระบายพลขนาดใหญ่ชุดเรือหลวงมัตโพน จำนวน ๒ลำคือ
ร.ล.มัตโพน และเรือหลวงราวี ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓(2010)
กองทัพเรือโอมานเคยมีเรือประเภทเรือยกพลขึ้นบก เรือขนส่ง
และเรือส่งกำลังบำรุงต่างๆเพียง
๓ลำที่มีอายุการใช้งานมานานและบางลำก็ปลดประจำการไปแล้ว
เข้าใจว่าเรือระบายพลของอู่เรือ Marsun ไทยใหม่ ๔ลำจะเข้ามาทดแทนเรือเหล่านี้
ทั้งนี้แม้จะไม่มีการเปิดเผยวงเงินสัญญาแต่ข้อตกลงระหว่างไทยกับโอมานยังน่าจะรวมถึงการชดเชย
offset เช่นการลงทุนและการถ่ายทอดวิทยาการซึ่งน่าจะมีการเจรจาตามมาด้วยครับ
serial production domestic MARCUS-B (2024) (MARCUS-C) Vertical Take-Off and
Landing (VTOL) Unmanned Aerial Vehicle (UAV) for Royal Thai Navy (RTN),
RV CONNEX's domestic REDKITE Surveillance Unmanned Aerial System (UAS) and
JRV-01 jet engine Target Drone, were displayed at the DronTech Asia 2024
show which concluded at Hall 12, IMPACT Exhibition and Convention Center,
Bangkok, Thailand on 25-27 November 2024. (Defense Info media TH/Defense
& Security 2025)
<iframe width="560" height="315"
src="https://www.youtube.com/embed/XnTkBqk-Pe0" frameborder="0"
allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope;
picture-in-picture; web-share"
referrerpolicy="strict-origin-when-cross-origin"
allowfullscreen></iframe>
RV Connex นำเสนอ ยานโดรนเป้าบินคามเร็วสูง ในงาน Dronetech Asia
2024
JRV-01 ยานโดรนเป้าบินความเร็วสูง
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไมโครเทอร์ไบน์ ที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัท RV
Connex แห่งประเทศไทย
มีขนาดความยาว 2.6 เมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 262 น็อต
ทำการบินต่อเนื่องได้นาน1ชั่วโมง ควบคุมการบินด้วยระบบดาต้าลิ๊งค์ ที่พิสัย70
กิโลเมตร ภายตัวยานสามารถติดตั้ง เครื่องขยายสัญญาณเรดาร์
,พลุแฟลร์ความร้อน หรือพลุควัน เพื่อสร้างสัญญาณเป้าจำลอง สำหรับ
การฝึกใช้อาวุธปล่อยนำวิถีด้วยความร้อนสมรรถนะสูงแบบIRIS-T
หนึ่งในระบบอาวุธปล่อยนำวิถีหลักที่กองทัพอากาศมีใช้งานในปัจจุบัน
เผยโฉม JRV-01 และ Red Kite ...บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด เปิดตัว
JRV-01 (Target Drone) โดรนเป้าบินเจ็ทตัวแรกที่ออกแบบและผลิตได้เองในอาเซียน
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจและความสำเร็จของคนไทย และ Red Kite
(Surveillance UAS) โดรนเพื่อการลาดตระเวนระยะไกลมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล
ในงาน DronTech Asia 2024 ณ IMPACT เมืองทองธานี
ถือเป็นเวทีแสดงศักยภาพและความเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมโดรนที่กำลังเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
… JRV-01 เป็นโดรนเป้าบินพลังงานเจ็ตลำแรกในอาเซียน
ซึ่งได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยวิศวกรไทยอย่างเต็มรูปแบบ
โดรนถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การทดสอบระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูง
โดยสามารถจำลองสถานการณ์ภัยคุกคามที่หลากหลาย
เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสามารถด้านวิศวกรรมไทย ตั้งแต่การวางแนวคิด
การทดสอบ ไปจนถึงการผลิต นอกจาก JRV-01 แล้ว อาร์วี คอนเน็กซ์ ยังได้เปิดตัว
Red Kite ระบบอากาศยานไร้คนขับสำหรับงานสอดแนม
ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองและการสร้างความตระหนักรู้ในสถานการณ์
ด้วยการผสานเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่ทันสมัยและระบบอัตโนมัติขั้นสูง
...
