วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568

บราซิลทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำเรือดำน้ำชั้น Riachuelo ลำที่สี่และลำสุดท้าย S43 Almirante Karam

Brazil reaches submarine programme milestones



The christening and launching ceremony of the fourth and final Riachuelo-class submarine, S Almirante Karam. (Brazilian Navy)




S Tonelero was recently commissioned. (Brazilian Navy)



โครงการพัฒนาเรือดำน้ำ PROSUB(Submarine Development Program, Programa de Desenvolvimento de Submarinos) ของกองทัพเรือบราซิล(Brazilian Navy, Marinha do Brasil) ได้เข้าสู่เหตุการณ์สำคัญเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2025
ด้วยพิธีขึ้นระวางประจำการเรือดำน้ำโจมตีดีเซล-ไฟฟ้า(SSK) ชั้น Riachuelo ลำที่สาม เรือดำน้ำ S42 S Tonelero และพิธีตั้งชื่อเรือและปล่อยเรือลงน้ำของเรือดำน้ำชั้น Riachuelo ลำที่สี่และลำสุดท้าย เรือดำน้ำ S43 S Almirante Karam 

เรือดำน้ำ S43 S Almirante Karam มีกำหนดที่จะถูกขึ้นระวางประจำการในปี 2026 โฆษกของกรมพัฒนาทางนิวเคลียร์และเทคโนโลยีทหารเรือ(Navy General Directorate of Nuclear and Technological Development, DGDNTM) 
กองทัพเรือบราซิลกล่าวกับ Janes เรือดำน้ำ S42 S Tonelero ได้เข้าประจำการในกองเรือดำน้ำโครงการ S-BR ของกองบัญชาการกองเรือดำน้ำ(Submarines Force Command) กองทัพเรือบราซิล(https://aagth1.blogspot.com/2024/04/riachuelo-s42-tonelero.html)

ร่วมกับเรือดำน้ำชั้น Riachuelo ลำแรก เรือดำน้ำ S40 S Riachuelo ซึ่งถูกทำพิธีขึ้นระวางประจำการในเดือนกันยายน 2022(https://aagth1.blogspot.com/2020/12/naval-group-riachuelo.html),
และเรือดำน้ำชั้น Riachuelo ลำที่สอง เรือดำน้ำ S41 S Humaitá ถูกทำพิธีขึ้นระวางประจำการในเดือนมกราคม 2024(https://aagth1.blogspot.com/2024/01/riachuelo-s41-humaita.html) ตามลำดับ

เรือดำน้ำชั้น Riachuelo มีพื้นฐานจากแบบเรือดำน้ำ Scorpène ของบริษัท Naval Group ฝรั่งเศสได้ถูกสร้างโดยอู่เรือบริษัท Itaguaí Construções Navais(ICN) บราซิล(จัดตั้งโดย Naval Group ฝรั่งเศสและบริษัท Odebrecht Engenharia e Construção บราซิล)
และถูกวางกำลังจากฐานทัพเรือดำน้ำ Ilha da Madeira ซึ่งทั้งสองสถานที่ตั้งอยู่ในศูนย์อุตสาหกรรมทางเรือ Itaguaí Naval Complex(https://aagth1.blogspot.com/2020/12/scorpene-s41-humaita.html)

ด้วยความยาวตัวเรือที่ 71.6m และระวางขับน้ำที่ผิวน้ำที่ 1,870tonnes สำหรับการปฏิบัติการอย่างอิสระด้วยตนเองเป็นเวลา 70วัน เรือดำน้ำชั้น Riachuelo โครงการเรือดำน้ำ S-BR ของบราซิล
มีขนาดที่ใหญ่กว่าเรือดำน้ำชั้น Scorpène ที่ส่งออกให้แก่ชิลี, อินเดีย(https://aagth1.blogspot.com/2023/07/kalvari-3.html), และมาเลเซีย(https://aagth1.blogspot.com/2025/08/scorpene-torpedo.html)

บราซิลเลือกที่จะขยายตัวเรือของแบบเรือดำน้ำชั้น Scorpène เพื่อมอบการเพิ่มความจุการจัดเก็บสำหรับเชื้อเพลิง, เสบียงอาหาร, และสิ่งปัจจัยต่างๆ ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มระยะเวลาปฏิบัติการที่เป็นความต้องการสำคัญเมื่อพิจารณาถึงน่านน้ำอาณาเขตของบราซิล
เรือดำน้ำชั้น Riachuelo สามารถรองรับกำลังพลประจำเรือจำนวน 35นาย รวมนายทหาร 6นาย และสามารถดำได้ลึกสุดถึง 350m มีท่อยิง Torpedo ขนาด 533mm หกท่อยิง สามารถทำการยิง Torpedo หนักแบบ F21 และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำยิงจากเรือดำน้ำใต้น้ำ MBDA Exocet SM39 Block 2 Mod 2 ได้ครับ

