Lockheed Martin F-16AM EMLU "40310" of 403rd Squadron, Wing 4 Takhli were
displayed at Wing 6 Don Muang RTAF base, Bangkok, Thailand for Royal Thai Air
Force 88th Anniversary Air Show on 7-8 March 2025. (My Own Photos)
Royal Thai Air Force Deploys F-16 Fighters Near Western Border – Affirms No
Violation of Sovereignty
On 6 May 2025, Air Marshal Prapas Sornchaidee, Spokesperson of the Royal Thai
Air Force, announced that at 12:45 PM, the Air Surveillance and Control Unit
detected an unidentified aircraft similar to the K-8 light attack aircraft,
flying near the Thai border opposite Mueang District, Kanchanaburi Province.
In response, the Royal Thai Air Force ordered two F-16 fighter jets from Wing
4 in Nakhon Sawan Province to scramble for identification, interception, and
to demonstrate a defensive posture. The aircraft subsequently conducted a
combat air patrol over Mueang and Sai Yok Districts, Kanchanaburi Province.
The mission confirmed that there was no violation of Thai airspace or any
hostile intent from the unidentified aircraft.
The Royal Thai Air Force reaffirms its readiness to detect unidentified
aircraft and execute professional interception procedures. These missions are
critical to maintaining the security of Thai airspace and safeguarding
national sovereignty in accordance with applicable laws and international
obligations.
RTAF F-16s also intercepted Myanmar K-8 light attack aircraft on 16 May 2025
and Myanmar Yak-130 light attack aircraft on 28 May 2025.
Royal Thai Air Force Confirms: No Threat Detected from Suspected Aircraft
near Thai-Myanmar Border in Tak Province
Date: 28 May 2025
Air Vice Marshal Praphas Sonchaidee, Spokesperson for the Royal Thai Air Force
(RTAF), stated today that at 13:03 hrs, the RTAF ordered two F-16 fighter
aircraft from Wing 4 to take off from Takhli Air Base on an air defense
mission.
This action followed a radar detection by the air surveillance and control
unit of a suspected aircraft approaching Thai airspace opposite Phop Phra
District, Tak Province.
The unidentified aircraft was identified as a high-performance Yak-130, flying
on a trajectory that approached the Thai border. The RTAF then conducted a
standard interception mission to identify the aircraft and demonstrate a
deterrent posture, as part of routine airspace defense procedures.
The suspected aircraft subsequently altered its course and exited the area
near the Thai border at 13:16 hrs without exhibiting any hostile intent or
aggressive behavior that would indicate a threat to national security.
The Royal Thai Air Force affirms that this incident was part of ongoing,
routine airspace surveillance and defense operations conducted with vigilance
and consistency to safeguard Thailand’s sovereignty and ensure national
security and public confidence.
The RTAF has also coordinated with relevant security agencies in the area to
closely monitor the situation and will provide updates should any further
developments arise.
กองทัพอากาศส่ง F-16 แสดงท่าทีทางอากาศชายแดนตะวันตก –
ยืนยันไม่มีการล้ำอธิปไตย
วันนี้ (6 พฤษภาคม 2568)
พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 12.45
น. หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศ ได้ตรวจพบอากาศยานไม่ทราบฝ่าย
มีลักษณะคล้ายเครื่องบินโจมตีแบบ K-8
บินเข้าใกล้เขตแดนไทยบริเวณตรงข้ามอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
จากสถานการณ์ดังกล่าว กองทัพอากาศได้สั่งการให้เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 จำนวน
2 ลำ จากกองบิน 4 จังหวัดนครสวรรค์
ขึ้นบินเพื่อพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย
และแสดงท่าทีเชิงป้องปราม และหลังจากนั้นได้ปฏิบัติการบินลาดตระเวนรบทางอากาศ
ในบริเวณพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
ผลการปฏิบัติไม่พบการล้ำอธิปไตย
หรือท่าทีคุกคามจากอากาศยานดังกล่าวแต่อย่างใด
กองทัพอากาศขอยืนยันความพร้อมในการค้นหาอากาศยานไม่ทราบฝ่าย
และดำเนินมาตรการบินสกัดกั้นตามขั้นตอนอย่างมืออาชีพ
ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของกองทัพอากาศ เพื่อปกป้องน่านฟ้าไทยให้ปลอดภัย
และดำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของประเทศ
ตามหลักกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้แจงกรณีพบเห็นอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ในพื้นที่
อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย
เปิดเผยว่า
ตามที่มีรายงานข่าวและเกิดความสงสัยของประชาชนเกี่ยวกับการพบเห็นอากาศยานไร้คนขับ
(UAV) บินอยู่ในพื้นที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีนั้น
กองบัญชาการกองทัพไทยขอชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและความมั่นใจแก่ประชาชนว่า
อากาศยานดังกล่าวเป็นของ กรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย
ไม่ใช่อากาศยานจากต่างชาติหรือกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่ายแต่อย่างใด
อากาศยานดังกล่าวคือ UAV แบบ VTOL SUD 60
ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจสำรวจภูมิประเทศและถ่ายภาพทางอากาศ
เพื่อจัดทำแผนที่ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมแผนที่ทหาร โดย UAV
รุ่นนี้เป็นอากาศยานไร้คนขับที่สามารถขึ้นลงทางดิ่ง (Vertical Take-Off and
Landing)
และมีขีดความสามารถหลากหลาย เช่น การทำแผนที่ ตรวจการณ์ และสำรวจภูมิประเทศ
ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยทหาร
ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจของ UAV ดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจหน้าที่อย่างถูกต้อง
และกรมแผนที่ทหารได้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างเคร่งครัด
"พี่น้องประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่า
อากาศยานที่ปรากฏในพื้นที่นั้นเป็นของหน่วยงานรัฐ
และมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศโดยรวม" พลตรี วิทัย
กล่าวย้ำ
กองบัญชาการกองทัพไทยขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจ
และขอความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อเท็จจริงดังกล่าว
เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดในวงกว้าง
กองทัพอากาศยืนยันความพร้อมปกป้องน่านฟ้าไทย
ชี้แจงกรณีอากาศยานทหารเมียนมาเข้าใกล้เขตแดนไทย
วันนี้ ( 16 พฤษภาคม 2568) พลอากาศโทประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศเปิดเผย
กรณีที่อากาศยานทหารเมียนมาแบบ K-8 จำนวน 1 เครื่อง
บินเข้าใกล้เขตแดนไทยบริเวณอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเวลา 12.31 น.
ที่ผ่านมา
หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศ
ได้ตรวจจับอากาศยานดังกล่าวในระยะเข้าใกล้แนวชายแดน
และได้ดำเนินการตามระเบียบการปฏิบัติประจำทันที
ด้วยการติดต่อแจ้งเตือนผ่านคลื่นความถี่ฉุกเฉิน (On Guard)
พร้อมทั้งสั่งการให้เครื่องบินขับไล่ F-16 จากกองบิน 4
ขึ้นบินปฏิบัติภารกิจการบินลาดตระเวนรบเฝ้าระวังทางอากาศ
เพื่อแสดงศักยภาพในการควบคุมและป้องกันน่านฟ้าไทยอย่างชัดเจน
อากาศยานทหารเมียนมาดังกล่าวได้เปลี่ยนทิศทางออกจากเขตแดนไทยในเวลา 12.48 น.
โดยไม่มีพฤติกรรมรุกรานหรือกระทำการที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยแต่อย่างใด
กองทัพอากาศขอยืนยันว่า การปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของน่านฟ้าไทย
เป็นภารกิจหลักที่ดำเนินการอย่างเข้มงวด ต่อเนื่อง โดยมีการเฝ้าตรวจ ค้นหา
พิสูจน์ฝ่าย
และสกัดกั้นอากาศยานที่มีพฤติกรรมผิดปกติหรือเข้าใกล้เขตแดนในลักษณะที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
รวมทั้งมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกพื้นที่อย่างใกล้ชิด
เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นในความปลอดภัยของน่านฟ้าไทย
กองทัพอากาศยืนยัน – ไม่มีภัยคุกคาม กรณีเครื่องบินต้องสงสัยใกล้ชายแดน
จังหวัดตาก
วันนี้ (28 พฤษภาคม 2568) พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ
เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.03 น.) กองทัพอากาศได้สั่งการให้เครื่องบินขับไล่ F-16
จำนวน 2 เครื่อง จากหน่วยบิน กองบิน 4 ปฎิบัติภารกิจการบินป้องกันทางอากาศ
วิ่งขึ้นจากสนามบินตาคลี หลังหน่วยควบคุมอากาศยานและแจ้งเตือน
ตรวจพบเครื่องบินต้องสงสัยใกล้ชายแดนไทยบริเวณตรงข้ามอำเภอพบพระ
จังหวัดตาก
เครื่องบินต้องสงสัยลำดังกล่าว เป็นอากาศยานสมรรถนะสูงแบบ YAK-130
มีทิศทางบินมุ่งเข้าสู่เขตแดนไทยในระยะใกล้ กองทัพอากาศ
จึงสั่งการบินพิสูจน์ทราบและแสดงท่าที่ป้องปราม ตามมาตรการปกติ
เพื่อเฝ้าระวังและยืนยันสถานการณ์
จากการติดตาม
พบว่าเครื่องบินดังกล่าวได้เปลี่ยนทิศทางและออกจากเขตใกล้ชายแดนไทยในเวลา 13.16
น.