งาน DronTech Asia 2024 เป็นเวทีระดับนานาชาติที่ช่วยให้อาร์วี คอนเน็กซ์
ได้แสดงศักยภาพทางวิศวกรรมและความมุ่งมั่นในการยกระดับเทคโนโลยีของประเทศไทย
การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในอุตสาหกรรมการบินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และตอกย้ำบทบาทของอาร์วี คอนเน็กซ์
ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมการป้องกันประเทศ
งานนิทรรศการระบบไร้คนขับ Dronetech Asia 2024 ที่จัดขึ้น ณ อาคาร Challenger
Hall 12 ศูนย์จัดแสดงสินค้า Impact เมืองทองธานี กรุงเทพฯ ประเทศไทย
ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๗(2024) ที่ผ่านมา
ซึ่งได้มีการจัดแสดงนำเสนอระบบไร้คนขับแบบต่างๆโดยเน้นไปที่อากาศยานไร้คนขับ(UAV:
Unmanned Aerial Vehicle)
ที่พัฒนาโดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนไทยและต่างประเทศ
นอกจากที่กองทัพอากาศไทยได้เปิดตัวอากาศยานไร้คนขับพลีชีพ(Kamikaze Drone)
ตระกูล KB(Kamikaze Bomber)
ที่พัฒนาเองในไทยเป็นครั้งแรก ทั้งอากาศยานไร้คนขับพลีชีพ KB-5E
ระบบขับเคลื่อน mortor ไฟฟ้า ติดหัวรบน้ำหนัก 5kg พิสัยการบินไกลที่ 150km
และอากาศยานไร้คนขับพลีชีพ KB-10G
ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ลูกสูบน้ำมันเบนซิน(gasoline) ติดหัวรบน้ำหนัก 10kg
พิสัยการบินไกลที่ 500km(อำนาจการทำลายเทียบเท่ากระสุนปืนใหญ่ขนาด 155mm NATO)
รวมถึงอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็กพลังงานแสงอาทิตย์(Solar Cell Energy) แบบ M
Solar-X ที่เปิดตัวใหม่ในชื่ออากาศยานไร้คนขับตระกูล K-Series UAV เช่น
อากาศยานไร้คนขับ K-24 และอากาศยานไร้คนขับขึ้นลงทางดิ่ง K-31 VTOL UAV
ก็มีความร่วมมือกับบริษัทอุตสาหกรรมการบินจำกัด(TAI: Thai Aviation Industries)
ไทย
เพื่อเปิดสายการผลิตส่งมอบให้อากาศโยธิน ประจำฐานบินต่างๆสำหรับภารกิจป้องกันฐานบิน
หน่วยงานอื่นๆที่ได้นำผลงานมาจัดแสดงในงานนิทรรศการ Dronetech Asia 2024
ยังรวมถึงกองทัพเรือไทยที่ได้จัดแสดงอากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนทางทะเลขึ้นลงทางดิ่ง
MARCUS-B (2024) หรือ MARCUS-C ซึ่งเป็นรุ่นที่สามในตระกูล
ได้ผ่านเข้าสู่การเปิดสายการผลิตและได้รับการสั่งจัดหาเพื่อเข้าประจำการในปีงบประมาณ
พ.ศ.๒๕๖๘ (2025) แล้ว(
https://aagth1.blogspot.com/2024/09/marcus-c.html )
จากน้ำหนักบินขึ้นสูงสุดที่ 75kg ซึ่งถูกจำกัดไว้ที่ 50kg
เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานบนเรือ น้ำหนักบรรทุก payload อีกราว 8kg
อาจจะสามารถติดอาวุธได้ในอนาคตและกำลังมีการพัฒนาระบบฝูงอากาศยานไร้คนขับพลีชีพ
Swarm Kamikaze Drone
แม้ว่ากองทัพเรือไทยจะไม่ได้มีหน้าที่ในการขายอาวุธในเชิงพาณิชย์แต่โดยที่เป็นเจ้าของลิขสิทธ์และทรัพย์สินทางปัญญากองทัพเรือไทยกำลังมองหาแนวทางที่จะส่งออกยุทโธปกรณ์ที่ตนพัฒนา อยู่
อีกรายที่ร่วมงานคือบริษัท RV Connex
ไทยที่ประสบความสำเร็จในในการพัฒนาและผลิตอากาศยานไร้คนขับ RTAF U1
ให้กองทัพอากาศแล้วก็เปิดตัวเป้าบินไอพ่น JRV-01 ซึ่งเป็น Jet Target Drone
