แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ T-55 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ T-55 แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2568

เวียดนามแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ในพิธีสวนสนามวันชาติครบรอบ 80ปีที่ Hanoi

Special Report: Vietnam displays new military equipment in Hanoi parade







VPA T-90S, T-62M, T-55M3 and T-54/55 tanks, XCB-01 and BMP-2 IFVs, and XTC-02 APCs displayed during Vietnam's military parade in Hanoi on 2 September to mark the country's 80th National Day. (Nhac Nguyen/AFP via Getty Images)



เวียดนามได้จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารใหม่ที่พัฒนาภายในประเทศหลากหลายแบบ ณ พิธีสวนสนามครบรอบ 80ปีวันชาติเวียดนามที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2025 ในนครหลวง Hanoi
ระบบต่างๆเหล่านี้ซึ่งทั้งหมดน่าจะถูกนำเข้าประจำการในกองทัพประชาชนเวียดนาม(Vietnam People's Armed Forces, LLVTNDVN: Lực lượng Vũ trang nhân dân Việt Nam) รวมถึง

รถเกราะลำเลียงพลล้อยาง XTC-02 4x4 APC(Armoured Personnel Carrier), รถรบทหารราบสายพาน XCB-01 IFV(Infantry Fighting Vehicle), ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีป้องกันชายฝั่ง VCS-01 Truong Son 
และอาวุธนำวิถีร่อนทางยุทธวิธี(loitering munition) แบบ VU-C2 การจัดแสดงระบบอาวุธต่างที่พัฒนาในเวียดนามเหล่านี้สอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับการตั้งเป้าของเวียดนามที่ร่างเค้าโครงในสมุดปกขาวกลาโหม 2019 ของตน

สมุดปกขาวกลาโหม 2019 ของเวียดนามมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะปรับปรุงความทันสมัยของกองทัพประชาชนเวียดนาม และลดการพึ่งพาแหล่งจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์รายต่างๆจากต่างประเทศ
ผู้ผลิตและจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารดั้งเดิมของเวียดนามคือรัสเซีย(https://aagth1.blogspot.com/2020/06/blog-post.html, https://aagth1.blogspot.com/2019/01/t-90s.html)

ในงานสวนสนามกองทัพบกประชาชนเวียดนาม(VPA: Vietnam People's Army, Quân đội nhân dân Việt Nam) ได้เปิดตัวรถเกราะลำเลียงพลล้อยาง XTC-02 4x4 APC ของตน
ที่ถูกพัฒนาและสร้างโดยกรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ(GDDI: General Department of Defence Industry, TCCNQP: Tổng cục Công nghiệp Quốc phòng) ของกระทรวงกลาโหมเวียดนาม

Vietnam.vn ฝ่ายข้อมูลสารสนเทศของรัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกล่าวว่า รถเกราะลำเลียงพลล้อยาง XTC-02 มีความยาว 7.2m กว้าง 2.7m และสูง 2.2m 
ติดตั้งอาวุธปืนกลหนักต่อสู้อากาศยานขนาด 12.7mm และปืนกลขนาด 7.62mm มีความเร็วสูงสุดบนพื้นดินที่ 95 km/h, ในน้ำที่ 12km/h และมีระยะปฏิบัติการที่ 800km Vietnam.vn เวียดนามกล่าว

รถรบทหารราบสายพาน XCB-01 IFV ถูกเปิดตัวในงานแสดง Vietnam International Defence Expo(VIDEX) 2024 ที่จัดขึ้นในนครหลวง Hanoi ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2024 สร้างโดยโรงงาน Z189 ของ GDDI เวียดนาม
และมีพื้นฐานจากรถรบทหารราบสายพาน BMP-1 IFV ยุคอดีตสหภาพโซเวียด ติดตั้งปืนใหญ่ลำกล้องเรียบขนาด 73mm พร้อมระบบบรรจุกระสุนกึ่งอัตโนมัติ ปืนกลร่วมแกน PKT 7.62mm, แท่นยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รถถัง B72, และปืนกลหนักต่อสู้อากาศยาน 12.7mm ครับ

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

ลาวเปิดตัวยานเกราะล้อยาง BRDM-2M ใหม่พร้อมอาวุธรัสเซียและจีนจำนวนมากในพิธีสวนสนาม

Laotian military parades Russian- and Chinese-made equipment
















Laos unveiled several upgraded BRDM-2M 4x4 reconnaissance vehicles during a parade held in the capital Vientiane on 20 January to mark the 70th anniversary of the founding of the LPA. Source: Via Vientiane Times
https://www.janes.com/article/85876/laotian-military-parades-russian-and-chinese-made-equipment



กองทัพบกประชาชนลาว(LPA: Lao People's Army) ได้เปิดตัวยานเกราะลาดตระเวนล้อยาง BRDM-2M 4x4 รุ่นปรับปรุงใหม่ พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์จากรัสเซียและจีนอีกเป็นจำนวนมาก
ระหว่างพิธีสวนสนามทางทหารครบรอบ 70ปีการก่อตั้งกองทัพประชาชนลาว(LPAF: Lao People's Armed Forces) ที่จัดขึ้น ณ นครหลวง Vientiane(เวียงจันทน์) เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2019