โดยไม่แสดงพฤติกรรมรุกรานหรือมีเจตนาเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด
กองทัพอากาศ ขอยืนยันว่า
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจปกติในการเฝ้าระวังป้องกันน่านฟ้า
ซึ่งกองทัพอากาศดำเนินการอย่างเข้มแข็งและสม่ำเสมอ เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศ
สร้างความปลอดภัย และความมั่นใจให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้
ได้มีการประสานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
และจะรายงานความคืบหน้าหากมีข้อมูลเพิ่มเติม
เฉพาะในปี พ.ศ.๒๕๖๘(2025)
นี้กองทัพอากาศไทยได้เปิดเผยว่ามีการส่งเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๙/ก F-16AM/BM
EMLU ฝูงบิน๔๐๓ กองบิน๔ ตาคลี ขึ้นบินสะกัดกั้น(scramble)
อากาศยานที่เข้าใกล้น่านฟ้าไทยทางชายแดนตะวันตกติดประเทศพม่าที่กำลังมีการรบระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆกับกองทัพพม่า(Myanmar
Armed Forces, Tatmadaw) อย่างต่อเนื่องรวมถึง
๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๘ สกัดกั้นเครื่องบินฝึกและโจมตีเบาไอพ่น Yak-130
กองทัพอากาศพม่า(Myanmar Air Force), ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๘
สกัดกั้นหลังกองทัพอากาศพม่าทิ้งระเบิดโจมตีกองกำลังกะเหรี่ยง KNLA(Karen
National Liberation Army), ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๘ สกัดกั้น บ.ฝึกและโจมตีเบา
Yak-130 กองทัพอากาศพม่า,
๖ และ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ สกัดกั้นเครื่องบินฝึกและโจมตีเบาไอพ่น K-8
กองทัพอากาศพม่า และ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ สกัดกั้น Yak-130 พม่า
ทว่าแทนที่จะได้รับชื่นชมการทำงานปกป้องอธิปไตยน่านฟ้าไทย
แต่กองทัพอากาศกลับถูกสื่อไร้จรรยาบรรณทำข่าวบิดเบือนว่าส่ง F-16
ไปสกัดกั้นอากาศไร้คนขับขึ้นลงทางดิ่ง VTOL UAV ของ กรมแผนที่ทหาร กองทัพไทย
พวกเดียวกันเปลืองภาษีประชาชน
คือจะบินขึ้นหรือไม่ก็จะทำข่าวโจมตีทหารอากาศไทยครับ
(แน่นอนว่ามันไม่จริง!
แต่ในประเทศที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบมักง่ายสบายเกินตัวตามแนวคิดว่า
"เรื่องนี้ฉันต้องรู้ไหม!?"
มักจะเชื่อสิ่งที่สื่อต่างๆบอกให้พวกเขาเชื่อแบบเข้าใจง่ายๆ
ซึ่งสื่อเหล่านี้ก็มักมีคนบอก(หรือจ่ายค่าจ้าง)อีกทีว่าต้องทำรายงานข่าวอะไรที่ให้ประชาชนเชื่อ
และในยุคสื่อสังคม online
นี้ใครก็ทำตัวเป็นสื่อได้ตั้งแต่ผู้ป่วยโรคจิตเภท(Schizophrenia)
จนถึงองค์กรอาชญากรรมและกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นภัยสังคม
และการใช้สื่อไร้จรรยาบรรณขาดความรับผิดชอบเหล่านี้
พวกผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองส่วนหนึ่งได้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลทางสังคมหรือเป็นตัวแทนเสียงของประชาชนไปแล้ว
และออกมาพูดทัศนะคติของพวกตนอย่าง
"การที่ทหารไทยยังคงใช้อาวุธปะทะกับประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ที่มีแต่ป่าเป็นเรื่องปกติของพวกด้อยพัฒนาในประเทศโลกที่สามที่ยังก้าวไม่พ้นคำว่าชาติรัฐ"
คิดแบบนี้ยังจะมาเป็นตัวแทนของชาวไทยอีกทำไม?)
Royal Thai Air Force Clarifies Incident Involving Transport Aircraft
C-130 at Samui Airport
Air Marshal Prapas Sornchaidee, Spokesperson of the Royal Thai Air Force,
stated that on Friday, 2 May 2025, at approximately 14:30 hrs, a C-130
transport aircraft from the 601 Squadron, Wing 6, was conducting a routine
training flight on the route Don Mueang - Trang - Samui - Don Mueang. The
aircraft made a scheduled stop at Samui Airport.
During standard ground engine start procedures, the pilot detected a
malfunction in the braking system, which rendered the aircraft
uncontrollable. As a result, the aircraft moved forward beyond the
designated parking area and collided with a light pole before coming to a
stop near a row of bushes in front of the ramp.
The pilot immediately initiated emergency procedures and successfully
evacuated all passengers through the aircraft's rear exit. On board were 8
crew members and 54 passengers, totaling 62 personnel all of whom were
safely evacuated with no reported injuries.
Initial damage observed includes impact to the leading edge of the left wing
caused by the light pole, and contact at the aircraft's nose with a parking
marker and nearby vegetation.
The Royal Thai Air Force places the utmost importance on aviation safety and
the protection of personnel and the public. The incident did not impact
public safety or airport infrastructure. Office of RTAF Safety has been
assigned to conduct a thorough investigation to determine the root cause and
to implement preventive measures to avoid recurrence.
Office of the Spokesperson
Royal Thai Air Force
2 May 2025
กองทัพอากาศชี้แจงกรณีเครื่องบินลำเลียง บ.ล.8 ประสบอุบัติเหตุ ณ
สนามบินสมุย
พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 2
พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 14.30 น. เครื่องบินลำเลียงแบบที่ 8 (C-130)
สังกัดฝูงบิน 601 กองบิน 6 ปฏิบัติภารกิจฝึกบินในเส้นทาง ดอนเมือง - ตรัง -
สมุย - ดอนเมือง ได้จอดที่สนามบินสมุย
ระหว่างดำเนินการติดเครื่องยนต์ตามขั้นตอนปกติภาคพื้นดิน
นักบินตรวจพบข้อขัดข้องของระบบห้ามล้อและไม่สามารถควบคุมเครื่องบินได้
ทำให้เครื่องบินเคลื่อนที่ไปข้างหน้าออกนอกพื้นที่จอด
และเฉี่ยวชนเสาไฟฟ้าส่องสว่างลานจอดจำนวน 1 ต้น
แล้วหยุดที่บริเวณพุ่มไม้หน้าลานจอด
นักบินได้ดำเนินการตามมาตรการฉุกเฉินโดยสั่งอพยพผู้โดยสารทั้งหมดผ่านทางด้านท้ายของเครื่องบินได้อย่างปลอดภัย
โดยมีผู้ปฏิบัติงานบนเครื่อง 8 นาย และผู้โดยสาร 54 คน รวม 62 คน
ทุกคนปลอดภัยและไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ความเสียหายเบื้องต้นที่ตรวจพบ
ได้แก่ ส่วนชายหน้าปีกซ้ายเฉี่ยวชนเสาไฟฟ้า
และด้านหน้าของเครื่องบินชนกับป้ายแสดงจุดจอด และพุ่มไม้บริเวณสนามบิน
กองทัพอากาศให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยในการบิน
ความปลอดภัยของบุคลากรและประชาชนโดยรอบ
และขอยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนหรือโครงสร้างสนามบิน
ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนิรภัยทหารอากาศ (สนภ.ทอ.)
ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด
เพื่อค้นหาสาเหตุและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้อีกในอนาคต
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นล่าสุดกับเครื่องบินลำเลียงแบบที่๘ บ.ล.๘ Lockheed Martin
C-130H Hercules หมายเลข "60109" ระหว่างการฝึกบินเส้นทางกองบิน๖
ดอนเมือง-ตรัง-สมุย-ดอนเมือง ที่มีนักบินและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง ๘นาย
และผู้โดยสาร ๕๔นาย ณ สนามบินสมุย เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘(2025)
ซึ่งลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดปลอดภัยแค่ตัวเครื่องได้รับความเสียหายนั้น
แม้ว่าเครื่องบินลำเลียง บ.ล.๘ C-130H หมายเลข 60109 ที่เป็นเครื่องที่๙
จากทั้งหมด ๑๒เครื่องที่ถูกส่งมอบให้แก่กองทัพอากาศไทยในเดือนพฤศจิกายน
๒๕๓๕(1992) นั้น(https://aagth1.blogspot.com/2020/09/c-130h.html) จะสามารถซ่อมและบินกลับมาที่กองบิน๖ ได้
แต่อาจจะมองได้ว่าเครื่องบินเริ่มจะมีอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับความขัดข้องของตัวระบบของตนเองบ่อยครั้งขึ้นตามอายุการใช้งานมานาน
ทว่าแผนที่ได้การเปิดเผยจนถึงขณะนี้กองทัพอากาศไทยยังคงมองที่จะใช้งานเครื่องบินลำเลียง
บ.ล.๘ C-130H ในฝูงบิน๖๐๑ กองบิน๖
ดอนเมืองต่อไปตามโครงการปรับปรุงขีดความสามารถมาแล้วถึงระยะที่๓(https://aagth1.blogspot.com/2024/10/c-130h-elephant-walk.html)
ก็ยังมีเสียงร้องเรียนว่ากองทัพอากาศควรจะต้องพิจารณาการจัดหาเครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธีใหม่ทดแทน
บ.ล.๘ C-130H ได้แล้วครับ
(แต่ก็ไม่ต้องไปฟังพวกผู้ไม่หวังดีต่อชาติที่ออกมาค่อนแขะว่าจะกองทัพอากาศจะทำการฝึกบินไปทำไมต้องเอาผู้โดยสารไปตายตั้ง
๕๔คนด้วย
แต่พอปลอดภัยทั้งหมดไม่มีใครตายก็จะว่าทหารอากาศไทยห่วยใช้เครื่องเก่าๆไปจำหน่ายทิ้งเปลืองภาษีประชาชน
แต่พอจะตั้งโครงการจัดหาก็บอกว่าจะซื้อเครื่องบินใหม่ไปทำไม่เปลืองภาษีประชาชน
สรุปคือไม่ว่าจะยังไงก็จะด่าทหารอากาศให้ไปตายอย่างเดียว!)
Diehl Defence has intensified its partnership with Thailand-based defence
and security business RV Connex. Both companies signed a contract for the
first delivery of JRV-01 target drones and services for live firing tests
with Diehl Defence’s IRIS-T air-to-air-missile. (Diehl Defence, RV Connex,
My Own Photo)
Royal Thai Air Force (RTAF) press conference for Saab Gripen E/F procurement
scheduled for 4 June 2025. (Royal Thai Air Force/SAAB)
การประชุมเตรียมงานแถลงข่าว โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี
รองเสนาธิการทหารอากาศ/โฆษกกองทัพอากาศ/หัวหน้าคณะทำงานประชาสัมพันธ์และแถลงข่าวโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
เป็นประธานการประชุมเตรียมงานแถลงข่าวโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนต่อสื่อมวลชน
เพื่อเผยแพร่และดำเนินการด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ
ให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน
ณ ห้องประชุมฝ่ายเสนาธิการทหารอากาศ 3 เมื่อวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม
2568
ผลการประชุม: ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
-- บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ Meteor -- กับมิติใหม่ของการครองเวหา:
แนวทางจัดหา Gripen เพื่อขับเคลื่อนกองทัพอากาศไทยสู่ยุค Joint All-Domain
Operations--
๑. บทนำ
ในยุคสงครามสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด Joint All-Domain
Operations (JADO) และ Network-Centric Warfare
การจัดหาเครื่องบินขับไล่ต้องคำนึงถึงการบูรณาการข้ามเหล่าทัพและระบบบัญชาการควบคุมในทุกมิติ
การจัดหา Gripen ฝูงใหม่พร้อมขีปนาวุธ Meteor จึงไม่ใช่เพียงการทดแทนฝูงบิน
แต่คือการยกระดับโครงสร้างการรบสู่ระบบที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์
พร้อมรองรับปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตรตามมาตรฐานสากล เช่น Link 16 และ
AEW&C[1]
ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อขีดความสามารถด้านการยับยั้งภัยคุกคามและการครองความได้เปรียบทางอากาศในศตวรรษที่
๒๑
๒. Meteor: ขีปนาวุธเพื่อความเหนือกว่าทางยุทธวิธี
Meteor เป็นขีปนาวุธ BVRAAM ที่ใช้ Ramjet propulsion
สามารถยิงได้ไกลกว่า 150 กม. พร้อมระบบนำวิถีแบบ active radar seeker และ
two-way datalink ซึ่งเปิดให้เปลี่ยนเป้าหมายหรืออัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์จาก
AEW&C หรือศูนย์บัญชาการภาคพื้น[2] ขีดความสามารถนี้สะท้อนหลักการ
Network-Centric Warfare ที่ยืนยันว่าระบบรบแบบบูรณาการให้ “Effects of
Firepower” สูงกว่าระบบเอกเทศ[3]
๓. Gripen: ความพร้อมของ ทอ. ต่อการบูรณาการระบบ
Gripen C/D ที่ ทอ. ใช้อยู่สามารถอัปเกรดสู่มาตรฐาน MS20 เพื่อรองรับ
Meteor ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างตัวเครื่อง[4] Gripen
ใหม่ทั้งรุ่นปรับปรุงและ E/F จะส่งเสริมขีดความสามารถ ดังนี้:
ความลึกของการยิง: ยิงจากระยะไกลโดยไม่ต้องพึ่ง AEW&C
เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์: ผ่าน TDL กับ AEW&C และ UAV
สร้างระบบ “shoot from others’ eyes”
Force Multiplier:
เพิ่มประสิทธิภาพการโจมตีโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง
การผนวก Meteor กับ Gripen จึงเป็นการเสริมขีดความสามารถของ ทอ.
ในลักษณะเครือข่ายเชิงโครงสร้างสมัยใหม่
๔. การเข้าสู่โครงสร้าง JADO และปฏิบัติการร่วม
Gripen + Meteor วางรากฐานสู่ JADO ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย:
เชื่อมโยงกับระบบ Link 16 TDL ซึ่ง ทอ. ใช้อยู่แล้ว
รองรับการบูรณาการกับระบบ C2 ของ ทบ. และ ทร. ผ่านโครงการ
JADGE
สนับสนุนการฝึกร่วมกับพันธมิตร เช่น Cobra Gold และ Pitch Black
ภายใต้มาตรฐาน NATO[1]
แนวคิดนี้สะท้อนคำกล่าวของ Clausewitz ว่า “อำนาจการทหารจะไร้ผล
หากไม่ผนึกเป็นระบบ” (Organized power is more potent than mere
force)[5]
๕. ข้อพิจารณาเชิงยุทธศาสตร์
ความเหมาะสมเชิงเทคนิค: Gripen + Meteor
รองรับระบบเดิมและสามารถขยายขีดความสามารถในอนาคต
คุ้มค่าทางยุทธศาสตร์:
เสริมขีดความสามารถในการครองเวหาด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
ความพร้อมด้านยุทธการ: บูรณาการกับระบบภาคพื้น, AEW&C และ UAV
อย่างมีประสิทธิภาพ
การพึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ:
สวีเดนเปิดกว้างต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ตอบโจทย์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้านความมั่นคง
๖. บทสรุป
Meteor ไม่ใช่เพียงขีปนาวุธระยะไกล
แต่คือเทคโนโลยีรบอัจฉริยะที่ผสานระบบบัญชาการ เซนเซอร์
และข้อมูลข่าวกรองเข้าด้วยกันอย่างเต็มรูปแบบ การจัดหา Gripen
ฝูงใหม่ที่รองรับ Meteor
จึงเท่ากับการยกระดับกองทัพอากาศไทยเข้าสู่โครงสร้างการรบยุคใหม่ที่เน้นความเชื่อมโยงในทุกมิติ
ทั้งในประเทศและกับพันธมิตรระหว่างประเทศ
แนวทางนี้ไม่เพียงเพิ่มศักยภาพในการตอบสนองต่อภัยคุกคามเท่านั้น
แต่ยังเป็นการ ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ ที่สร้างความพร้อมในการปฏิบัติการแบบ
Joint All-Domain Operations (JADO) และเสริมสร้างอำนาจการยับยั้งทางอากาศ
(Air Deterrence) ในระดับภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน
CR : น.อ.รัตนสุทธิ สุทธิแย้ม & เพจ นภาธิปัตย์
ระหว่างนิทรรศการทางเรือและการบินนานาชาติ LIMA 2025 ใน Langkawi
มาเลเซียเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ บริษัท Diehl Defence
เยอรมนีและบริษัท RV Connex ไทยได้ลงนามสัญญาสำหรับการส่งมอบเป้าบินไอพ่น
JRV-01
ที่ออกแบบสร้างในไทยเพื่อใช้ในการทดสอบยิงจริงกับอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ
IRIS-T ที่ได้รับการติดตั้งกับเครื่องบินรบของกองทัพอากาศไทยหลายแบบ
นอกจากเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๒๐/ก Saab Gripen C/D ฝูงบิน๗๐๑ กองบิน๗
สุราษฎร์ธานี, เครื่องบินขับไล่ บข.๑๙/ก Lockheed Martin F-16AM/BM EMLU
ฝูงบิน๔๐๓ กองบิน๔ ตาคลี และเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๘ข/ค Northrop F-5E/F TH