แบบแรกที่ออกแบบและผลิตใน ASEAN, อากาศยานไร้คนขับตรวจการณ์ REDKITE ใหม่
และอากาศยานไร้คนขับขึ้นลงทางดิ่ง PATHUM 4 ที่มีความร่วมมือกับบริษัท
Aeronautics อิสราเอลครับ(
https://aagth1.blogspot.com/2023/04/dp6-pathum-4.html )
Royal Thai Air Force (RTAF) Beechcraft AT-6TH Wolverine serial "41102" and
"41104" light attack aircrafts of 411th Squadron, Wing 41 Chiang Mai RTAF
base with FN HMP-400 .50cal gun pods and LAU-131/A 7-round 70mm rocket pods
in flight formation for combat patrol role demonstration during the opening
ceremony of Air Tactical Operations Evaluation 2025 at Chandy range, Lopburi
Province, Thailand on 12 December 2024. (Sompong Nondhasa)
Royal Thai Air Force (RTAF) Saab Gripen C/D of 701st Squadron, Wing 7 Surat
Thani during the opening ceremony of Air Tactical Operations Evaluation 2025
at Chandy range, Lopburi Province, Thailand on 12 December 2024. (DEFENSE
INFO/Sukasom Hiranphan)
ทอ.เปิดตัวบ.โจมตีและฝึกแบบที่ 22 AT-6TH Wolverine
ในการเปิดการทดสอบและประเมินค่าการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี ประจำปี
2568 ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี วันที่ 12 ธันวาคม
พ.ศ.2567 ...Photo Sompong Nondhasa
“Minus’s pass & Knight strike” in RTAF ATOE 2024
หลังจากเข้าประจำการในกองทัพอากาศมากว่า13ปี เครื่องบินรบแบบJAS-39 C/D
กริปเป้น ได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเทคโนโลยีการรบทางอากาศที่ทันสมัย
ในฐานะหนึ่งในเครื่องบินรบประสิทธิภาพสูงของประเทศ
ในพิธีเปิดการทดสอบและประเมินค่าการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี ประจำปี 2568
ได้เป็นครั้งแรกที่เครื่องบินรบแบบนี้ได้รับหน้าที่การบินผ่านหน้าพิธี
บนเนินเขาพลับพลา
อันเสมือนเป็นการแสดงให้เห็นขีดความสามารถของนักบินรบของกองทัพอากาศ
ที่สามารถควบคุมการบินในระดับความสูงต่ำ
ด้วยความเร็วสูงในเวลาที่แม่นยำ
นอกเหนือไปจากการรับบทบาทการบินผ่านด้วยความเร็วสูงแล้ว ฝูงบิน701
กองบิน7 ยังได้จัดส่งJAS-39C/D จำนวน 2ลำ ในชื่อหมู่บิน “Knight”
มาทำการสาธิตการใช้อาวุธความแม่นยำสูง
อย่างระเบิดนำวิถีด้วยแสงเลเซอร์แบบGBU-12 เพฟเวย์IIขนาด500ปอนด์
จำนวน1ลูก ทำการล็อคเล็งเป้าหมายด้วยกระเปาะชี้เป้าแบบ ไลท์เทนนิ่ง
จากความสูง 15,000 ฟุต ที่สามารถเข้าทำลายเป้าหมายสมมุติได้อย่างแม่นยำ
ผบ.ทอ.เผย Gripen E/F รับมอบปี 2572...พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล
ผู้บัญชาการทหารอากาศ
เปิดเผยว่ากองทัพอากาศจะเซ็นต์สัญญาซื้อเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F กับ SAAB
ในราวเดือนพ.ค.หรือมิ.ย. ปีหน้านี้ และจะใช้เวลาในการผลิตราว 4
ปี
โดยในปี 2572 จะมีการส่งมอบ Gripen E จำนวน 3 เครื่อง และ Gripen F (รุ่น 2
ที่นั่ง) 1 เครื่อง รวมทั้งหมด 4 เครื่อง ให้กับกองทัพอากาศไทย
และจะไปประจำการที่กองบิน 1 โคราช ...