ยานเกราะล้อยาง BRDM-2M อย่างน้อย 10คัน ซึ่งเชื่อว่าได้ถูกนำเข้าประจำการในกองทัพบกประชาชนลาวด้รับการปรับปรุงความทันสมัยในช่วงที่พวกมันถูกส่งมอบให้กองทัพประชาชนลาวในปลายปี 2018
แหล่งข่าวทางการของลาวกล่าวกับ Jane's เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2018 เสริมว่าการส่งมอบอาวุธเหล่านี้จากรัสเซียเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือทางทหาร-เทคนิคขนาดใหญ่ระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและรัฐบาลรัสเซียที่เห็นชอบร่วมกันในเดือนมกราคม 2018

ยานเกราะล้อยาง BRDM-2M รุ่นปรับปรุงใหม่มีความแตกต่างจากรุ่นพื้นฐาน โดยได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แทนเครื่องยนต์เบนซิน GAZ-41 กำลัง 140hp เดิม
ติดตั้งสถานีกล้อง Eletro-Optical ที่ด้านหลังป้อมปืนกลหนัก KPVT ขนาด 14.5mm และติดตั้งแผ่นเกราะเสริม applique ตามพื้นที่เสี่ยงต่างๆบนตัวรถเพื่อเสริมการป้องกัน

กองทัพประชาชนลาวยังได้แสดงยานเกราะ ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี, ปืนใหญ่ลากจูง และอากาศยานจำนวนมากที่จัดหาจากทั้งรัสเซียและจีน โดยระบบอาวุธจากรัสเซียมีเช่น รถถังหลัก T-72B1 Object 184-1MS 'Belyy Orel'(https://aagth1.blogspot.com/2018/12/t-72b1ms.html)
,รถถังหลัก T-54(T-54-3), รถถังหลัก T-55, รถถังเบา PT-76, ยานเกราะล้อยางลำเลียงพล BTR-60PB, รถยนต์บรรทุก UAZ-469B 4x4 เปิดประทุน, เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องอัตตาจรล้อยาง 9K51 Grad 122mm MLRS(MLR: Multiple Rocket Launcher)

,ปืนใหญ่ลากจูง D-74 122mm, ปืนใหญ่ลากจูง D-20 152mm, ปืนใหญ่ลากจูง D-30 122mm และปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง HL-70 หรือ HE-70 ที่นำ ป.D-30 122mm ติดตั้งบนรถแคร่ฐานรถยนต์บรรทุกตระกูล Ural-4320
อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศอัตตาจรสายพาน 9K35 Strela-10, อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศประทับบ่ายิง(MANPADS: man-portable air defence system) แบบ 9K38 Igla และเครื่องบินฝึกไอพ่นขั้นก้าวหน้า/โจมตีเบาแบบ Yakolev Yak-130 'Mitten'(https://aagth1.blogspot.com/2019/01/yak-130-t-34-85.html)

ระบบอาวุธจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ปรากฎในพิธีสวนสนามของกองทัพประชาชนลาวมีเช่น ปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง PCL-09 หรือ CS/SH1 ขนาด 122mm, เครื่องยิงลูกระเบิดอัตตาจรล้อยาง SH9 ขนาด 120mm บนรถยนต์บรรทุก Dong Feng Warrior 4x4
เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องอัตตาจรล้อยาง SR5 รองรอบชุดแท่นยิงจรวดขนาด 122mm หรือ 220mm และระบบป้องกันภัยทางอากาศพิสัยใกล้(SHORAD: Short Range Air Defence System) อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศอัตตาจรแบบ Type 92 Yitian เป็นต้นครับ

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ภาพเปิดเผยรถถัง T-34-85 รัสเซียของกองทัพประชาชนลาว




March of steel veterans: Russian TV channel 'TV Zvezda' documentary program 'Combat Approved' showed the Legendary Soviet medium tank T-34-85 which are still in service with the Lao People's Army
https://tvzvezda.ru/news/forces/content/201812061619-sa82.htm


Combat Approved: Laos, Full documentary

รายการสารคดีชุด 'Combat Approved' ของสถานีโทรทัศน์รัสเซีย TV Zvezda ที่จะออกอากาศในวันที่ 9 ธันวาคม 2018 ตามวิดีทัศน์ประชาสัมพันธ์รายการที่เผยแพร่ทาง Youtube
ได้แสดงถึงรถถังขนาดกลางของโซเวียตในตำนาน T-34-85 ซึ่งยังคงประจำการอยู่ในกองทัพประชาชนลาว(Lao People's Army) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ชุดภาพวีดิทัศน์ที่แสดงถึงการเคลื่อนที่ดำเนินกลยุทธ์ของรถถังกลาง T-34-85 โซเวียตของกองทัพประชาชนลาว ซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธยุทโธปกรณ์หลายแบบที่ลาวได้จัดหาจากรัสเซียนั้น
ปัจจุบันในรัสเซีย รถถัง T-34-85 ดูจะเป็น 'โบราณวัตถุทางทหาร' ที่ถูกจัดแสดงเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ หรือนำมาวิ่งร่วมขบวนในงานสวนสนามวันชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองของรัสเซีย

แต่สำหรับกองทัพบกประชาชนลาว ถ.T-34-85 ยังคงประจำการในฐานะรถถังประจำหน่วยรบอย่างเต็มอัตราอยู่ "ในกองพันเรามีรถถังแบบนี้(T-34-85) 31คัน และพวกมันยังมีในกองพันอื่น" พันโท Khamphong Tummanivong(คำพง ทุมมานิวง) ผู้บังคับกองพันยานเกราะกล่าวกับ TV Zvezda
อัตราจัดกองพันรถถังของกองทัพประชาชนลาวจะเป็นในรูปแบบเดียวกับกองทัพบกรัสเซียคือ หนึ่งกองพันมีรถถัง 31คัน แบ่งเป็น สามกองร้อยรถถัง+รถถัง ผบ.พัน. 1คัน แต่ละกองร้อยมีสามหมวดรถถัง+รถถัง ผบ.ร้อย. 1คัน  และแต่ละหมวดมีรถถัง 3คัน

โดย ถ.T-34-85 เหล่านี้เป็นรถที่ผลิตในปี 1944 ช่วงที่รัสเซียอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และเข้าประจำการในกองทัพบกประชาชนลาวในช่วงปี 1987 ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดกรณีพิพาททางพรมแดนกับประเทศไทย(สมรภูมิบ้านร่มเกล้า 1987-1988)
เป็นที่ควรค่าแก่การจดจำว่าแม้จะมีอายุการใช้งานถึงเกือบ 75ปีแล้วก็ตาม แต่รถถัง T-34-85 เหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน แม้จะถูกใช้ปฏิบัติงานในสภาพอากาศเขตร้อนชื้นของประเทศลาวก็ตาม

ปัจจุบันกองทัพประชาชนลาวยังมีรถถังรัสเซียซึ่งจัดหามาตั้งแต่สมัยอดีตสหภาพโซเวียตประจำการอีกหลายแบบ เช่น รถถังเบา PT-76 และรถถังหลัก T-54/T-55 ที่ต่างมีอายุการใช้งานมานานและล้าสมัย
กองทัพประชาชนลาวได้แสดงความสนใจที่จะจัดหารถถังหลักแบบใหม่ที่มีความทันสมัยกว่า เช่นการเยี่ยมชมการสาธิตรถถังหลัก T-72B1MS รุ่นปรับปรุงใหม่ที่รัสเซีย(https://aagth1.blogspot.com/2018/04/t-72b1ms.html)

กองทัพประชาชนลาวเป็นชาติแรกในกลุ่มประเทศ ASEAN ที่ได้ส่งกำลังพลเข้าร่วมการแข่งขันรถถังหลักนานาชาติ Tank Biathlon 2017 ที่รัสเซีย(https://aagth1.blogspot.com/2017/08/tank-biathlon-2017-5-6.html)
และลงแข่ง Tank Biathlon 2018 เป็นปีที่สองร่วมกับชาติ ASEAN อื่นประกอบด้วยกองทัพบกพม่า(Myanmar Army) และกองทัพประชาชนเวียดนาม(People's Army of Vietnam) ครับ(https://aagth1.blogspot.com/2018/08/tank-biathlon-2018-asean.html)

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559

รัสเซียวางกำลังรถถังหลัก 2,950คันในสี่เขตภาคทหาร

Russia deployed 2,950 main battle tanks in four military districts
T-72B3 main battle tank
http://www.armyrecognition.com/april_2016_global_defense_security_news_industry/russia_deployed_2950_main_battle_tanks_in_four_military_districts_tass_3010416.html

สถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษาทางยุทธศาสตร์(IISS: International Institute for Strategic Studies)ได้รายงานข้อมูลว่า กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้วางกำลังรถถังหลักจำนวน 2,950คันในสี่เขตภาคทหารคือ
เขตภาคทหารตะวันตก เขตภาคทหารใต้ เขตภาคทหารกลาง และเขตภาคทหารตะวันออก ซึ่งกำลังยานเกราะของกองทัพรัสเซียประกอบไปด้วยรถถังหลักส่วนใหญ่ดังกล่าวในข้างต้น

โดยตามรายงานของ IISS การวางกำลังรถถังหลักของกองทัพบกรัสเซียที่ประจำการในเดือนมีนาคม 2016 จำนวน 2,700คัน ประกอบไปด้วย
รถถังหลัก T-72B และ T-72BA 1,300คัน, รถถังหลัก T-72B3 600คัน, รถถังหลัก T-80BV และ T-80UM 450คัน และรถถังหลัก T-90 350คัน ด้วยเหตุนี้รถถังหลัก T-72B ยังคงเป็นกำลังหลักในกองพลน้อยยานเกราะของกองทัพบกรัสเซีย
ส่วนหน่วยทหารราบกองทัพเรือรัสเซีย(Naval Infantry) มีกำลังรถถังหลัก 250คันประกอบไปด้วย รถถังหลัก T-72B 50คัน และ รถถังหลัก T-72B3 200คัน

นอกจากนี้คลังสรรพวุธของกระทรวงกลาโหมรัสเซียยังเป็นสถานที่ที่เก็บสำรองรถถังหลักจำนวนมากที่สุดในโลก ตามรายงานของ IISS กองทัพรัสเซียได้เก็บสำรองรถถังหลักจำนวน 17,500คัน ประกอบด้วย
รถถังหลัก T-55 2,800คัน, รถถังหลัก T-62 2,500คัน, รถถังหลัก T-64B 2,000คัน, รถถังหลัก T-72A และ T-72B 7,000คัน, รถถังหลัก T-80BV และ T-80U 3,000คัน และรถถังหลัก T-90 200คันครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ศักยภาพในการต่อสู้รถถังหลักของยานเกราะเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทย-๒