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กองทัพอากาศไทยลงนามสัญญากับ IAI อิสราเอลสำหรับการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX

Royal Thai Air Force signs Barak MX contract with IAI





A Barak LR interceptor is shown being launched from the Barak MX launcher. (Israel Aerospace Industries)



กองทัพอากาศไทย(RTAF: Royal Thai Air Force) ได้ประกาศสัญญากับบริษัท Israel Aerospace Industries(IAI) อิสราเอลเพื่อจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศและอาวุธปล่อยนำวิถีแบบ Barak MX ของบริษัท
Boaz Levy ประธานและผู้อำนวยการบริหารของบริษัท IAI อิสราเอลกล่าวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ว่าสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างจะส่งมอบให้แก่กองทัพอากาศไทยด้วย

"ขีดความสามารถการป้องกันภัยทางอากาศพิสัยกลาง(แบบแรกของกองทัพอากาศไทย) การเสนอการป้องกันที่ครอบคลุมทั้งภัยคุกคามจากขีปนาวุธและภัยคุกคามทางอากาศต่างๆ
ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX ได้ถูกเลือกหลังจากประสบความสำเร็จที่ตรงต่อและเกินกว่าข้อกำหนดความต้องการที่เข้มงวดของกองทัพอากาศไทย" Levy เสริม

เพื่อที่จะสนับสนุนการปฏิบัติการระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX ของกองทัพอากาศไทย IAI อิสราเอลกล่าวว่าตนยังจะมีความเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด(TAI: Thai Aviation Industries) ไทย
ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านอุตสาหกรรมการบินของไทยซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพอากาศไทย เพื่อมอบการสนับสนุนและการซ่อมบำรุงและการดำเนินการ "งานเพิ่มเติมอื่นๆ" ภายในประเทศไทย

การประกาศการลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้ามีขึ้นตามหลังที่กรมส่งกำลังบำรุงทหารอากาศ(DoL: Directorate of Logistics) กองทัพอากาศไทย เผยแพร่เอกสารประกาศแจ้งเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๘ ว่า
กองทัพอากาศไทยได้เลือกระบบ Barak MX สำหรับความต้องการโครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ(IADS: Integrated Air Defence System) เพื่อเพิ่มขยายการป้องกันฐานที่ตั้งและทรัพยากรต่างๆของกองทัพอากาศไทย

เอกสารประกาศแจ้งยังกล่าวว่ากองทัพอากาศไทยมีแผนที่จะจัดซื้อระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX ระยะที่๑ จำนวน ๑ระบบชุดยิง(battery) เป็นวงเงิน ๓,๔๔๐,๓๗๐,๐๐๐บาท($107 million)
ในความต้องการระบบป้องกันภัยทางอากาศพิสัยกลาง(MRAD: Medium Air Defence System) สำหรับกรมต่อสู้อากาศยาน(Anti-Aircraft Regiment) หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน(SFC: Security Force Command) ของตน(https://aagth1.blogspot.com/2025/12/barak-mx.html

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX มีคุณลักษณะตัวทำลาย(effector) อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ(SAM: Surface-to-Air Missile) ตามหลักการสามแบบ อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Barak MR(Medium Range) ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ 35km, 
อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Barak LR(Long Range) ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ 70km, และอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Barak ER(Extended Range) ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ 150km ตามข้อมูลจากบริษัท IAI 

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX ประกอบรวมด้วยหน่วยบัญชาการและควบคุม(C2: Command-and-Control), radar พหุภารกิจ(MMR: Multimission Radar) ของ IAI อิสราเอล, แท่นยิงพร้อมอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ, 
รถบรรจุอาวุธปล่อยนำวิถีใหม่, และรถสนับสนุนการส่งกำลังบำรุง องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ถูกติดตั้งบนระบบที่มีความคล่องแคล่วการเคลื่อนที่สูงที่ทำให้สามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็วครับ(https://aagth1.blogspot.com/2024/09/barak-mx.html)

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

เครื่องบินขับไล่ F-35A ทดสอบภาคพื้นดินการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Meteor

Partners record successful ground integration trials of F-35A and Meteor missile





One of the F-35A's two internal weapons bays seen loaded with a pair of Meteor missiles during ground-based fit and functions testing. (Joint Program Office)

บริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯ, บริษัท MBDA ยุโรป, และสำนักงานโครงการร่วม F-35(F-35 JPO: Joint Program Office) ล่าสุดได้เสร็จสิ้นชุดการทดสอบการบูรณาการภาคพื้นดินที่สำคัญ
กับเครื่องบินขับไล่ F-35A Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) และอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยยิงนอกระยะสายตา(BVRAAM: Beyond-Visual-Range Air-to-Air Missile) แบบ Meteor

ถูกประกาศเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2025 โดยได้รับการดำเนินการ ณ ฐานทัพอากาศ Edwards Air Force Base(AFB) กองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ในมลรัฐ California
การทดสอบการสั่นภาคพื้นดินและการตรวจสอบความพอดีห้องเก็บอาวุธภายในลำตัวยืนยันการตอบสนองสิ่งอุปกรณ์หลักระหว่างเครื่องบินขับไล่ F-35A และอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Meteor 

อธิบายโดย F-35 JPO ในฐานะ "ก้าวย่างสำคัญก่อนเริ่มต้นการทดสอบภาคอากาศ" ตามที่เน้นในการประกาศ หนึ่งการทดสอบภาคพื้นดินยังคงมีอยู่ก่อนที่จะมีการอนุมัติให้ผ่านไปสู่การเริ่มต้นการทดสอบทางการบิน
อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Meteor ได้รับการบูรณาการเข้ากับเครื่องบินขับไล่ F-35 ในฐานะส่วนหนึ่งของการปรับปรุงมาตฐาน Block 4 ซึ่งควรจะพร้อมปฏิบัติการในต้นปี 2030s

อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยยิงนอกระยะสายตา Meteor BVRAAM ถูกอธิบายโดยเจ้าหน้าที่ในภาคอุตสาหกรรมและทางทหารว่าเป็นการมอบก้าวย่างการเปลี่ยนแปลงในขีดความสามารถการรบอากาศสู่อากาศ
ด้วยความเร็วมากกว่า Mach 4 และระยะยิงที่เกิน 100km อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Meteor ติดตั้งระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ramjet ซึ่งหมายความว่าลูกจรวดจะมีกำลังขับไปจนถึงจุดปะทะเป้าหมาย

ขณะที่อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศแบบอื่นๆที่มีความคล้ายคลึงกันมีระยะการขับดันเครื่องยนต์จรวดระยะสั้นหลังการยิง หลังจากนั้นจรวดจะร่อนเข้าหาเป้าหมายขณะที่สูญเสียพลังงานไปเรื่อยๆ
ในเครื่องบินขับไล่ F-35A อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Meteor จะได้รับการติดตั้งใช้งานโดยเยอรมนี(https://aagth1.blogspot.com/2024/06/mbda-meteor-f-35a.html) และอิตาลี(https://aagth1.blogspot.com/2025/03/f-35b-meteor.html)

สหราชอาณาจักรล่าสุดได้เปิดเผยว่าตนกำลังจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-35A(https://aagth1.blogspot.com/2025/06/f-35a-12.html) และขณะที่ไม่มีระบบอาวุธอื่นถูกยกขึ้นมานอกเหนือจากระเบิดนิวเคลียร์ B61 สำหรับภารกิจแบ่งปันการป้องปรามทางนิวเคลียร์ NATO
น่าจะเป็นไปได้มากว่าเครื่องบินขับไล่ F-35A และเครื่องบินขับไล่ F-35B ของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร(RAF: Royal Air Force) จะติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Meteor ด้วย ตามที่มีการสั่งจัดหาเครื่องบินเพิ่มเติมครับ(https://aagth1.blogspot.com/2025/05/f-35b.html)

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ออสเตรียลงนามจัดหาเครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA อิตาลี 12เครื่อง

Austria finalises M-346 deal with Italy





The Leonardo M-346FA with weapons was showcased at the Farnborough International Airshow 2024. (Getty Images/Jonh Keeble)

ออสเตรียได้บรรลุผลข้อตกลงกับอิตาลีในการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่นขั้นก้าวหน้า Leonardo M-346FA(Fighter Attack) จำนวน 12เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2025/01/m-346fa-12.html)
โฆษกของกระทรวงกลาโหมออสเตรีย Michael Bauer ยืนยันเหตุการณ์สำคัญนี้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2025 โดยกล่าวว่า ข้อตกลงวงเงิน 1.5 billion Euros($1.7 billion) สำหรับเครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA จำนวน 12เครื่อง

เพื่อทดแทนเครื่องบินฝึกไอพ่น Saab 105 ของกองทัพอากาศออสเตรีย(Austrian Air Force, OL: Österreichische Luftstreitkräfte) ได้ถูกลงนามแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2020/07/typhoon-saab-105.html)
รวมถึงระบบอาวุธต่างๆ, การดำรงสภาพ, และการฝึก โดยเครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA มีราคาต่อเครื่องที่เครื่องละ 80 million Euros ชุดข้อตกลงยังรวมการชดเชย(offset) ทางอุตสาหกรรมต่างๆวงเงิน 400 million Euros ด้วย