F-35,F-16 จะมาโชว์บินในไทย ... เนื่องในวันที่ระลึกกองทัพอากาศไทยครบรอบ 88
ปี ในเดือนมีนาคมนี้ กองทัพอากาศไทยได้เชิญกองทัพอากาศสหรัฐฯ จีน และอินเดีย
ให้มาร่วมงานด้วย โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯจะส่ง F-35 และ F-16
มาโชว์บินในไทยเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ในวันวันสำคัญนี้
โดยจะแสดงการบินภาคอากาศให้ประชาชนชาวไทยได้ชมกันเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่
7- 8 มีนาคม 2568 ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้แล้วกองทัพอากาศจีนจะส่งฝูงบินผาดแผลง August 1th หรือ Ba Yi
Aerobatics Team ซึ่งบินด้วยเครื่องบินขับไล่ J-10
และอินเดียยังจะส่งฝูงบินผาดแผลง Surya Kiran ซึ่งบินด้วยเครื่องบินไอพ่น
Hawk Mk 132 มาร่วมแสดงการบิน ในครั้งนี้ด้วย
...คาดว่าจะเป็นการแสดงการบินแบบ Aerobatics
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ เราจะได้ชมเครื่องบินรบสมรรถนะสูงอย่าง
F-35 และ F-16 แสดงขีดความสามารถในการบินที่ยอดเยี่ยม
และตื่นตาตื่นใจไปกับลีลาการบินอันเร้าใจของฝูงบินผาดแผลงทั้ง 2
แบบของจีนและอินเดีย
...ก็ต้องขอขอบคุณ พล.อ.อ. พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.
และกองทัพอากาศที่ได้จัดให้มีงาน Airshow ในคร้งนี้
...อีกไม่นานครับเตรียมต้วเตรียมกล้องรอไว้ได้เลย
จะได้เก็บภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึกและคาดว่าจะมีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมากนับหมื่นๆคนมาชมงานในครั้งนี้...สำหรับรายละเอียดกำหนดการต่างๆกองทัพอากาศจะได้มีการแถลงให้ทราบในเร็วๆนี้ครับ
ซึ่งเราก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
จุดเด่นสำคัญของพิธีเปิดการทดสอบและประเมินค่าการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีประจำปี
พ.ศ.๒๕๖๘ ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ ๑๒
ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗ คือกองทัพอากาศไทยได้เปิดตัวเครื่องบินโจมตีแบบที่๘ บ.จ.๘
Beechcraft AT-6TH Wolverine ฝูงบิน๔๑๑ กองบิน๔๑ เชียงใหม่
ติดอาวุธสาธิตการบินลาดตระเวนรบเป็นครั้งแรกแม้ว่าจะไม่มีการใช้อาวุธยิงจริงก็ตาม
ตามที่ฝูงบิน๔๑๑ มีกำหนดจะได้รับมอบเครื่องบินโจมตี บ.จ.๘ AT-6TH ครบ
๘เครื่องในภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๘
การประกาศความพร้อมปฏิบัติการขั้นต้น(IOC: Initial Operating Capability)
น่าจะมีขึ้นตามมาภายหลัง และคงจะได้เห็น บ.จ.๘ AT-6TH
ทำการยิงกระเปาะปืนกลอากาศ HMP-400 .50cal และกระเปาะจรวด LAU-131/A ความจุ
๗นัดสำหรับจรวดอากาศอากาศสู่พื้นแบบ Hydra 70 ในการสาธิตครั้งถัดไป
การสาธิตการใช้กำลังทางอากาศในพิธีเปิดการทดสอบและประเมินค่าการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีประจำปี
๒๕๖๘ ล่าสุดยังเป็นโอกาศหายากที่ได้เห็นเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๒๐/ก Gripen C/D
ติดอาวุธแบบเต็มอัตราบรรทุก รวมถึงได้เห็นการใช้อาวุธที่สร้างในไทยโดยกรมสรรพาวุธทหารอากาศ