กลุ่มรถถังที่ติดปืนใหญ่รถถังขนาด 105mm นั้นเป็นกำลังหลักของเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทยมานานหลายสิบปีนับตั้งแต่การจัดหา

รถถังหลัก M48A5 ในปี ๒๕๒๒

รถถังเบาแบบ ๓๒ Stingray ในปี ๒๕๓๒

รถถังหลัก M60A1 Rise/Passive ในปี ๒๕๓๔

และ M60A3 TTS ในปี ๒๕๓๙-๒๕๔๐

นอกจาก ถ.เบา ๓๒ Stingray แล้วรถถังหลักในกลุ่มนี้ล้วนเป็นรถมือสองที่เคยประจำการในกองทัพสหรัฐฯมาก่อนทั้งสิ้น
โดยรถถังกลุ่มนี้คาดว่าจะมีอายุการใช้งานนับจากที่ปีเข้าประจำการไปไม่ต่ำกว่า 40-50ปี ถ้าเทียบกับ M41A3
อย่าง M48A5 และ M60A1 ก็มีการปรับปรุงระบบควบคุมการยิงเป็น FCS-10 และ FCS-10MS ของอิสราเอลไปหลายสิบปีแล้ว และระบบควบคุมการยิง Marconi DFCS ของ Stingray ก็ยังมีประสิทธิภาพอยู่
แต่จำเป็นต้องปรับปรุงบางส่วนที่เริ่มเก่าและเสื่อมสภาพ ซึ่งกองทัพบกก็มีโครงการซ่อมปรับปรุงหรือจัดหาระบบควบคุมการยิงใหม่สำหรับรถถังสามแบบนี้อยู่
ส่วนระบบควบคุมการยิง เครื่องหาระยะด้วย Laser แบบ AN/VVG-2 กล้องเล็งพลยิงแบบ AN/VSG-2 ของ M60A3 ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่

ในส่วนของอาวุธหลักคือปืนใหญ่รถถังของรถถังกลุ่มนี้นั้น
กระสุนปืนใหญ่แรงถอยต่ำ L7A3 ที่ติดตั้งกับ Stingray สามารถใช้ร่วมกันได้กับกระสุนปืนใหญ่รถถัง M68 ที่ติดตั้งกับ M48A5 และ M60A1/A3
โดยตัวอย่างกลุ่มกระสุนที่ใช้ต่อสู้กับรถถังหลักด้วยกันที่อ้างอิงตามคู่มือของกองทัพบกและจากที่เคยเห็นว่ามีใช้งานจริงก็เช่น

กระสุนปืนใหญ่รถถังขนาด 105mm ที่ใช้กับปืน M68 นั้นตัวที่น่ามีประสิทธิภาพสูงสุดที่กองทัพบกไทยมีคือ
กระสุนเจาะเกราะสลัดครอบทิ้งเองทรงตัวด้วยครีบหาง APFSDS แบบ M426 ของ IMI อิสราเอล
ซึ่งเจาะเกราะเหล็กกล้าRHA(Rolled Homogeneous Armour) ได้หนา 450mm ที่ระยะยิง 2,000m
ส่วนกระสุนรุ่นเก่าดั้งเดิมของสหรัฐฯที่ใช้กับ ปถ.M68 ก็มีเช่น M735A1 APFSDS เจาะเกราะได้หนา 300mm ที่ระยะ 2,000m
ในคู่มือของกองทัพบกนั้นยังมีข้อมูลของกระสุน M833 APFSDS ของสหรัฐฯซึ่งใช้แกนลูกดอกยูเรเนียมไร้รังสี(Depleted Uranium) เจาะเกราะได้หนา 420mm ที่ระยะ 2,000m
ซึ่งจะใช้ในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ก็ไม่ทราบว่ากองทัพบกไทยมีใช้งานจริงๆหรือไม่
ส่วนกระสุนระเบิดแรงสูงต่อสู้รถถังก็มีเช่น M456A2 HEAT-T-MP เจาะเกราะได้ 430mm ที่ระยะ 2,000m

กลุ่มกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105mm ที่ใช้กับ ปถ.L7 จะมาจากอังกฤษ ตัวอย่างเช่น
L64A4 APFSDS เจาะเกราะ RHA ได้หนา 340mm ที่ระยะยิง 2,000m
และกระสุนเจาะเกราะสลัดครอบทิ้งเอง APDS แบบ L52 ซึ่งเป็นกระสุนรุ่นเก่าที่เจาะเกราะได้ 300mm ที่ระยะ 2,000m ด้วย
นอกจากนี้ก็มีกระสุนระเบิดแรงสูงกระเทาะเกราะ HESH แบบ L35 เจาะเกราะได้หนา 310mm อีกแบบ