ข่าวการเสร็จสิ้นข้อตกลงมีขึ้นให้หลังหกเดือนหลังจากที่ออสเตรียและอิตาลีทั้งสองประเทศได้เห็นชอบในเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งยังรวมตัวเลือกสำหรับเครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA เพิ่มเติมอีก 12เครื่อง
ตามเอกสารของกรมการสรรพาวุธทางอากาศและความสมควรเดินอากาศอิตาลี(Italian Air Armaments and Airworthiness Directorate) ที่ถูกเผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม 2025

เครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA ชุดแรกจำนวน 12เครื่องที่ได้รับการทำสัญญาจัดหา จะมีจำนวน 8เครื่องที่ได้รับการติดสิ่งอุปกรณ์ภารกิจสำหรับภารกิจการโจมตีเบาโดยที่เหลือจำนวน 4เครื่องจะถูกทำหน้าที่ในฐานะเครื่องบินฝึก 
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการแบ่งรูปแบบภารกิจของเครื่องเช่นนี้จะถูกนำมาใช้สำหรับเครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA ที่เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมจำนวน 12เครื่องด้วยหรือไม่

ตามการเน้นโดยโฆษกกระทรวงกลาโหมออสเตรีย Bauer เครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA จะติดตั้งระบบอาวุธด้วยปืนใหญ่อากาศขนาด 20mm, จรวดอากาศสู่พื้นนำวิถีและไม่นำวิถีขนาด 70mm,
อาวุธพิสัยใกล้ต่างๆ, และเป็นไปได้สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีด้วย radar พิสัยไกล เขาไม่ได้ระบุว่าอาวุธปล่อยนำวิถีต่างๆเหล่านี้จะเป็นสำหรับภารกิจอากาศสู่อากาศหรืออากาศสู่พื้นหรือไม่

ข้อตกลงเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟู 2032(Reconstruction Plan 2032) ของออสเตรีย โดยการส่งมอบเครื่องบินโจมตีเบาและฝึกไอพ่น M-346FA มีกำหนดที่จะมีการดำเนินการตั้งแต่ปี 2027
เมื่อเข้าประจำการ M-346FA จะมีฐานที่ตั้งร่วมกับเครื่องบินขับไล่ Eurofighter Typhoon จำนวน 15เครื่องของกองทัพอากาศออสเตรีย ณ ฐานทัพอากาศ Zeltweg เป็นเวลา 1ปี 6เดือนเพื่อช่วยลดการลดขีดความสามารถลงครับ(https://aagth1.blogspot.com/2022/10/f-35-eurofighter-typhoon.html)

สเปนอนุมัติการปรับปรุงความทันสมัยเรือฟริเกตชั้น F100

Spanish government approves modernisation of F-100-class frigates





Spanish Navy Álvaro de Bazán (F-100)-class frigates Álvaro de Bazán (F 101), Almirante Juan de Borbón (F 102), Blas de Lezo (F 103), Méndez Núñez (F 104), and Cristóbal Colón (F 105). The modernisation of the class is expected to extend their service lives to 2045. (US Navy)

รัฐบาลสเปนได้อนุมัติแผนที่จะปรับปรุงความทันสมัยเรือฟริเกตชั้น F100 Álvaro de Bazán ทั้ง 5ลำของกองทัพเรือสเปน(Spanish Navy, Armada Española) คณะรัฐมนตรีสเปนประกาศเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025
การปรับปรุงความทันสมัยจะมีระยะเวลาดำเนินการ 10ปี และจะยืดอายุการใช้งานของเรือฟริเกตชั้น F100 Álvaro de Bazán ไปจนถึงปี 2045(https://aagth1.blogspot.com/2025/09/blog-post.html)

งานการปรับปรุงความทันสมัยมีมูลค่าที่วงเงินประมาณ 3.2 billion Euros($3.7 billion) ในการประกาศแยกต่างหากให้หลังเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2025 บริษัท Navantia สเปนกล่าวว่าตนจะปรับปรุงความทันสมัยเรือฟริเกตชั้น F100 ณ อู่เรือ Ferrol ของตน
เรือฟริเกตชั้น F100 Álvaro de Bazán จำนวน 5ลำปัจจุบันอยู่ในครึ่งทางของอายุการใช้งานของเรือที่วางแผนไว้ เรือฟริเกตชั้น F100 ได้เข้าประจำการในกองทัพเรือสเปนระหว่างปี 2002-2012 ประกอบด้วย