Super Tigris ฝูงบิน๒๑๑ กองบิน๒๑ อุบลราชธานี
ที่ได้รับการรับรองการติดตั้งและมีทดสอบการการยิงจริงไปแล้ว
เข้าใจว่าการทดสอบยิงจริงของ IRIS-T กับเป้าบินไอพ่น JRV-01
ที่จะมีขึ้นในอนาคตจะเป็นการทดสอบการบูรณาการกับเครื่องบินขับไล่และฝึก บ.ขฝ.๒
T-50TH ฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ ร่วมกับบริษัท Korea Aerospace Industries(KAI)
สาธารณรัฐเกาหลีผู้ผลิต ซึ่งจะเห็นได้จากงานแสดงการบิน RTAF88 ก่อนหน้าและงาน
LIMA 2025 ล่าสุดที่มีการนำเสนอภาพวาดเครื่องบินขับไล่และโจมตี FA-50
ติดอาวุธปล่อยนำวิถี IRIS-T
เครื่องบินขับไล่ บ.ข.๒๐ข/ค Saab Gripen E/F ที่จะเข้าประจำการในฝูงบิน๑๐๒
กองบิน๑
โคราชในอนาคตก็จะเป็นเครื่องบินรบอีกแบบที่สามารถติดตั้งใช้อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ
IRIS-T ด้วย เช่นเดียวกับ บ.ข.๒๐/ก Gripen C/D
ที่ได้รับการปรับปรุงมาตรฐานชุดคำสั่ง MS20 บ.ข.๒๐ข/ค Gripen E/F
จะสามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยไกลสมรรถนะสูง Meteor
ได้ด้วย
ตามที่บริษัท Saab สวีเดนคาดหวังที่จะได้รับการลงนามสัญญาจัดหาเครื่องบินขับไล่
Gripen E/F จำนวน ๑๒เครื่องกับไทยในปี พ.ศ.๒๕๖๘ นี้(https://aagth1.blogspot.com/2025/04/saab-gripen-ef-2025.html)
ล่าสุดกองทัพอากาศไทยได้ประกาศที่จะแถลงข่าวโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
บข.๑๙/ก F-16A/B ADF ต่อสื่อมวลชนและประชาชนในวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘
นี่เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงว่าการจัดเตรียมเอกสารและการเจรจาข้อตกลงนโยบายข้อเสนอชดเชย(offset)
ต่างๆของกองทัพอากาศไทยสำหรับการจัดหา บ.ข.๒๐ข/ค Gripen E/F ระยะที่๑ จำนวน
๔เครื่อง วงเงินราว ๑๙,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($539 million) น่าจะเสร็จสิ้นแล้ว
เหลือการอนุมัติในระดับรัฐสภาไทยสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๙(2026)
ซึ่งทั้งหมดเป็นความคืบหน้าของการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของไทยครับ
Silent Voyage: Photos show a submarine attached to a flotilla with the
People's Liberation Army Navy (PLAN) under Chinese People's Liberation Army
(PLA) Northern Theater Command steaming in an undisclosed sea area during a
maritime training exercise. (China military)
สื่อกระแสหลักของไทยในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘
ได้กลับมารายงานเกี่ยวกับโครงการจัดหาเรือดำน้ำ S26T
จากจีนของกองทัพเรือไทยที่ล่าช้ายืดเยื้อมายาวนานอีกครั้งว่าในเดือนมิถุนายน
พ.ศ.๒๕๖๘
กระทรวงกลาโหมไทยอาจจะมีการตัดสินใจการแก้ไขสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการยอมรับเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า
CHD620 จีนแทน MTU 396 ที่เยอรมนีปฏิเสธการส่งออกให้จีน
นี่สอดคล้องตามมาโดยการเดินทางเยือนเยอรมนีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ของ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ได้เข้าพบกับ
Boris Pistorius รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี
ซึ่งในหัวข้อการพูดคุยนั้นรวมถึงการสอบถามความเป็นไปได้ในการขายเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า
MTU 396 แก่ไทยโดยตรงสำหรับนำมาติดตั้งกับเรือดำน้ำ S26T โดยตรง
ซึ่งทางรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนีได้ยืนยันเช่นเดียวกับที่รัฐบาลเยอรมนีให้คำตอบกับไทยมาหลายครั้งว่า"ไม่"
เพราะเยอรมนีต้องปฏิบัติตามมติคว่ำบาตรจีนของสหภาพยุโรป EU ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕
พฤษภาคม ๒๕๖๘ รัฐมนตรีกลาโหมจีน พลเรือเอก Dong Jun
ก็ได้ดินทางเยือนเยอรมนีและเข้าพบรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี Pistorius
เพื่อกระชับความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางทหารระหว่างจีนและเยอรมนี
กองทัพเรือไทยควรจะต้องยอมรับความจริงได้แล้วว่าการที่ตนจะมีเรือดำน้ำเข้าประจำการนั้นเป็นเรื่องที่
"เป็นไปไม่ได้"
สะท้อนได้จากการที่ตัวแทนรัฐบาลไทยได้มีความพยายามพูดคุยกับเยอรมนีหลายครั้งเกี่ยวกับการขายเครื่องยนต์
MTU 396 สำหรับเรือดำน้ำ S26T
ซึ่งเยอรมนีได้ให้คำตอบที่ชัดเจนมากพอมาแล้วหลายครั้งจนถึงการที่รัฐมนตรีกลาโหมไทยเดินทางเยือนเยอรมนีล่าสุดนี้
รวมถึงการพูดคุยกับจีนและปากีสถาน
ตราบใดที่กระทรวงกลาโหมไทยยังคงตัดสินใจที่จะเลื่อนและยืดเวลาตัดสินใจเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาแบบรัฐต่อรัฐกับจีนในการยอมรับเครื่องยนต์
CHD620 ไปเรื่อยๆ แทนที่จะยอมรับและติดตั้งเครื่องยนต์ CHD620
จนเรือดำน้ำสร้างเสร็จปล่อยลงน้ำได้สองลำแล้วแบบเรือดำน้ำชั้น Hangor ทั้ง
๘ลำของปากีสถานที่ต่อในจีน ๔ลำ และต่อในปากีสถาน ๔ลำ(https://aagth1.blogspot.com/2025/03/hangor-pns-shushuk.html)
แต่เรือดำน้ำ S26T ลำเดียวของกองทัพเรือไทยกลับต้องติดปัญหายอมรับเครื่องยนต์
CHD620 ไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น
ซึ่งการตัดสินใจยกเลิกโครงการไปเลยก็เป็นสิ่งที่กองทัพเรือไทยไม่ต้องการเช่นกัน
เพราะตนทราบดีว่าถ้าเรือดำน้ำ S26T
จีนถูกยกเลิกนี่จะเป็นความพยายามในการจัดหาเรือดำน้ำครั้งงสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของไทย
ฉะนั้นกองทัพเรือไทยไม่น่าจะยอมให้โครงการเรือดำน้ำ S26T ถูกยกเลิกโดยง่ายแน่
เพราะเรือดำน้ำได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองระดับภาคประชาชนไปนานแล้ว
หลังจากนี้การตั้งโครงการเรือดำน้ำใหม่ใดๆของกองทัพเรือจะไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายการเมืองและภาคประชาชนอีกต่อไป
ไม่ว่ากองทัพเรือจะเลือกเรือดำน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงและคุ้มค่าจากชาติตะวันตกแบบใด
หรือแม้แต่จะออกแบบสร้างเองในประเทศเหมือน เวียดนาม อินโดนีเซีย และพม่า ก็ตาม
อีกด้านคือจีนไม่ได้คิดว่าตนเป็นฝ่ายผิดสัญญากับไทยเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะจีนอ้างได้ว่าในสัญญาระบุถึงเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า MTU 396
หรือเทียบเท่า ซึ่งจีนก็แก้ปัญหาโดยการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า
CHD620 มาแทน MTU 396 ที่เยอรมนีไม่อนุญาตส่งออกให้จีนและปิดสายการผลิตไปแล้ว
ฉะนั้นทางไทยจะมาอ้างว่าเรือดำน้ำ S26T ไม่มีเครื่องยนต์ไม่ได้
และถ้าไทยเลือกที่จะยกเลิกโครงการที่ไทยชำระค่าใช้จ่ายไปแล้วราว
๘,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($243,902,480) จากราว ๑๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($411,585,435)
ก็จะวุ่นวายด้วย เพราะนอกจากจีนจะสามารถนำตัวเรือที่สร้างเสร็จไปแล้วร้อยละ๘๘
ในสิ้นปี ๒๕๖๗
ไปใช้เองหรือขายต่อประเทศอื่นได้แล้ว(แต่ไม่น่าจะใช่กัมพูชาตามที่มีข่าวลือ)
จีนไม่จำเป็นต้องชดเชยอะไรให้กับไทยที่เป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาด้วยไม่ว่าจะเป็นเรือคอร์เวตหรือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งครับ
(และไทยอาจจะต้องเสียค่าปรับหรือการชดเชยบางอย่างให้จีนแทนด้วยซ้ำ
แต่ข่าวลือต่างๆในสื่อสังคม online
รวมถึงกับกัมพูชาถ้าพิจารณาจริงๆมันเป็นไปได้น้อยที่จีนจะมอบเรือดำน้ำที่มีพื้นฐานจากเรือดำน้ำชั้น
Type 039B รุ่นเกือบล่าสุดที่กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนใช้เอง
ให้กับกองทัพเรือขนาดเล็กที่มีกำลังพลเพียง
๔,๘๐๐นายและมีเรือรบหลักส่วนใหญ่เป็นเรือตรวจการณ์ขนาดเล็ก
ถ้าจะขายให้ประเทศที่มีกองทัพเรือขนาดกลางและมีความพร้อมมากกว่าอย่างกองทัพเรือพม่าหรือกองทัพเรือบังคลาเทศที่จีนมอบเรือดำน้ำชั้น
Type 035 รุ่นเก่าที่ปลดประจำการแล้วให้ไปแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2021/12/type-035-ums-minye-kyaw-htin.html) หรือการเสนอขายต่อให้อินโดนีเซีย(https://aagth1.blogspot.com/2024/07/s26t.html) หรืออียิปต์ยังมีความเป็นไปได้มากกว่า)
The Royal Thai Navy (RTN)'s Krabi-class offshore patrol vessels (OPV),
OPV-552 HTMS Prachuap Khiri Khan participated IMDEX Asia 2025 exhibition
from 6 to 8 May at Changi in Singapore.