สำหรับการต่อต้านรถถังหลักในตระกูล T-54/T-55 และรถถังจีนที่มีแบบพื้นฐานมาเช่น Type 59 และ Type 69 นั้น
รถถังของเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทยที่ใช้ ปถ.105mm ไม่มีปัญหาในการจัดหาสำหรับ T-55 และ Type 59 รุ่นพื้นฐาน ที่ระยะ 2,500m ลงมา
ซึ่งก็รวมถึง T-55AM2 ที่ติดเกราะเสริมครึ่งวงกลมที่ป้อมปืนด้วยเมื่อใช้กระสุน APFSDS แบบประสิทธิภาพสูงที่กองทัพบกมี
โดยปืนใหญ่รถถัง D-10T และปืนรถถังของจีนขนาด 100mm นั้นมีระยะยิงและระบบควบคุมการยิงด้อยกว่า ปถ.105mmพอสมควร
แต่สำหรับ Type 59D และ Type 59M ที่ติดเกราะปฏิกิริยาแรงระเบิด ERA เสริมและติด ปถ.Type 83A ขนาด 105mm นั้นจะมีขีดความสามารถในการคุกคามเพิ่มอีกระดับ
การจัดการ Type 59D/M อาจจะต้องยิงในส่วนที่ไม่ใช่เกราะด้านหน้าซึ่งติดเกราะ ERA เสริมซึ่งสามารถต่อต้านกระสุนลูกดอก SABOT และ HEAT ได้มาก
และอาจจะต้องยิงในระยะต่ำกว่า 2,000m ลงมา ซึ่งอานุภาพในการเจาะเกราะของ ปถ.105mm จีนนั้นเทียบเท่า M68 และ L7
สำหรับ M48A5, M60A1 และ M60A3 เกราะป้อมปืนหลัก RHA ที่หนา 120mm ไม่เพียงพอจะสามารถจะป้องกันได้



เฉพาะ M60A1/A3 อาจจะจำเป็นต้องติดเกราะเสริมเช่น เกราะ Blazer ซึ่งมีภาพว่ากองทัพบกไทยมีใช้อยู่เพื่อเพิ่มอำนาจในการป้องกันอีกระดับ

แต่ในส่วน Stingray แล้ว ตัวถังและป้อมปืนโลหะผสม CADLOY ที่เกราะหน้าป้องกันได้เพียงกระสุนเจาะเกราะขนาด 14.5mm แล้ว
ไม่สามารถที่จะต่อต้านการยิงของไม่ว่าจะ ปถ.100mm ของ T-55 หรือ ปถ.105mm ของ Type 59D/M ได้เลย

ยิ่งถ้าภัยคุกคามรถถังหลักในภูมิภาคนี้ยกระดับขึ้นเป็นรถถังในสาย T-72 ด้วยแล้ว
อำนาจการยิงของปืนใหญ่รถถังขนาด 125mm 2A42M สามารถจะจัดการรถถังหลักที่ดีที่สุดของกองทัพบกไทยในปัจจุบัน
คือ M60A3 และรถถังที่ติด ปถ.105mm ทุกแบบได้ในการยิงนัดเดียวที่ระยะต่ำกว่า 2,500m ลงมา
ในส่วนเกราะป้องกันของ T-72 นั้น เกราะหน้าของ T-72M1 ที่ความหนาประมาณ 400-420mm อาจยังสามารถใช้กระสุนที่ดีที่สุดของ ปถ.105mm คือ M426 จัดการได้
แต่ถ้าเป็น T-72S ที่ติดเกราะ ERA เสริมเทียบเท่าเกราะ Kontakt1 ที่มีความหนาเกราะป้อมปืนด้านหน้าเพิ่มเป็น 520-540mm แล้วไม่มีทางที่จะจัดการได้ง่ายๆเลย 
การเสริมเกราะ ERA อย่างเกราะ Blazer สำหรับ M60A1/A3 ก็ดูจะไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันกระสุน APFSDS ขนาด 125mm รุ่นใหม่ๆด้วย

การยกระดับอำนาจการยิงของรถถังที่ใช้ ปถ.105mm ของเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทยนั้นอาจจะมีแนวทางเลือกจำกัด
หนึ่งคือการจัดหากระสุนปืนใหญ่รถถังขนาด 105mm รุ่นใหม่ที่มีอำนาจการเจาะเกราะสูงขึ้น

ตัวอย่างเช่นกระสุน APFSDS-T แบบ K274 ของ POONGSAN เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นกระสุนที่ใช้กับรถถังกองทัพเกาหลีที่ใช้ ปถ.105mm เช่น M48A5K2 และ K1
ซึ่งอ้างว่าสามารถเจาะเกราะ RHA ได้ที่ 470mm ที่ระยะ 2,000m
ตามข้อมูลที่มีออกมาการปรับปรุงรถถังหลัก K1E1 ของกองทัพเกาหลีใต้นั้นจะไม่มีการเปลี่ยน ปถ.จาก KM68 105mm เป็น KM256 120mm 
เนื่องจากป้อมปืนของ K1 มีขนาดเล็กกว่า K1A1 ที่ออกแบบมาสำหรับ ปถ.120mm แต่แรกการเปลี่ยน ปถ.ใหม่จึงทำไม่ได้
แต่เกาหลีใต้จะเลือกพัฒนากระสุน 105mm รุ่นใหม่ที่มีอำนาจการเจาะเกราะสูงขึ้นแทน ซึ่งสามารถพัฒนาให้เจาะเกราะได้ถึง 550mm ในระยะ 2,000m


แนวทางที่สองคือการปรับปรุงรถถังหลัก M60A1 และ M60A3 ให้ทันสมัยขึ้น อย่างโครงการปรับปรุง M60T Sabra ของกองทัพบกตุรกี โดย IMI อิสราเอล 
ซึ่งเสริมเกราะใหม่ เปลี่ยน ปถ.ใหม่เป็น MG253 ขนาด 120mm และเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เป็น 1,000hp
อย่างไรก็ตามแนวทางนี้จะใช้งบประมาณจำนวนมากพอสมควร รวมถึงต้องมีการขออนุมัติจากสหรัฐฯในการปรับปรุงเสียก่อนด้วย