ตั้งแต่ลูกระเบิดทำลายอเนกประสงค์ Mk82 500lbs จรวดอากาศสู่พื้น CRV7 และ
Mk66(Hydra 70) จนถึงสารดับไฟป่าสูตร๑
แต่ก็จะเห็นได้ว่ากำลังรบทางอากาศที่สาธิตการใช้อาวุธที่สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล
ล่าสุดรวมถึงเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๙/ก F-16A/B ฝูงบิน๑๐๓ กองบิน๑ โคราช
เครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๘ข/ค F-5E/F TH ฝูงบิน๒๑๑ กองบิน๒๑ อุบลราชธานี
เครื่องบินโจมตี บ.จ.๗ Alpha Jet ฝูงบิน๒๓๑ กองบิน๒๒ อุดรธานีนั้น
ต่างมีอายุการใช้งานมานานและใกล้เข้าสู่กำหนดการปลดประจำการมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
สำหรับโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๒๐ข/ค Gripen E/F นั้นคาดว่าจะส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบได้ในเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๘ และจะมีการลงนามสัญญาตามมาราวเดือนมิถุนายน ๒๕๖๘
สำหรับระยะ๑ จำนวน ๔เครื่องแรกประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว บ.ข.๒๐ข
Gripen E ๓เครื่อง และเครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง บ.ข.๒๐ค Gripen F ๑เครื่อง
ส่งมอบให้ฝูงบิน๑๐๒ กองบิน๑ ได้ในปี พ.ศ.๒๕๗๒(2029)
กิจกรรมของกองทัพอากาศไทยในปี พ.ศ.๒๕๖๘
นี้นอกจากงานวันเด็กแห่งชาติที่จัดขึ้นในวันเสาร์ของสัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคมที่จะมีการจัดแสดงอากาศยานทั้งภาคพื้นและภาคอากาศแล้ว
กองทัพอากาศไทยยังมีแผนที่จัดงานครบรอบ ๘๘ปีกองทัพอากาศไทย RTAF88 ในราววันที่
๗-๘ มีนาคม ๒๕๖๘ ซึ่งมีกองทัพหลายชาติตอบรับที่จะเข้าร่วมงานทั้ง สหรัฐฯ จีน
สวีเดน อินเดีย และสิงคโปร์เป็นต้นครับ
Major General Thanathip Sawangsaeng spokesperson for the Ministry of Defence
of Thailand told media that Quick Reaction Alert (QRA) mission by two
Lockheed Martin F-16AM EMLU Fighting Falcon of 403rd Squadron, Wing 4 Takhli
to unidentified aircraft at Thailand-Myanmar border in Tak Province on 20
December 2024, from collected data of its speed, altitude, and direction, it
probably be Medium-Altitude Long-Endurance Unmanned Aerial Vehicle (MALE
UAV) include Myanmar Air Force's Chinese made CH-4B Unmanned Combat Aerial
Vehicle (UCAV) or same in class of anti military junta forces and ethnic
group armed organisations or even unidentified foreign forces. (Royal Thai
Air Force)
VIDEO
โดรนสงคราม UCAV CH-4 เรนโบว์
อาจเป็นอากาศยานไม่ทราบฝ่ายที่F-16ไทยขึ้นสกัดกั้น
จากการให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนเพิ่มเติมของกระทรวงกลาโหม
ในวันนี้ต่อกรณีการส่งเครื่องบินรบแบบF-16A
eMLUของกองทัพอากาศขึ้นสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย
ที่มีทิศทางการบินมายังเขตน่านฟ้าของประเทศไทย เมื่อวันที่20ธันวาคมที่ผ่านมา
ระบุว่าการพิสูจน์ทราบในขั้นต้น ประเมินได้ว่าจะเป็นอากาศยานไร้คนขับ
ที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของฝ่ายใด