the Commander of Royal Thai Fleet (RTF), Royal Thai Navy attened to IMDEX
Asia 2025 and International Maritime Conference 2025 at Singapore on 5 May
2025. RTN delegation also get briefing from ST Engineering on MRCV and RTN
new frigate programme. (Royal Thai Navy)
The Royal Thai Navy (RTN)'s Krabi-class offshore patrol vessels (OPV),
OPV-551 HTMS Krabi participated Fleet Review as part of Langkawi
International Maritime and Aerospace (LIMA) Exhibition 2025 at Langkawi,
Malaysia from 20 to 24 May 2025. (Wang Hsiang, Royal Thai Navy)
ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ในฐานะผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ เข้าเยี่ยมคำนับ
ผู้บัญชาการทหารเรือสิงคโปร์
วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช
ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ในฐานะผู้แทน ผู้บัญชาการทหารเรือและคณะ
เข้าเยี่ยมคำนับ ผู้บัญชาการทหารเรือสิงคโปร์ ณ Pan Pacific Hotel
สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อเป็นการเจริญความสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างกัน
ในโอกาสที่เดินทางมาร่วมงาน IMDEX Asia 2025 และร่วมการประชุม International
Maritime Conference 2025
โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในด้านความร่วมมือ และการฝึกร่วมของ ทร. ทั้ง
2 ประเทศ รวมทั้งรับฟังบรรยายจาก ทร.สิงคโปร์ เกี่ยวกับโครงการ MRCV
(Multi Role Combat Vessel ) และรับฟังการบรรยายสรุปโครงการ
เรือฟริเกตสมรรถนะสูง ณ บริษัท ST Engineering สาธารณรัฐสิงคโปร์
"เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ขอรวบรวมภาพไฮไลท์ตลอดการเข้าร่วมกิจกรรมฝึกในงาน
IMDEX
ตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การฝึกปฏิบัติ การเยี่ยมชมเรือ
ไปจนถึงกิจกรรมสานสัมพันธ์
ขอบคุณทุกความร่วมมือที่ทำให้งานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี"
ร.ล.ประจวบคีรีขันธ์ เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ในงาน IMDEX 2025 แบบเคียงคู่กับ
HMS Spey เรือ OPV ชั้น River ของราชนาวีอังกฤษ
ภาพจาก CIC Team OPV 552
“ทัพเรือภาคที่ 3 เข้าร่วมกิจกรรม Fleet Review ในมหกรรม LIMA 2025 ณ
เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย”
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 พลเรือตรี ภุชงค์ รอดนิกร
รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 และ
ผู้บัญชาการหน่วยเรือร่วมแสดงนิทรรศการทางเรือและการบินนานาชาติ
ทัพเรือภาคที่ 3 พร้อมด้วยผู้บังคับการเรือหลวงกระบี่ และคณะฯ
ได้เข้าร่วมกิจกรรม Fleet Review
ในโอกาสการจัดมหกรรมการเดินเรือและอวกาศนานาชาติ ลังกาวี ประจำปี 2568
(Langkawi International Maritime and Aerospace Exhibition 2025: LIMA 2025)
ณ เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย
กิจกรรม Fleet Review ดังกล่าว มีเรือจากประเทศต่าง ๆ
เข้าร่วมรวมทั้งสิ้นจำนวน 35 ลำ จาก 15 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, ออสเตรเลีย,
กัมพูชา, ฟิจิ, อิตาลี, มัลดีฟส์, สิงคโปร์, ตุรกี, บังคลาเทศ, อินโดนีเซีย,
ญี่ปุ่น, ปากีสถาน, รัสเซีย, ไทย และสหรัฐอเมริกา
โดยมีผู้แทนระดับสูงจากรัฐบาลและกองทัพของประเทศต่าง ๆ
เข้าร่วมในพิธี
อาทิ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันประเทศ
ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารเรือแห่งชาติของประเทศมาเลเซีย
รวมทั้งผู้บัญชาการทหารเรือจากประเทศพันธมิตรอื่น ๆ
การเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือมิตรประเทศ
รวมทั้งเป็นโอกาสอันเหมาะสมในการแสดงศักยภาพและบทบาทของกองทัพเรือไทยในเวทีระหว่างประเทศ
ตลอดจนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการป้องกันประเทศ
และความมั่นคงทางทะเลร่วมกัน
ทั้งนี้ กองทัพเรือยังคงยึดมั่นในการดำเนินภารกิจด้านความมั่นคงในภูมิภาค
ตลอดจนการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ
เพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก
“เรือหลวงกระบี่เทียบท่าร่วมงาน LIMA 2025
พร้อมเปิดให้ประชาชนเยี่ยมชมเรือ”
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 เรือหลวงกระบี่ได้ทำการเทียบท่า ณ
ท่าเรือ RWL ประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมงาน Langkawi International
Maritime and Aerospace Exhibition 2025 (LIMA 2025)
และได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเยี่ยมชมเรือ
ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก
ในโอกาสนี้เรือหลวงกระบี่ได้รับเกียรติในการต้อนรับคณะ YDH DIG Datuk Seri
Ayob Khan bin Mydin Pitchay ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง Deputy
Inspector General of Police
โดยคณะได้เยี่ยมชมเรือและรับมอบของที่ระลึกจากฝ่ายไทย
สะท้อนถึงมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของทั้งสองประเทศ
โดยมี พลเรือตรี ภุชงค์ รอดนิกร รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3
และผู้บัญชาการหน่วยเรือร่วมแสดงนิทรรศการทางเรือ
ให้เกียรติเป็นผู้ให้การต้อนรับคณะอย่างอบอุ่น
เป็นตัวแทนแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของกองทัพเรือไทยในเวทีนานาชาติ
การเข้าร่วมงาน LIMA 2025 ในครั้งนี้
ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงขีดความสามารถของกองทัพเรือไทยในการปฏิบัติภารกิจร่วมกับประเทศพันธมิตร
หากยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่น
เสริมสร้างความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางทหารในระดับภูมิภาค
เรือหลวง กระบี่ในLIMA25
กองทัพเรือส่งเรือหลวง กระบี่ เข้าร่วมการสวนสนามทางเรือ Fleet review
ร่วมกับกองเรือนานาชาติ ที่เข้าร่วมกิจกรรมLIMA2025 ในปีนี้ที่เกาะลังกาวี
ประเทศมาเลเซีย
เรือหลวง กระบี่ เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งของกองทัพเรือ
ได้ออกเดินทางมายังประเทศมาเลเซียเพื่อเข้าร่วมงานLIMA2025
ที่จะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 24 พฤษภาคม นี้
เครดิตภาพถ่ายโดย H Flight และ Wang Hsiang
ร.ล.กระบี่
รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานแสดงนิทรรศการทางเรือและการบินนานาชาติ
“LIMA 2025” ณ เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 18 - 25 พฤษภาคม
2568
การเข้าร่วมในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงขีดความสามารถของกองทัพเรือไทย
แต่ยังเป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
สร้างความร่วมมือกับมิตรประเทศ และแสดงศักยภาพของ ร.ล.กระบี่
บนเวทีระดับนานาชาติ
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงกระบี่ทั้งสองลำของกองทัพเรือไทยก็มีโอกาสออกเดินเรือไปอวดธงที่ต่างประเทศอย่างต่อเนื่องในห้วงเดือนพฤษภาคม
พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ผ่านมา โดยเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์