จะเห็นได้ว่าการที่โครงการจัดหารรถถังหลัก Oplot ของกองทัพบกไทยประสบปัญหาความล่าช้านั้น 
ส่งผลต่อขีดความสามารถในการต่อต้านภัยคุกคามจากรถถังหลักในภูมิภาคนี้ที่มีการเพิ่มศักยภาพมากขึ้น
เราได้แต่หวังว่าโครงการจัดหารถถังหลัก Oplot จะไม่ประสบความล้มเหลวลง
เพราะถ้าเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทยจัดหารถถังหลักแบบใหม่ได้ช้าเท่าไร ผลกระทบต่อดุลอำนาจด้านกำลังทางบกของไทยที่ตกลงไปมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งถึงศูนย์การทหารม้าจะมีรถถังหลัก Oplot ชุดต้นแบบ 5คันอยู่ต่อไป โดยจะไม่มีการส่งกลับไปยูเครนก็จริง
แต่รถถังยุคที่สามที่ทันสมัยที่สุดเพียงหมวดเดียว คงไม่สามารถส่งผลต่อการปฏิบัติการรบของสงครามในภาพรวมได้อยู่ดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ศักยภาพในการต่อสู้รถถังหลักของยานเกราะเหล่าทหารม้ากองทัพบกไทย-๑

ประเด็นเรื่องกรณีปัญหาของโครงการจัดหารถถังหลัก Oplot ที่ได้นำเสนอมาต่อเนื่องก่อนหน้านี้นั้น
มีผลต่อขีดความสามารถของกองทัพบกไทยในการต่อต้านภัยคุกคามสำหรับสงครามตามแบบที่มีความเป็นไปได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
ซึ่งเดิมทีภัยคุกคามจากรถถังหลักรอบประเทศไทยนั้นยังอยู่ในขีดความสามารถที่รถรบและยานเกราะของกองทัพบกยังสามารถรับมือได้
แตในช่วงหลายปีหลังมานี้ประเทศที่มีแนวโน้มเป็นภัยคุกคามของไทยได้ได้มีการจัดหารถถังหลักที่มีสมรรถนะสูงมากขึ้น
หัวข้อนี้จะเป็นการวิเคราะห์ถึงศักยภาพของยานเกราะในการต่อสู้กับรถถังหลักเฉพาะในส่วนของหน่วยที่เป็นเหล่าทหารม้าครับ

เริ่มแรกมาดูที่การประเมินภัยคุกคามที่เป็นรถถังหลักที่เหล่าทหารม้ากองทัพบกอาจจะต้องเผชิญในการรบก่อน


กำลังรถถังหลักในกองทัพหลายประเทศที่คาดว่าจะเป็นภัยคุกคามของไทยได้ส่วนใหญ่จะยังเป็นรถถังในตระกูล T-54/T-55
และรถถังจีนที่มีพื้นฐานจากรถถังรุ่นนี้ เช่น Type 59 และ Type 69 เป็นต้น
อำนาจในการป้องกันตนเองของรถถังตระกูลนี้ในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างจะด้อยอยู่พอสมควรแล้ว
เพราะเกราะหลักเป็นเหล็กกล้า RHA(Rolled Homogeneous Armour) ที่มีความหนาไม่มากนัก
ตามข้อมูลที่รวบรวมได้โดยอิงจากรถถัง T-55 โซเวียตความหนาของเกราะ RHA จะมีรายละเอียดคราวๆดังนี้คือ
T-55 เกราะตัวถังด้านหน้าหนา 100mm ด้านข้าง 80mm ด้านหลัง 60mm ด้านบน 16-33mm
เกราะป้อมปืน ด้านหนา 205mm ด้านข้าง 130 ด้านหลัง 60mm ด้านบน 30mm
ซึ่งรถถังจีนเช่น Type 59 และ Type 69-II น่าจะมีรายละเอียดความหนาเกราะแตกต่างกันไม่มากนัก
(แต่ตามข้อมูลที่สืบค้นได้ดูจะบางกว่าเล็กน้อย เช่น ป้อมปืนมีความหนาเกราะหนา 203mm รวมถึงคุณภาพเหล็กที่ใช้สร้าง)


อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีหลังมานี้มีข้อมูลและภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นกองทัพหลายประเทศมีการจัดหารถถัง T-55 รุ่นที่มีการเสริมเกราะเพิ่ม
เช่น T-55AM2 ที่ติดตั้งเกราะเสริมรูปครึ่งวงกลม bra armor ให้ป้อมปืนมีความหนาในการต่อต้านกระสุนเจาะเกราะสลัดครอบทิ้งเองทรงตัวด้วยครีบหาง APFSDS เทียบเท่าเกราะ RHA ที่ 330mm และกระสุนระเบิดแรงสูงต่อสู้รถถัง HEAT ที่ 400-450mm
หรือ Type 59D และ Type 59M ของจีนที่ปรับปรุงติดเกราะปฏิกิริยาแรงระเบิด ERA(Explosive Reactive Armour) ที่เพิ่มอำนาจในการต่อต้านการถูกยิงด้วยกระสุนและจรวดต่อสู้รถถังมากขึ้น
(อ้างว่าป้องกันกระสุนปืนใหญ่รถถังขนาด 105mm NATO ในระยะ 2,000m ได้)