เนื่องจากเป็นอากาศยานขนาดเล็กที่ตรวจจับได้จากระบบป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพอากาศ
แต่ไม่มีการแสดงตนด้วยระบบพิสูจน์ฝ่ายตามรูปแบบการปฏิบัติงานของกองทัพอากาศเมียนมา
และอากาศยานลำนี้ได้เปลี่ยนเส้นทางการบินกลับเข้าสู่พื้นที่ภายในของเมียนมา
ก่อนเข้าสู่พื้นที่ชายแดนของไทยและเมียนมา
แม้จะยังไม่มีการระบุฝ่ายและแบบของอากาศยานที่มุ่งหน้ามายังเขตชายแดนไทยในครั้งนี้
แต่จากข้อมูลเบื้องต้นที่มีการเปิดเผยออกมาถึงระดับเพดานบินที่อากาศยานลำนี้ใช้คือ
ระหว่าง4-5000ฟุต ทำให้สามารถประเมินได้ว่าอากาศยานแบบนี้คือ UCAVขนาดกลาง
หรือ MALE UAV
โดย Defence Info คาดว่านี้จะเป็นการออกบินปฏิบัติงานของ UCAV แบบ CH-4
เรนโบว์ ที่กองทัพอากาศเมียนมามีใช้งานในประจำการ
โดยจัดหามาจากสาธารณะรัฐประชาชนจีน
และมีการเปิดสายการผลิตในประเทศ
กองทัพอากาศพม่าได้เพิ่มการปฏิบัติงานด้วยอากาศยานไร้นักบินขนาดใหญ่มากขึ้น
จากสถานการณ์การสู้รบกับฝ่ายต่อต้านภายในประเทศที่เพิ่มความรุนแรงมากขี้น
กองทัพเมียนมาได้ใช้กำลังทางอากาศเป็นกำลังรบหลักในการเข้าโจมตีเป้าหมายต่างๆในทุกแนวรบสำคัญ
เนื่องจากมีอำนาจการทำลายที่สูงกว่า
และกองกำลังทางบกของทางกองทัพมีความเสียเปรียบฝ่ายต่อต้านจากสภาพภูมิประเทศ
และการส่งกำลังสนับสนุนทางบก
กองยานโดรนจึงถูกนำเข้ามาเสริมการปฏิบัติงานของเครื่องบินรบหลักอย่าง MiG-29
และYak-130 ที่มีจำนวนจำกัด
และต้องทำการซ่อมบำรุงจากการปฏิบัติภารกิจมาอย่างต่อเนื่อง
โดยกองทัพอากาศเมียนมาได้เริ่มจัดหายานโดรนโจมตีขนาเล็กแบบCH-3 จากจีน
ก่อนที่จัดจัดหารุ่นCH-4Bที่มีขนาดใหญ่กว่า
และนำออกใช้งานโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินเสริมการปฏิบัติงานของเครื่องบินรบหลักมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้
CH-4 เป็นโดรนขนาดกลางทางการทหารของจีน ผลิตโดยบริษัทCASC
เข้าประจำการในกองทัพอากาศจีน ตั้งแต่ปีพ.ศ.
2557ที่ได้รับความนิยมจากกองทัพประเทศต่างๆจัดหามาประจำการ เฉพาะในอาเซี่ยน
นอกเหนือไปจากเมียนมา กองทัพอากาศอินโดนีเซียก็มีCH-4B
อยู่ในประจำการด้วยเช่นกัน
นอกเหนือไปจากการติดตั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์เพื่อการบินลาดตระเวนหาข่าว
CH-4ยังมีตำแหน่งติดตั้งอาวุธได้อีก6จุดที่ใต้ปีก
ที่สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งจรวดนำวิถีและระเบิดขนาดเล็ก
ลักษณะภายนอกของCH-4จะคล้ายคลึงกับ โดรน MQ-9 รีปเปอร์
ของเจเนอรัลอะตอมมิค
ด้วยขนาดปีกกาง20เมตร ความยาวลำตัว 11 เมตร จึงทำให้ยานMALE
UAVรุ่นนี้มีขนาดมิติที่ใหญ่เพียงพอที่จะถูกตรวจจับด้วยระบบตรวจการณ์ของกองทัพอากาศไทยได้
และจากการเปิดเผยของกระทรวงกลาโหมที่ระบุว่าสัญญาณที่ตรวจจับได้มีการขาดหายเป็นห้วงๆ
อันสอดคล้องกับคุณลักษณะของยานโดรนที่ยากต่อการตรวจจับ
สอดคล้องกับสถานการณ์การรบภาคพื้นดินระหว่างกองทัพรัฐบาลเมียนมา
กับฝ่ายต่อต้านที่มีการสู้รบกันอย่างรุนแรงในพื้นที่บริเวณนั้น
เรายังไม่ทราบเหตุผลในการไม่เปิดสัญญาณแสดงตนของยานโดรนจากเมียนมา
ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งความผิดพลาดทางเทคนิค