ลำแรกเรือฟริเกต F101 Álvaro de Bazán เข้าประจำการในปี 2002, ลำที่สองเรือฟริเกต F102 Almirante Juan de Borbón เข้าประจำการในปี 2003, ลำที่สามเรือฟริเกต F103 Blas de Lezo เข้าประจำการในปี 2004,
ลำที่สี่เรือฟริเกต F104 Méndez Núñez เข้าประจำการในปี 2006, ลำที่ห้าและลำสุดท้ายเรือฟริเกต F105 Cristóbal Colón เข้าประจำการในปี 2012(https://aagth1.blogspot.com/2025/07/blog-post.html)

สเปนยังส่งออกเรือฟริเกตชั้น F100 แก่กองทัพเรือออสเตรเลีย(RAN: Royal Australian Navy) ในชื่อเรือพิฆาตชั้น Hobart จำนวน 3ลำคือ เรือพิฆาต DDG39 HMAS Hobart เข้าประจำการในปี 2017, 
เรือพิฆาต DDG41 HMAS Brisbane เข้าประจำการในปี 2018, และเรือพิฆาต DDG42 HMAS Sydney เข้าประจำการในปี 2020(https://aagth1.blogspot.com/2024/12/hobart-ddg41-hmas-brisbane-tomahawk.html)

เรือฟริเกตชั้น F100 Álvaro de Bazán มีระวางขับน้ำที่ 6,250 tonnes, มีความยาวเรือที่ 146.7m และมีความเร็วสูงสุดที่ 28knots ติดตั้งระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซล 2เครื่องและ gas-turbine 2เครื่องรูปแบบ CODOG(Combined Diesel or Gas)
การปรับปรุงความทันสมัยของเรือฟริเกตชั้น F100 คาดว่าจะเพิ่มคุณสมบัติร่วม(commonality) กันกับเรือฟริเกตชั้น F110 Bonifaz ในอนาคตของกองทัพเรือสเปน(https://aagth1.blogspot.com/2025/09/navantia-f110-f111-bonifaz.html)

ในเดือนธันวาคม 2023 บริษัท Kongsberg นอร์เวย์ได้รับการประกาศสัญญาที่ทดแทนอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นต่อต้านเรือผิวน้ำ Boeing RGM-84 Harpoon ของกองทัพเรือสเปนด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น Naval Strike Missile(NSM) ของบริษัท
เป็นที่คาดว่าอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นต่อต้านเรือผิวน้ำ NSM Block 1A จะถูกนำมาติดตั้งกับเรือฟริเกตชั้น F100 ระหว่างการปรับปรุงความทันสมัย(https://aagth1.blogspot.com/2022/04/nsm.html)

การเปลี่ยนแปลงอื่นๆน่าจะรวมถึงการบูรณาการอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Standard Missile-2(SM-2) Block IIIA/B/C และการปรับปรุงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ RIM-162 ESSM(Evolved SeaSparrow Missile) ไปสู่มาตรฐาน ESSM Block II
อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น NSM, อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ SM-2 และ ESSM Block II ทั้งหมดมีแผนที่จะติดตั้งกับเรือฟริเกตชั้น F110 เช่นเดียวกับเรือฟริเกตชั้น F100 ที่ยังมีคุณสมบัติติดตั้งระบบการรบ Aegis และแท่นยิงแนวดิ่ง Mk 41 VLS(Vertical Launch System) ของบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯเช่นกันครับ

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กองทัพอากาศไทยเลือกจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX อิสราเอล

Thai air force selects Barak MX


IAI displayed a model of its Barak MX missiles at the Defense & Security 2025 show in Bangkok. (My Own Photos, Defense & Security) 



A Barak MR interceptor is seen being fired from the Barak MX launcher. (Israel Aerospace Industries)

ประกาศกรมส่งกำลังบำรุงทหารอากาศ เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา ซื้อโครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ (IADS) โดยวิธีคัดเลือก
ตามที่ กรมส่งกำลังบำรุงทหารอากาศ ได้มีหนังสือเชิญชวนสำหรับซื้อตามโครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ (IADS) นั้น
การซื้อตามโครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ (IADS) ผู้ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ บริษัท ISRAEL AEROSPACE INDUSTRIES LTD.(IAI) รัฐอิสราเอล โดยเสนอราคา รวมเป็นราคาสุทธิ ๓,๔๔๐,๓๗๐,๐๐๐ บาท เป็นราคา Delivered at Place International Commercial Terms of 2020 (DAP INCOTERMS 2020) 
ณ กรมทหารต่อสู้อากาศยาน หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน หรือพื้นที่ที่กองทัพอากาศกำหนด รวมค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ไม่รวมค่าอากรศุลกากรขาเข้าประเทศไทย ไม่รวมภาษีหัก ณ ที่จ่ายร้อยละ ๑ ตามอนุสัญญาภาษีซ้อน และไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗ ยกเว้น ค่าติดตั้ง การฝึกอบรมบริการทางเทคนิค และการถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เป็นราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๘