ในส่วนของอาวุธหลักคือปืนใหญ่รถถังแบบ D-10T ขนาด 100mm ระยะยิงหวังผลราว 2,000m หรือรถถังของจีนที่ใช้ปืนขนาดเดียวกันกันแต่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพมากขึ้นเช่น Type 69-II นั้น
กระสุนต่อสู้รถถังที่ดีที่สุดของ T-55 คือกระสุนแบบ 3BM25 APFSDS ซึ่งสามารถเจาะเกราะเหล็กกล้า RHA ได้สูงสุดที่ 350mm
โดยในคู่มือของกองทัพบกไทย กระสุนปืนใหญ่รถถังขนาด 100mm ที่ใช้กับรถถังหลักแบบ ๓๐ Type 69-II ที่เคยประจำการในไทย ก็มีกระสุน APFSDS ที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นกัน(ความเร็วต้น 1,480m/s)
แต่สำหรับ Type 59D/M แล้วนั้นนอกจากเกราะ ERA แล้ว  ยังมีการเปลี่ยนระบบควบคุมการยิงใหม่และปืนใหญ่รถถังใหม่เป็นขนาด 105mm แบบ Type 83A ของจีน ซึ่งใช้กระสุนชนิดเดียวและมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับปืนใหญ่รถถังแบบ L7 และ M68 ของ NATO ทำให้มีระยะยิงและใช้กระสุน APFSDS ที่อ้างว่ามีอำนาจเจาะเกราะ RHA หนา 460-510mm ด้วย

การพัฒนาขีดความสามารถของกำลังรถถังหลักของประเทศในกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเป็นภัยคุกคามหลักของกองทัพบกไทย ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นคือการจัดหารถถังหลักในสายตระกูล T-72 จากรัสเซียและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก
ซึ่งที่ยืนยันได้ก็มี T-72S ที่ติดเกราะ ERA รูปแบบเดียวกับเกราะ ERAแบบ Kontakt1 ของกองทัพพม่า


และข่าวลือจากด้านตะวันออกที่จะมีแผนการจัดหา T-72M1 เสริมจากที่เคยจัดหา T-55 มือสองจากกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกเมื่องบประมาณอำนวย

T-72 ที่เป็นรุ่นส่งออกซึ่งส่วนผลิตในโปแลนด์และอดีตเชคโกสโลวาเกีย เป็นรุ่นที่ลดประสิทธิภาพด้านเกราะ ระบบควบคุมการยิงและอาวุธลง
เช่น T-72M1 ป้อมปืนมีความหนาในการต่อต้านกระสุน APFSDS เทียบเท่าเกราะ RHA ที่ประมาณ 420mm และกระสุน HEAT ที่ 490mm เกราะตัวถังต่อต้านกระสุน APFSDS ที่ 400mm และกระสุน HEAT ที่ 490mm
แต่สำหรับ T-72S ที่ติดเกราะ ERA แบบ Kontakt1 น่าจะเทียบเท่ากับรุ่น T-72B1 ที่กองทัพรัสเซียยังใช้อยู่ในปัจจุบันได้แต่จะด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย
คือเกราะป้อมปืนต่อต้านกระสุน APFSDS ได้ที่มากกว่า 520-540mm ต่อต้านกระสุน HEAT ที่ 900-950mm เกราะตัวถังต่อต้านกระสุน APFSDS ที่ 480-530mm และกระสุน HEAT ที่ 900-950mm
โดยนี่เป็นข้อมูลคราวๆเนื่องจากเกราะของ T-72 นั้นแท้จริงเฉพาะพื้นที่ด้านหน้าของรถเกราะจะมีความหนาไม่เท่ากันทุกจุด

ในส่วนของอาวุธหลักของ T-72 คือปืนใหญ่รถถัง 2A46M  ขนาด 125mm
กระสุนที่มีความเป็นไปได้ที่จะจัดหามาใช้เช่น กระสุน APFSDS แบบ 3BM42 สามารถเจาะเกราะ RHA ความหนา 450mm ได้ที่ระยะ 2,000m
ซึ่งสามารถจัดการรถถังหลักที่กองทัพบกไทยประจำการได้ทุกแบบในปัจจุบันด้วยการยิงนัดเดียวยกเว้น Oplot
ตรงนี้ยังไม่นับ MBT-2000 ซึ่งเป็นรถถังหลักยุคที่3รุ่นส่งออกของจีน ที่ทางกองทัพบกพม่ามีการจัดหามาแล้วจำนวนหนึ่งด้วย


ทีนี้จะมาดูเฉพาะในส่วนรถถังเบาในกองพันทหารม้ารถถังกองพลทหารราบ  ยานเกราะล้อยางติดปืนใหญ่รถถัง และรถถังเบาในกองพันทหารม้าลาดตระเวน ของเหล่าทหารม้าก่อนครับ