และหรือมีเจตนาทางการทหารในการบินภารกิจการหาข่าวกรองทางการทหารของกองทัพเมียมา
การส่งเครื่องบินรบขึ้นสกัดกั้นจึงเป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจนของฝ่ายไทยในการปฏิบัติตามขั้นตอนอยางชัดเจน
เพื่อให้ทางฝ่ายที่ควบคุมยานโดรนลำนี้รับรู้สถานการณ์
และนำอากาศยานฝ่ายตนกลับเข้าสู้เส้นทางการบินที่ไม่แสดงท่าทีคุกคามต่อฝ่ายไทย
ภารกิจของเครื่องบินรบแบบF-16 ในครั้งนี้
จึงอาจเป็นภารกิจครั้งแรกในประวัติศาสตร์
สำหรับการเข้าสกัดกั้นอากาศยานไร้นักบินของกองทัพอากาศไทย
การบินขึ้นสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่ายโดยเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๙ F-16AM EMLU
ฝูงบิน๔๐๓ กองบิน๔ ตาคลี จำนวน ๒เครื่องบริเวณชายแดนไทย-พม่า จังหวัดตาก
เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗ ได้รับการเปิดเผยโดย พลตรี ธนาธิป สว่างแสง
โฆษกกระทรวงกลาโหม
ตามมาว่าอาจจะเป็นอากาศยานไร้คนขับเพดานบินปานกลางระยะทำการนาน MALE UAV
เช่นอากาศยานรบไร้คนขับ CH-4B UCAV ที่สร้างโดยจีน(
https://aagth1.blogspot.com/2021/04/ar-2-ch-4-uav.html )
ก่อนหน้านี้กองทัพอากาศพม่าได้ใช้อากาศยานรบไร้คนขับ CH-4B UCAV
ที่จัดหาจากจีนต่อจากอากาศยานไร้คนขับ CH-3A(
https://aagth1.blogspot.com/2021/04/ch-3a-uav.html ) โจมตีกองบัญชาการของกองกำลังกระเหรี่ยง KNU(Karen National Liberation Army,
Karen National Union) ที่ฐานอูเกรทะ ตรงข้ามอำเภอพบพระ จังหวัดตาก
ซึ่งนั้นทำให้เกิดข้อสังเกตว่าปกติกองทัพพม่าจะแจ้งทางฝ่ายไทยก่อนว่าจะส่งอากาศยานของตนขึ้นบินบริเวณแนวชายแดน(หรือถ้าพม่าบอกทางไทย
กะเหรี่ยงก็จะรู้ตัวว่ากำลังจะถูก drone พม่าโจมตีหรือ?)
แต่ UAV ดังกล่าวไม่ได้ทำการเปิดระบบแสดงตัวตน transponder
และมีการสื่อสารใดๆทั้งสิ้นจึงต้องมีการประกาศ Code Red Scramble
และได้หลบหลีกจากการพิสูจน์ทราบด้วยสายตาของ บ.ข.๑๙ F-16AM
สองเครื่องของกองทัพอากาศไทยข้ามพื้นที่ใกล้น่านฟ้าไทยไป เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่ากองทัพอากาศไทยทำภารกิจการบินสกัดกั้นต่ออากาศยานไร้คนขับ
UAV
ที่อาจจะเป็นได้ทั้งของกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์
หรือกองกำลังต่างชาติที่ไม่ทราบฝ่ายครับ
Royal Thai Army (RTA) held Army Unmanned Aircraft System (UAS) and
Counter-Unmanned Aircraft System (C-UAS) exhibition Fiscal Year 2025 with
attended by Commander-in-Chief of the Royal Thai Army General Pana
Klaewblaudtuk at 1st floor, Royal Thai Army Convention Center (Rama 9) on
24 December 2024. (Royal Thai Army)
VIDEO
วันที่ 24 ธ.ค. 67 : พล.ต. ระวี ตั้งพิทักษ์กุล ผอ.สวพ.ทบ.
นำกำลังพลเข้าชมนิทรรศการอากาศยานไร้คนขับ
เพื่อศึกษาข้อมูลและเพิ่มพูนความรู้ด้านเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับและระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ
ณ บริเวณชั้น 1 หอประชุมกองทัพบก (พระราม 9)
โดยในการนี้ สวพ.ทบ. ได้ร่วมจัดนิทรรศการผลงานวิจัยและพัฒนา
ในหัวข้อระบบต่อต้านอากาศไร้คนขับ (C-UAS) ที่ ทบ.