กองทัพอากาศไทย(RTAF: Royal Thai Air Force) ได้เลือกระบบป้องกันภัยทางอากาศและอาวุธปล่อยนำวิถีแบบ Barak MX ของบริษัท Israel Aerospace Industries(IAI) อิสราเอล(https://aagth1.blogspot.com/2024/09/barak-mx.html)
เพื่อให้ตรงความต้องการโครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ(IADS: Integrated Air Defence System) เพื่อเพิ่มขยายการป้องกันฐานที่ตั้งและทรัพยากรต่างๆของกองทัพอากาศไทย

กรมส่งกำลังบำรุงทหารอากาศ(DoL: Directorate of Logistics) กองทัพอากาศไทย กล่าวในเอกสารประกาศแจ้งที่เผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ว่าแผนการจัดซื้อ
มีเนื้อหาการจัดซื้อระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX ระยะที่๑ จำนวน ๑ระบบชุดยิง(battery) และมีมูลค่าที่วงเงิน ๓,๔๔๐,๓๗๐,๐๐๐บาท($107 million) สำหรับกรมต่อสู้อากาศยาน(Anti-Aircraft Regiment) หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน(SFC: Security Force Command)

กรมส่งกำลังบำรุงทหารอากาศเสริมว่าการจัดจ้างจะเติมเต็มโครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ(IADS) ที่ร่างเค้าโครงในสมุดปกขาวของกองทัพอากาศ พ.ศ.๒๕๖๘ RTAF White Paper 2025 ที่เผยแพร่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘
สมุดปกขาว RTAF White Paper 2025 ได้เรียกร้องการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศภาคพื้นดิน(GBAD: Ground Based Air Defence) ในปี พ.ศ.๒๕๖๘-พ.ศ.๒๕๗๑(2025-2028)(https://aagth1.blogspot.com/2025/06/rtaf-white-paper-2025.html)

สำหรับการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศพิสัยกลาง(MRAD: Medium Air Defence System) จำนวน ๑ระบบที่ใช้อาวุธนำวิถีพื้นสู่อากาศ(SAM: Surface-to-Air Missile) ที่มีระยะยิงพิสัยได้ไกลไม่น้อยกว่า 30 nautical miles(หรือประมาณ 56km)
ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX ถูกเปิดตัวโดยบริษัท IAI อิสราเอลในปี พ.ศ.๒๕๖๑(2018) ตามข้อมูลจาก IAI อิสราเอล Barak MX เป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศและอาวุธปล่อยนำวิถีที่ทำงานเป็นเครือข่ายแบบ modular และปรับขนาดได้

ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX นั้นเชื่อมโยงระบบตรวจจับต่างๆ, ชุดแท่นยิง, และตัวทำลาย(effector) อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Barak เข้าสู่สถาปัตยกรรมแบบเดี่ยว ระบบเป็นการบูรณาการตัวทำลายตามหลักการสามแบบ 
อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Barak MR(Medium Range) ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ 35km, อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Barak LR(Long Range) ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ 70km, และอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Barak ER(Extended Range) ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ 150km

โครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศไทยได้เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ แต่ความต้องการได้เพิ่มขยายการให้ความสำคัญโดยสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่ตึงเครียดของไทยกับกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๘
ในการปะทะนี้กองทัพกัมพูชาได้วางกำลังระบบจรวดพื้นสู่พื้นหลายแบบที่ทำการโจมตีมายังพื้นที่ลึกเข้ามาจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงจรวดหลายลำกล้อง(MRL: Multiple Rocket Launcher) ขนาด 122mm แบบต่างๆ

เช่น จรวดหลายลำกล้องอัตตาจร BM-21 Grad ยุคอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย และจรวดหลายลำกล้องอัตตาจร RM-70 ยุคอดีตเชโกสโลวาเกีย และจรวดหลายลำกล้องอัตตาจร Type 90B จีน ซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ 40km
ระบบจรวดพื้นสู่พื้นแบบอื่นๆที่มีประจำการในกองทัพกัมพูชายังรวมถึงจรวดหลายลำกล้องอัตตาจร PHL-03 ขนาด 300mm รุ่นส่งออกของจีนซึ่งมีระยะยิงไกลสุดที่ราว 130-150km ครับ