ได้เข้าร่วมนิทศรรการการป้องกันประเทศทางทะเล IMDEX Asia 2025 ที่ ฐานทัพเรือ
Changi สิงคโปร์ระหว่างวันที่ ๖-๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘
ทั้งนี้พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ(RTF: Royal
Thai Fleet) และคณะยังได้รับฟังการบรรยายจากบริษัท ST Engineering
สิงคโปร์เกี่ยวกับโครงการเรือรบอเนกประสงค์ MRCV(Multirole Combat Vessel)
ที่กำลังสร้าง ๖ลำ และโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงสำหรับกองทัพเรือไทย
ทำให้มองได้ว่า
ST Engineering
สิงคโปร์กำลังสนใจที่จะเข้าแข่งขันในโครงการเรือฟริเกตใหม่ที่จะต่อในไทยเช่นกัน
ต่อมา เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ร.ล.กระบี่ ก็ได้เดินทางมาถึงเกาะ Langkawi
มาเลเซียเพื่อเข้าร่วมการสวนสนามทางเรือ Fleet Review
ในนิทรรศการทางเรือและการบินนานาชาติ LIMA 2025 ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๔ พฤษภาคม
พ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งคณะตัวแทนกองทัพเรือไทย กองทัพบกไทย
และกองทัพอากาศไทยก็ได้ชมงานแสดงและรับฟังการบรรยายข้อมูลจากบริษัทนานาชาติต่างๆที่เข้าร่วมงาน
LIMA 2025 เช่นกันด้วยครับ
Royal Thai Navy (RTN) held launching ceremony of the new Hydrographic Vessel
(822) at Asian Marine Service PCL (ASIMAR) shipyard in Laem Pha Pha
Subdistrict, Phra Samut Chedi District, Samut Prakan Province, Thailand on
19 May 2025. (Royal Thai Navy)
ฟังพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ
ให้สัมภาษณ์เรื่องเรือปฏิบัติการอุทกศาสตร์ลำใหม่ เรือฟริเกต และเรือดำน้ำ
วันนี้ 19 พฤษภาคม 2568 อู่ต่อเรือ บริษัท เอเชี่ยนมารีนเซอร์วิส จำกัด
(มหาชน) ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
Hanwha Ocean has introduced a new Frigate 4000 for the Royal Thai Navy's
(RTN's) requirements. at MADEX 2025 in Busan, a representative from Hanwha
Ocean's Naval Ship Global Marketing Team 1 described the Frigate 4000 as a
more advanced version of the Bhumibol Adulyadej-class frigate. (Hanwha
Ocean, Janes/Ridzwan Rahmat)
The Royal Thai Naval Dockyard (RTND) , Royal Thai Navy (RTN) announced a
plan to procurement for one main diesel engine MTU 16 V 1163 M94 for FFG-471
HTMS Bhumibol Adulyadej guided missile frigate on fiscal year 2025 budget
for around 240,750,000 baht ($7,371,404) by specific method.
พิธีปล่อยเรือปฏิบัติการอุทกศาสตร์ลำใหม่ทดแทน เรือหลวงสุริยะ(ลำที่๒) ณ
อู่ต่อเรือบริษัท ASIMAR ไทย ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม
พ.ศ.๒๕๖๘ โดยหลังการทดลองเรือในทะเลจะมีกำหนดที่จะส่งมอบในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๘
นั้นเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศของไทยอย่างต่อเนื่องและยาวนานของกองทัพเรือไทย
พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือไทย
ให้สัมภาษณ์สื่อในพิธีเกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการจัดหาเรือฟริเกตใหม่ระยะที่๑
วงเงิน ๑๗,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($533,617,930) งบประมาณผูกพันปี
พ.ศ.๒๕๖๙-๒๕๗๕(2026-2032) จำนวน
๑ลำที่จะต่อในไทยที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของรัฐบาลไทยและสภาผู้แทนราษฎรไทยในปีงบประมาณ
พ.ศ.๒๕๖๙(2026) ว่ากองทัพเรือยังคงยืนยันที่จะขอสร้างเรือฟริเกตใหม่ในไทย ๒ลำ
เพื่อให้มีจำนวนเพียงพอต่อเนื่องกับความต้องการทดแทนเรือเก่าและสะดวกต่อการซ่อมบำรุงและใช้ปฏิบัติงาน
ขณะที่เมื่อสื่อสอบถามเกี่ยวกับโครงการเรือดำน้ำ S26T นั้น
ผบ.ทร.กล่าวว่ากองทัพเรือได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอแก่รัฐมนตรีกลาโหมทั้งคำตอบจากการสอบถามทางเยอรมนีเกี่ยวกับการไม่ส่งออกเครื่องยนต์
MTU 396 และกับปากีสถานที่เป็นผู้ใช้งานเรือดำน้ำชั้น Hangor
ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ CHD620
จีนรวมถึงข่าวลือจำนวนมากที่หาแหล่งที่่มาไม่ได้ในสื่อสังคม online
ซึ่งขอให้สื่อสอบถามกองประชาสัมพันธ์กองทัพเรือจะดีกว่า
เช่นเดียวกับงาน IMDEX Asia 2025 ที่สิงคโปร์ งาน DSEI Japan 2025 ที่ญี่ปุ่น
และงาน LIMA 2025 ที่มาเลเซียก่อนหน้า นิทรรศการทางเรือนานาชาติ MADEX 2025
ที่สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘
ก็เป็นอีกงานที่กองทัพเรือไทยส่งคณะนายทหารระดับสูงไปดูงาน ซึ่งบริษัท Hanwha Ocean สาธารณรัฐเกาหลีได้เสนอแบบเรือฟริเกต Frigate 4000
ใหม่ของตนสำหรับกองทัพเรือไทยที่ถูกอธิบายว่าเป็นแบบเรือที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นของเรือฟริเกตชุดเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
อย่างไรก็ตามในปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ Website
แผนการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพเรือไทยได้เผยแพร่ประกาศของ กรมอู่ทหารเรือ
อร.(Royal Thai Naval Dockyard) เกี่ยวกับโครงการจัดซื้อเครื่องจักรใหญ่ดีเซล
MTU 16 V 1163 M94 จำนวน ๑เครื่อง วงเงิน ๒๔๐,๗๕๐,๐๐๐บาท
สำหรับเรือฟริเกตเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘
ตามคุณลักษณะของเรือฟริเกต ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช
ติดตั้งเครื่องจักรใหญ่เครื่องยนต์ดีเซล MTU 16 V 1163 M94 เยอรมนี กำลังขับ
8,000shp จำนวน ๒เครื่อง และเครื่องยนต์ gas turbine แบบ General Electric
LM2500 สหรัฐฯ กำลังขับ 29,000shp จำนวน ๑เครื่องในรูปแบบ Combine Diesel and
Gas turbine(CODAG)
ตามมาตรฐานเรือรบสมัยใหม่เครื่องยนต์สามารถนำเข้าออกจากตัวเรือเพื่อซ่อมบำรุงเปลี่ยนอะไหล่ได้ครับ
(โดยที่สื่อหลักและสื่อไร้คุณภาพตามช่องทาง online
ต่างๆไม่มีรายใดที่สอบถามไปยังกองประชาสัมพันธ์กองทัพเรือไทย
การจัดหาเครื่องยนต์ MTU ๑เครื่องสำหรับ ร.ล.ภูมิพลอดุลเดช
ถูกเชื่อมโยงว่ามาจากการออกแบบเรือที่ไม่ดีของอู่เรือสาธารณรัฐเกาหลีที่ทำให้เครื่องยนต์เกิดไฟไหม้ในปี
พ.ศ.๒๕๖๗
และทำให้กองทัพเรือไทยอาจจะพิจารณาไม่จัดหาเรือฟริเกตชุดเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดชลำที่สอง
ซึ่งดูตรงข้ามกับความจริงที่ว่าที่ผ่านมา ร.ล.ภูมิพลอดุลเดช ก็ออกเรือฝึกมาได้ตลอดในปีนี้(https://aagth1.blogspot.com/2025/04/rtaf2025.html)
หรือสร้างเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างกองทัพเรือจะจัดหาเครื่องยนต์สำหรับเรือฟริเกตเพื่อเป็นการเลี่ยงนำมาใส่เรือดำน้ำ
S26T ของตนที่เยอรมนีห้ามการส่งออกเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า MTU 396
ให้จีน ซึ่งตามข้อเท็จจริงมันเป็นเครื่องยนต์คนละแบบใช้แทนกันไม่ได้)
Royal Thai Marine Corps (RTMC) and British Army's the he 1st Battalion the
Royal Gurkha Rifles (1RGR) participated for the exercise Panther Gold 2025
at Marine Division, Phra Maha Jetsadaratchao Camp in Sattahip District,
Chonburi Province, Thailand with opening ceremony on 14 May 2025.