ร่วมวิจัยกับสถาบันการศึกษาภายนอก, ระบบเฝ้าตรวจ, ระบบต่อต้าน,
และงานวิจัยในอนาคต
การจัดนิทรรศการ ประกอบด้วยผลงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร
รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ทางทหารที่เกี่ยวข้องกับอากาศยานไร้คนขับ (UAV)
และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (C-UAS) ของกองทัพบก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
ได้แก่
กลุ่มที่ 1 การจัดนิทรรศการในด้านหลักการและแนวทางการใช้ UAV
ของกองทัพบก
กลุ่มที่ 2 การจัดแสดงการพัฒนา UAV
ในรูปแบบผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ทางทหาร
กลุ่มที่ 3 การจัดแสดงระบบ C-UAS ที่กองทัพบกมีประจำการ
นำกองทัพสู่ความทันสมัย ฝึกให้พร้อมต่อทุกภัยคุกคาม สมรรถนะกำลังรบ
กองทัพบกไทย ระบบอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aircraft System : UAS)
และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Counter-Unmanned Aircraft System :
C-UAS)
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.67 กองทัพบกมีการจัดแสดงนิทรรศการระบบอากาศยานไร้คนขับ
(Unmanned Aircraft System : UAS) และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ
(Counter-Unmanned Aircraft System : C-UAS) ประจำปีงบประมาณ 2568
ของกองทัพบก โดยมี พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. และคณะผู้บังคับหน่วยฯ
นขต.ทบ. เข้าเยี่ยมชมในนิทรรศการ
มีหน่วยต่างๆ ของกองทัพบกได้นำ UAS และ C-UAS มาร่วมจัดแสดงจำนวน 14 หน่วย
โดยจำแนกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
> กลุ่มที่ 1 : หลักการและการใช้ UAS จำนวน 5 หน่วย ประกอบด้วย
ศูนย์การบินทหารบก, กองพลทหารปืนใหญ่, กองพันบินที่ 21,
หน่วยข่าวกรองทางทหาร, และ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
> กลุ่มที่ 2 : การพัฒนาวิจัยและผลพบใช้ UAS ในภารกิจทางทหาร จำนวน 8
หน่วย ประกอบด้วย สำนักงานวิจัยและพัฒนาทางทหาร ทบ., ศูนย์การทหารราบ,
ศูนย์สงครามพิเศษ, กกล.สุรสีห์, กกล.สุรนารี, กกล.นเรศวร (ฉก.ราชมนู),
กรมสรรพาวุธทหารบก, และ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
> กลุ่มที่ 3 : ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Counter-Unmanned
Aircraft System : C-UAS) จำนวน 1 หน่วย โดย
หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ
บรรยากาศของการจัดนิทรรศการเต็มไปด้วยความคึกคัก มีการแลกเปลี่ยนแนวคิด
การประยุกต์ใช้ และแนวทางในการต่อยอดพัฒนาการใช้ UAS และ C-UAS
ระหว่างหน่วยใช้ และหน่วยสายวิทยาการ รวมทั้งได้รับแนวทางนโยบายจาก ผบ.ทบ.
และ คณะผู้บังคับบัญชาในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ทดลอง
อย่างเป็นระบบ
ผบ.ทบ. ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณทุกหน่วย
ที่มีการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมาปรับใช้กับภารกิจทางทหาร
เพื่อความพร้อมรบ และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่า
กองทัพมีความพร้อมต่อทุกภัยคุกคาม
สานอุดมการณ์จิตวิญญาณทหารอาชีพอย่างแท้จริง
แอดมินจะทยอยนำข้อมูลที่น่าสนใจในนิทรรศการ ระบบอากาศยานไร้คนขับ
(Unmanned Aircraft System : UAS) และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ
(Counter-Unmanned Aircraft System : C-UAS) ของกองทัพบก
มาเล่าให้ฟังนะครับ
กองทัพบกไทยจัดนิทรรศการระบบอากาศยานไร้คนขับ(UAS: Unmanned Aircraft System)
และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ(C-UAS: Counter-Unmanned Aircraft System)
ของกองทัพบกไทย ณ หอประชุมกองทัพบก พระราม๙ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗
จะได้เห็นการนำเสนอระบบ UAS และระบบ C-UAS
หลากหลายรูปแบบทั้งงานวิจัยพัฒนาของหน่วยงานของกองทัพบกไทยและกระทรวงกลาโหม
เช่น สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก สวพ.ทบ.(ARDO: Army Research
and Development Office), กรมสรรพาวุธทหารบก สพ.ทบ.(Ordnance Department),
หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ นปอ.(Army Air Defense Command),
ศูนย์การทหารราบ ศร.(Infantry Center), ศูนย์สงครามพิเศษ ศสพ.(Special
Warfare), กองกำลังชายแดนต่างๆ และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สปท.
DTI(Defence Technology Institute)
จนถึงหน่วยผู้ใช้งานเช่น ศูนย์การบินทหารบก ศบบ.(AAC: Army Aviation Center),
กองพลทหารปืนใหญ่(Artillery Division), หน่วยข่าวกรองทางทหาร ขกท..ทบ.(Army
Military Intelligence Command) และกรมทหารราบที่๓๑ รักษาพระองค์ ร.๓๑
รอ.(31st Infantry Regiment, King Guard)
รวมถึงภาคเอกชนต่างๆในไทยซึ่งกองทัพบกไทยให้การสนับสนุนและร่วมมือในการศึกษาและนำมาใช้เพื่อตอบสนองต่อวิวัฒนาการของสงครามยุคใหม่ที่กำลังเผชิญในปัจจุบันและอนาคตครับ