อากาศยานรบไร้คนขับ Kızılelma UCAV ตุรกีทดสอบยิงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยยิงนอกระยะสายตา Gökdoğan

Kizilelma UCAV demonstrates BVR combat capability with Gökdogan missile





Kızılelma prototype TC-OZB5 seen carrying a pair of underwing Gökdoğan BVR missiles as it departs for an air-to-air demonstration against a jet-powered target drone on 29 November. (Baykar)





อากาศยานรบไร้คนขับ(UCAV: Unmanned Combat Aerial Vehicle) แบบ Baykar Kızılelma ของตุรกี(https://aagth1.blogspot.com/2022/11/baykar-kizilelma.html) ได้สาธิตขีดความสามารถการใช้อาวุธอากาศสู่อากาศของตน
โดยประสบความสำเร็จการยิงโจมตีเป้าหมายเป้าบินเครื่องยนต์ไอพ่นด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยยิงนอกระยะสายตา(BVR: Beyond-Visual-Range) แบบ Tübitak SAGE Gökdoğan

การทดสอบมีขึ้นใกล้กับ Sinop บนชายฝั่งทะเลดำ Black Sea ของตุรกีและดำเนินการปฏิบัติโดยอากาศยานรบไร้คนขับ Kızılelma UCAV เครื่องต้นแบบเครื่องที่ห้าหมายเลข TC-OZB5
ในสถานการณ์ทดสอบ เป้าบินเครื่องยนต์ไอพ่นความเร็วสูงถูกปล่อยออกมาและถูกตรวจจับโดย AESA(Active Electronically Scanned Array) radar แบบ Murad 100-A ของบริษัท Aselsan ตุรกีที่ติดตั้งใน Kızılelma UCAV

อากาศยานรบไร้คนขับ Kızılelma UCAV ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Gökdoğan ที่ตำบลอาวุธใต้ปีกที่ทำการยิงเข้าพุ่งชนเป้าหมายเป้าบิน อากาศยานรบไร้คนขับ Kızılelma ยังติดตั้งด้วย
เครือข่าย datalink เข้ารหัสแบบ T-Link ที่พัฒนาในตุรกี และระบบพิสูจน์ฝ่าย IFF(Identification Friend-or-Foe) แห่งชาติ ซึ่งทั้งสองระบบทำงานระหว่างการยิงโจมตี ตามข้อมูลจาก Aselsan ตุรกี

การทดสอบนี้เป็นเครื่องหมายถึงชุดการทดสอบทางโครงสร้างที่ชัดเจนต่างๆล่าสุดของการทดลองการบูรณาการระบบอาวุธอากาศสู่อากาศที่เริ่มต้นในกลางเดือนพฤศจิกายน 2025 และการขยายขีดความสามารถระบบตรวจจับและอาวุธของอากาศยานอย่างต่อเนื่อง
การทดสอบชุดแรกได้รวมการบูรณาการระบบตรวจจับ EOTS(Electro-Optical Targeting System) แบบ Toygun ของ Aselsan ตุรกี ซึ่งถูกออกแบบเพื่อขยายการหยั่งรู้สถานการณ์ 360องศาของระบบผ่านการค้นหา spectrum ช่วงกว้าง และการสร้างภาพความร้อนระยะไกล

การทดสอบนี้ตามมาด้วยการบูรณาการ AESA radar แบบ Murad 100-A และอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยยิงนอกระยะสายตา Gökdoğan โดย Murad 100-A AESA radar เป็นระบบควบคุมการยิง multifunction FCS(Fire-Control System) 
มีคุณลักษณะการกวาดทิศทางการส่งคลื่นไฟฟ้า electronic beam ที่รวดเร็วและมีขีดความสามารถในการจัดการการปฏิบัติการทางอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้นได้พร้อมกันต่อเนื่อง ก้าวสำคัญหลักต่อไปคือการบูรณาการอาวุธผสมผสานและการทดสอบสมรรถนะของ radar

โดยมีส่วนร่วมจากเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-16 ของกองทัพอากาศตุรกี(TurAF: Turkish Air Force, THK: Türk Hava Kuvvetleri) จำนวน 2เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2024/06/f-16cd-block-70-40.html)
Gökdoğan เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ BVR ความคล่องแคล่วสูงติดตั้งด้วยส่วนค้นหาเป้าหมาย active radar seeker แบบ solid-state และออกแบบเพื่อมอบขีดความสามารถยิงแล้วลืม(fire-and-forget) ด้วยตัวเลือกการปรับปรุงการบินโคจรช่วง mid-course ที่มีระยะยิงเกิน 65km ครับ