รถถังเบาแบบ M41A3 ที่กองทัพบกไทยจัดหามาตั้งแต่ช่วงปี ๒๕๐๕-๒๕๑๒ จำนวนราว 200คันนั้น
อาวุธหลักคือปืนใหญ่รถถังแบบ M32 ขนาด 76mm มีระยะยิงหวังผลราว 2,000m ลงมา
อ้างอิงจากคู่มือการฝึกของกองทัพบก กระสุนที่ใช้เป็นกระสุนรุ่นเก่าที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ยุค 1950s-1960s
เช่น M339 AP-T, M319 HVAP-T เจาะเกราะ RHA หนา 150mm ได้ที่ระยะ 2,000m และ M331A2 HVAP-DS-T  ที่เจาะเกราะได้มากกว่า 150-200mm ที่ระยะ 1,000-2,000m
ซึ่งในสมัยสงครามเวียดนาม M41 ของเวียดนามใต้ก็เคยปะทะและยิงทำลาย T-54 ของเวียดนามเหนือได้หลายคัน
กระสุนที่พัฒนาขึ้นใหม่ที่ใช้ในช่วงหลังสงครามเวียดนามก็เช่น M496 HEAT-T ที่เจาะเกราะได้ 200mm ที่ระยะ 2,000m ก็มีข้อมูลว่ากองทัพบกไทยมีใช้อยู่ตามคู่มือ
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าไทยจะมีกระสุน M646 APFSDS ที่เจาะกราะได้ 230-250mm ที่ระยะ 2,000m ซึ่ง M41DK ของเดนมาร์คเคยใช้ และ M41D ที่ไต้หวันมีใช้ด้วยหรือไม่

รถรบในส่วนของกองพันทหารม้าลาดตระเวนใช้นั้นก็มีคือ


รถถังเบาแบบ ๒๑ Scorpion อาวุธหลักคือปืนใหญ่รถถังแบบ L23A1 ขนาด 76mm ระยะยิงหวังผลประมาณ 2,200m
ซึ่งกระสุนที่พอจะใช้ต่อสู้ยานเกราะขนาดหนักเช่นรถถังหลักได้คือกระสุนระเบิดแรงสูงกระเทาะเกราะแบบ L29 HESH-T ซึ่งเจาะเกราะได้หนา 80mm
รวมถึงได้รับการปรับปรุงติดกล้องเล็ง SELEX Galileo STAWS และระบบควบคุมการยิงใหม่ที่แม่นยำทั้งกลางวันและกลางคืน


อีกแบบคือยานเกราะล้อยางแบบ V-150 รุ่นติดป้อมปืนใหญ่รถถังแบบ Cockerill Mk.3 ขนาด 90mm ระยะยิงหวังผลประมาณ 1,950m
กระสุนที่มีใช้ตามคู่มือของกองทัพบกคือ NR 478 HEAT-T ซึ่งเจาะเกราะได้หนา 250mm และ NR 503 HESH
แต่กระสุนรุ่นใหม่ที่มีการผลิตออกมาเช่น NR 220 HEAT-T-HVY เจาะเกราะได้หนา 330mm
และกระสุน APFSDS ความเร็วต้น 1,200m/s เจาะเกราะได้หนา 100mm ที่ระยะ 1,000m ที่มุมปะทะ 60degree นั้นไม่ทราบว่ามีใช้หรือไม่

สำหรับ M41A3 นั้นเป็นระบบที่ล้าสมัยและจะเริ่มปลดประจำการลงทั้งหมดในอนาคตอันใกล้แล้ว
โดยที่ผ่านมากองทัพบกก็เคยมีแนวคิดที่จะปรับปรุง M41A3 ให้ทันสมัยขึ้นอยู่บ้าง หลักๆคือเช่นเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่จากเบนซินเป็นดีเซล แต่คงประเมินแล้วว่าไม่คุ้มค่าเลยไม่ทำ

ส่วน ถ.เบา ๒๑ Scorpion และ V-150 ติด ปถ.90mm นั้น ม.ลว.จะใช้เป็นในลักษณะเป็นฉากกำบังหรือการลาดตระเวนเขตแนวหน้าพื้นที่รบ ถ้าไม่จำเป็นคงจะไม่ถูกส่งไปเข้าตีกำลังรถถังหลักตรงๆ
โดยกระสุน L29 HESH นัดเดียวคงทำอะไรรถถังหลักอย่าง T-55 หรือ Type 59 ไม่ได้
แต่กระสุนระเบิดแรงสูงกระเทาะเกราะนั้นเท่าที่ทราบเกราะ ERA จะไม่ค่อยมีผลในการต่อต้านกระสุนชนิดนี้ ซึ่งจะระเบิดผิวเกราะสร้างการแตกร้าวนัก ถ้ายิงหลายๆนัดอาจจะพอได้ผลในการสร้างความเสียหายภายในรถบ้าง
ส่วนกระสุน NR 478 นั้นสามารถจัดการ T-55 ในระยะต่ำกว่า 1,500mm ได้ แต่ยากในการจัดการ T-55AM2, Type 59D และ Type 59M ได้ในนัดเดียว
แน่นอนถ้าทั้ง M41A3, Scorpion และ V-150 ติด ปถ.90mm โดนยิงมานัดเดียวก็จบ
ไม่รวมถึง T-72 ทุกรุ่นที่ปืนใหญ่รถถังความเร็วต้นกระสุนสูงอย่าง M32 76mm และปืนใหญ่รถถังความเร็วต้นกระสุนต่ำทั้ง L23 76mm และ Cockerill Mk.3 90mm ที่กระสุนทุกแบบไม่สามารถยิงเจาะเกราะเข้าด้วยเช่นกัน

ในโอกาสต่อไปจะกล่าวถึงรถถังเบาและรถถังหลักในเหล่าทหารม้าซึ่งใช้ปืนใหญ่รถถังขนาด 105mm ซึ่งเป็นกำลังหลักของกองทัพบกไทยในปัจจุบันครับ