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปติดอาวุธ AW149 เครื่องแรกจาก 27เครื่องที่โปแลนด์สร้างในประเทศถูกส่งมอบแล้ว

First domestically built AW149 delivered to Polish Armed Forces





The first of 27 domestically built AW149 helicopters to add to five built in Italy was handed over to the Polish Army on 27 November. (Ministry of National Defence)



เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปติดอาวุธภาคสนาม Leonardo AW149 เครื่องแรกที่สร้างในโปแลนด์ถูกส่งมอบให้แก่กองทัพโปแลนด์(Polish Armed Forces, WP: Wojsko Polskie) แล้วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2025
รองนายกรัฐมนตรีโปแลนด์และรัฐมนตรีกลาโหมโปแลนด์ Władysław Kosiniak-Kamysz ได้ส่งมอบเฮลิคอปเตอร์ AW149 หมายเลนแพนหาง 6709 อย่างเป็นทางการแก่กองพลน้อยทหารม้าอากาศที่25(25th Air Cavalry Brigade) กองทัพบกโปแลนด์(Polish Army)

เหตุการณ์สำคัญนี้มีขึ้นตามมาเจ็ดเดือนให้หลังจากเฮลิคอปเตอร์ AW149 เครื่องแรกที่สร้างในโปแลนด์การบินขึ้นครั้งแรกของตนในเดือนเมษายน 2025 ณ โรงงานอากาศยานของบริษัท PZL-Świdnik โปแลนด์ในตะวันออกของโปแลนด์
โปแลนด์กำลังจัดหาเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปติดอาวุธภาคสนาม AW149 จำนวน 32เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2022/07/aw149.html, https://aagth1.blogspot.com/2022/06/aw149.html)

เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปติดอาวุธภาคสนาม AW149 จำนวน 27เครื่องซึ่งจะถูกสร้างในโปแลนด์จะเพิ่มเติมต่อ 5เครื่องที่สร้างโดยโรงงานอากาศยาน Vergiate ในอิตาลีของบริษัท Leonardo อิตาลี-สหราชอาณาจักร
การส่งมอบเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปติดอาวุธภาคสนาม AW149 แก่กองทัพโปแลนด์มีกำหนดการที่จะดำเนินไปจนถึงปี 2029(https://aagth1.blogspot.com/2023/11/aw149.html)

เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปติดอาวุธ AW149 ได้ผ่านการอนุมัติวำหรับการใช้ปฏิบัติการโดยกองทัพบกโปแลนด์ในเดือนมกราคม 2024(https://aagth1.blogspot.com/2024/01/aw149.html)
ทำให้กองทัพบกโปแลนด์สามารถที่จะเริ่มต้นการทดแทนเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป Mil Mi-2(NATO กำหนดรหัส 'Hoplite') และเฮลิคอปเตอร์พหุภารกิจภาคสนาม PZL-Świdnik W-3PL Głuszec บางส่วนได้

การจัดหาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดซื้อจัดจ้างเฮลิคอปเตอร์ต่างๆที่หลากหลายของโปแลนด์ที่จะยังเห็นโปแลนด์รับมอบเฮลิคอปเตอร์โจมตี Boeing AH-64E Apache Guardian จำนวน 96เครื่อง

เฮลิคอปเตอร์Leonardo AW101 Merlin จำนวน 4เครื่องสำหรับภารกิจใช้งานทางทะเล(https://aagth1.blogspot.com/2023/12/aw101-merlin.html) และจำนวน 22เครื่องสำหรับภารกิจภาตพื้นดิน
เป็นที่คาดว่าโปแลนด์จะจัดหาเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป S-70i Black Hawk 32เครื่อง แม้ในเดือนมิถุนายน 2025 มีการประกาศว่าโปแลนด์ได้เลื่อนโครงการจัดซื้อจัดจ้างนี้ออกไป(https://aagth1.blogspot.com/2025/06/s-70i-black-hawk-32.html)

ตามที่โปแลนด์กำลังประเมินความต้องการต่างๆที่หลากหลายของตนใหม่ที่เห็นได้จากการประจัญหน้า(vis-à-vis) กับสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในยูเครน โปแลนด์ยังกำลังมองที่การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ฝึกใหม่
เพื่อเข้าประจำการในกองทัพโปแลนด์ที่กำลังขยายความต้องการการปฏิบัติการของตนมากขึ้น โดยเฮลิคอปเตอร์ Airbus H145, เฮลิคอปเตอร์ Bell 505 และเฮลิคอปเตอร์ Leonardo AW109 ทั้งหมดอยู่ในการเสนอแก่โปแลนด์ครับ