The 5th iteration biennial exercise between Royal Thai Armed Forces (RTARF)
with British Armed Forces hold by RTMC for first time concluded by closing
ceremony on 21 May 2025. (Royal Thai Marine Corps)
Mark Gooding, British Ambassador to Thailand, co-chair alongside
General Ukris Boontanondha, Deputy Chief of Defence Forces, at the opening
ceremony of exercise PANTHER GOLD 25.
Exercise PANTHER GOLD represents the deep and enduring defence
cooperation between the United Kingdom and Thailand. This edition is an
evolution of the previous iterations. This is the first time the Royal Thai
Marine Corps has taken part in this exercise.
The 1st Battalion the Royal Gurkha Rifles (1RGR) will operate as a Support
Company providing Recce, Mortar and Sniper elements. A more sophisticated
exercise than previous, an amphibious assault and Uncrewed Air System (UAS)
elements are also included.
The exercise is a testament to our shared commitment to adapting to emerging
threats and modernising our defence cooperation.
เมื่อวันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘ พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์
รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ฯพณฯ นายมาร์ค กูดดิ้ง (H.E. Mr. Mark Gooding
OBE) เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย
ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกผสม Panther Gold 2025 ณ
สนามหน้าหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี โดยมี
พลเรือตรี โยธิน ธนะมูล ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธิน ร่วมในพิธีฯ
โดยฝ่ายไทยประกอบด้วย กองอำนวยการฝึก ส่วนบังคับการควบคุมการฝึก, 1
หมวดจากกองพันระวังป้องกัน สำนักกองบัญชาการ กองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 40
นาย และ 1 กองร้อยจากกองพลนาวิกโยธิน จำนวน 160 นาย
ฝ่ายสหราชอาณาจักรจัดกำลัง 1 กองร้อยสนับสนุนการรบ จำนวน 95 นาย จากหน่วย
The First Battalion, The Royal Gurkha Rifles (1 RGR)
ซึ่งเป็นหน่วยรบของกองพันทหารราบแห่งกองทัพบกอังกฤษ
การฝึกผสม Panther Gold 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เมษายน–3 พฤษภาคม 2568
ณ พื้นที่ฝึกค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า กองพลนาวิกโยธิน จังหวัดชลบุรี
และพื้นที่ฝึกภาคสนาม ณ สนามฝึกกองทัพเรือ จังหวัดจันทบุรี
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถและเพิ่มพูนทักษะในการปฏิบัติการทางทหารร่วมกันระหว่างกองทัพไทยและกองทัพสหราชอาณาจักร
แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางยุทธวิธี ประสบการณ์ด้านการฝึก รวมถึงขนบธรรมเนียม
ประเพณี และวัฒนธรรม เพื่อกระชับความสัมพันธ์
และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน
เมื่อวันพุธที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ พลเรือเอก เสนอ เงินสลุง รอง เสนาธิการทหาร
(๓) และ (Mr.David Thomas)
รองเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย
ร่วมเป็นประธานในพิธีปิดการฝึกผสม Panther Gold 2025 ณ โรงเรียนบ้านจันทเขลม
อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โดยมี พลเรือตรี โยธิน ธนะมูล
ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธิน ร่วมในพิธีฯ
การฝึกผสม Panther Gold 2025 ระหว่างกองทัพไทยและกองทัพสหราชอาณาจักร
ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่๕
แล้วนั้นการฝึกปีนี้เป็นครั้งแรกที่นาวิกโยธินไทยเป็นเจ้าภาพ
ตามพิธีเปิดที่มีขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ณ
หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
โดยมีกำลังจากกองพันระวังป้องกัน พัน รวป.(Security Battalion)
กองบัญชาการกองทัพไทย บก.ทท หนึ่งหมวด(Platoon) ๔๐นาย
และกำลังจากกองพลนาวิกโยธิน พล.นย. หนึ่งกองร้อย(company) จำนวน ๑๖๐นาย
ขณะที่กองทัพบกสหราชอาณาจักร(British Army)
ได้จัดกำลังหนึ่งกองร้อยสนับสนุนการรบจาก กองพันที่๑ กรมทหารปืนเล็ก
Gurkha(1RGR: 1st Battalion, Royal Gurkha Rifles) จำนวน ๙๕นายเข้าร่วมการฝึก
ซึ่งในพิธีเปิดจะได้เห็นแสดงการใช้อาวุธมีด kukri
อันเป็นเอกลักษณ์ของทหารกรุข่า และมวยไทยของนาวิกโยธินไทย
จนถึงพิธีปิดเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘
นาวิกโยธินไทยได้จัดแสดงอาวุธที่พัฒนาและสร้างในไทยรวมถึงรถหุ้มเกราะล้อยางลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก
Chaiseri AWAV 8x8 และปืนใหญ่อัตตาจรล้อยาง M758 ATMG 155mm จากจากการฝึก
Panther Gold 2025 ความร่วมมือกับมิตรประเทศยังรวมถึงการแข่งขัน Sandhurst
Military Skills Competition 2025 ที่โรงเรียนนายร้อย West Point รัฐ New York
สหรัฐฯ ระหว่างวันที่ ๒๕ เมษายน-๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘
ที่กองทัพบกไทยส่งนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(CRMA:
Chulachomklao Royal Military Academy) และทหารพรานหญิง ๒คนเข้าร่วมครับ
Air and Coastal Defence Command (ACDC), Royal Thai Navy (RTN) conducted live firing for Dzhigit support launching unit (SLU) with two Igla-S Man-portable air-defence system (MANPADS) short-range surface-to-air missile system mount on Thailand domestic Thairung TR Transformer 4x4 family vehicle with snorkel and add-on armoured, testing systems of its FK-3 medium-range surface-to-air missile system and new domestic MARCUS-KK (Kamikaze/Kill) loitering munition/aerial target as part of RTN annual exercise Fiscal Year 2025 at Khao Lampi-Thai Mueang firing range, Thai Mueang District, Phang Nga Province in Andaman Sea, Thailand on 8 May 2025. (Royal Thai Navy)
ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568
ในวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2568 พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยมี พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การรับรอง ณ สนามฝึกยิงอาวุธ เขาลำปี - ท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา
การฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (FTX) ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติจริงของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เพื่อทดสอบความพร้อมขององค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ทดสอบความพร้อมและขีดความสามารถในการฝึกยิงอาวุธประจำหน่วย ในการป้องกันฝั่งและการป้องกันภัยทางอากาศ
ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำที่ รวมถึง เป็นการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธีด้วยปืนใหญ่รักษาฝั่ง ปืนต่อสู้อากาศยาน และ อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S สนับสนุนด้วยการตรวจการณ์จากอากาศยานไร้คนขับ (UAS) และการตรวจการทางเรือ ตลอดจนทดสอบขีดความสามารถในการติดตามภาพสถานการณ์ของหน่วยควบคุมบังคับ
รวมถึงความพร้อมในการเตรียมการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบ FK - 3 สำหรับการโจมตีเป้าหมายทางอากาศ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศ โดยจำลองสถานการณ์ฝึก เป็นการรับมือ ป้องกัน และโจมตี ฝ่ายข้าศึกที่เข้ามารุกล้ำอธิปไตยของชาติทางทะเล และน่านฟ้า ผลการฝึกยิงอาวุธ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับยุทโธปกรณ์ที่นำมาใช้ในการฝึกยิงทางยุทธวิธีนี้ประกอบด้วย ปืนใหญ่กลางกระสุนวิธีราบ ขนาด 130 มิลลิเมตร ปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 37 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 40/70 มิลลิเมตร อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S โดยทำการยิงจากรถ จำนวน 2 ลูก จากหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
และปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ATMG จากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
ในส่วนของอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S เป็นอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ มีหลักการจับเป้าหมายโดยอาศัยการตรวจจับ และรับรังสีอินฟราเรดที่แพร่ออกมาจากแหล่งความร้อนของตัวอากาศยาน อาวุธจะล็อคเป้าหมาย และพร้อมให้พลยิงปล่อยตัวจรวดออกมา เพื่อติดตามทำลายเป้าหมาย และเมื่อจรวดแล่นออกจากท่อยิง การทำงานจะเป็นไปในลักษณะ Fire and Forget
โดยเป้าที่ใช้ในการยิงอาวุธครั้งนี้เป็นเป้าฝึก Drone แบบปีกนิ่ง ที่พัฒนาโดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพเรือ
ด้าน อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบ FK-3 เป็นระบบอาวุธป้องกันภัยทางอากาศระยะปานกลาง-ไกล ที่สามารถทำงานได้ทุกสภาพอากาศทั้งกลางวัน และกลางคืน ถูกออกแบบมาให้สกัดกั้นเครื่องบินรบ, เครื่องบินปีกตรึง, อากาศยานปีกหมุน รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธ, อากาศยานไร้คนขับ, จรวดร่อน, ขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ รวมไปถึงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น
สามารถทำงานเป็นระบบ Stand alone เข้าประจำการในหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
ทั้งนึ้การฝึกกองทัพเรือประจำปี ถือเป็นการฝึกที่มีความสำคัญสูงสุดของกองทัพเรือ โดยใช้แนวความคิดในการฝึกว่า “รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น” ซึ่งในปีนี้เป็นการฝึกป้องกันประเทศโดยกำหนดสถานการณ์ตั้งแต่ในขั้นปกติสถานการณ์วิกฤตไปถึงขั้นป้องกันประเทศซึ่งมีการทดสอบและสร้างความคุ้นเคยทางด้านแนวความคิดหลักการหลักนิยมไปจนถึงขีดความสามารถของกำลังรบในแต่ละประเภทโดยส่วนต่างๆของกองทัพเรือ
ทั้งในกองอำนวยการฝึกและหน่วยรับการฝึกทุกหน่วยได้มีการเตรียมการ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอย่างเต็มกำลังความสามารถโดยนำวัตถุประสงค์การฝึกและหัวข้อการทดสอบที่กองทัพเรือกำหนดไปกำหนดเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะ ตามภารกิจของหน่วยและนำไปทดสอบในการฝึกปัญหาที่บังคับการ (CPX) และการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (FTX)
เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายคำสั่งและวัตถุประสงค์การฝึกที่ได้กำหนดไว้ โดยผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการฝึกในครั้งนี้ นอกจากกำลังพลที่เข้าร่วมการฝึกจากหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ จะได้ใช้ยุทธวิธีหลักนิยมในการรบร่วม และทดสอบแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือให้เป็นไปตามแผนป้องกันประเทศ เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญเพิ่มขึ้นจากการฝึกจริงแล้ว
ยังทำให้กองทัพเรือได้รับทราบถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกำลังพลในปัจจุบัน รวมทั้งการปฏิบัติการร่วมกันกับหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาขีดความสามารถสำหรับการปฏิบัติภารกิจ โดยเฉพาะในการป้องกันประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เผยโฉม MARCUS-KK โดรนพลีชีพ แบบแรกของกองทัพเรือ...เป็นโครงการวิจัยและพัฒนาต้นแบบอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็กที่เป็นอาวุธ โดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ (สวพ.ทร.) ซึ่งประสบผลสำเร็จในการสร้างอากาศยานไร้คนขับ MARCUS- B มาแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดสายการผลิต เพื่อส่งมอบให้กองทัพเรือนำไปใช้งาน
ได้ออกแบบวิจัย MARCUS-KK (Kamikaze / Kill) โดรนพลีชีพขนาดเล็กที่สามารถติดอาวุธได้ และเป็นต้นแบบนำไปสู่การผลิตต่อไป โดยโดรนรุ่นนี้นอกจากติดอาวุธแล้ว ยังสามารถใช้งานเอนกประสงค์ได้อีกเช่นใช้ตรวจการณ์ และใช้เป็นเป้าสำหรับฝึกยิงอาวุธ เป็นต้น
โดย MARCUS-KK ถือว่าเป็นโดรนพลีชีพแบบแรกที่สร้างโดยกองทัพเรือ และได้เปิดตัวใช้งานเป็นครั้งแรก ในการฝึกยิงอาวุธนำวิถี IGLA-S ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา สำหรับข้อมูลโดยสังเขปของ MARCUS-KK มีดังต่อไปนี้
ข้อมูลจำเพาะ MARCUS-KK (Kamikaze / Kill) ...
1. ความยาวระหว่างปลายปีก 2.3 เมตร, ความยาวระหว่างหัวถึงท้าย 1.6 เมตร
2. รูปแบบการทำงาน : ปีกนิ่ง, ปล่อยด้วยแท่นดีด (Catapult) หรือขว้างด้วยมือ (Hand Launch) ,ปฏิบัติภารกิจแบบลำเดียวหรือเป็นฝูง (บางลำเป็น Swarm Leader สามารถส่งภาพและรับคำสั่งจากผู้ตรวจการณ์หน้าเพื่อติดตามเป้าหมายแบบแม่นยำ)
3. ระบบขับเคลื่อน : มอเตอร์ไฟฟ้า
4. ความเร็วสูงสุดไม่ต่ำกว่า 120 กม./ชม., ระยะเวลาในการบินสูงสุดประมาณ 2 ชม.
5. ระบบการสื่อสาร : บางลำติดตั้งระบบการสื่อสารระยะไกล เป็นได้ทั้งแบบ RC และ/หรือ Telemetry พร้อมระบบส่งภาพ สำหรับสำหรับผู้ตรวจการณ์หน้า และมีระบบสื่อสารระยะใกล้สำหรับลำที่เหลือในฝูง
6. กล้องตรวจการณ์ (เฉพาะ Swarm Leader) : เลือกติดตั้งได้ทั้งแบบ EO หรือ EO/IR หรือ EO/IR/LRF, Automatic Object Tracking
7. น้ำหนักขึ้นบินสูงสุดไม่เกิน 14 กก. (น้ำหนักพร้อมขึ้นบินโดยยังไม่ติดตั้งอาวุธไม่เกิน 9 กก.)
MARCUS-KK โดรนพลีชีพ ผลงานของสวพ.ทร.นับเป็นก้าวใหม่ของการสร้างอากาศยานไร้คนขับ ที่สร้างขึ้นมาให้สอดคล้องกับสถานะการณ์และความต้องการในปัจจุบัน โดยสร้างในประเทศ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อเปรียบเทียบกับการจัดหาจากต่างประเทศ นับเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจในภูมิปัญญาของคนไทยยิ่งนัก...
หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง สอ.รฝ.(ACDC: Air and Coastal Defence Command) ได้ประสบความสำเร็จในการยิงอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้แบบเคลื่อนที่ ประกอบด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Igla-S ความจุสองนัดในแท่นยิงแบบ Dzhigit รัสเซียบนรถยนต์บรรทุกตระกูล Thairung TR Transformer 4x4 ไทยเสริมเกราะ และติดท่อ Snorkel สำหรับการเคลื่อนที่ในน้ำ ที่ทำการติดตั้งภายในไทย
และการทดสอบระบบอาวุธนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบเคลื่อนที่ FK-3 เป็นครั้งแรก ณ สนามฝึกยิงอาวุธ เขาลำปี-ท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา พื้นที่ทัพเรือภาคที่๓ ทร.๓(3rd NAC: Third Naval Area Command) ในฝั่งทะเลอันดามัน เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘
การฝึกยังได้เห็นความสำเร็จในการพัฒนาเป้าอากาศ/อากาศยานไร้คนขับพลีชีพ MARCUS-KK (Kamikaze/Kill) แบบใหม่โดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ สวพ.ทร.(NRDO: Naval Research and Development Office) ที่ใช้จำลองภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่าง Loitering munition ซึ่งทำให้กองทัพเรือไทยสามารถฝึกการใช้อาวุธจริงได้บ่อยครั้งขึ้น และยังเป็นผลงานที่สร้างเองในไทยด้วยครับ
The joint exercise ERAWAN TRIDENT 2025 in Thailand 12 to 30 March 2025 and 12-25 May 2025 by new establishing Joint Special Operations Command (JSOC); including 61 operators from Counter Terrorism Operations Center (CTOC), Royal Thai Armed Forces (RTARF); Special Warfare Command (SWCOM), Royal Thai Army (RTA), Naval Special Warfare Command (NSWC), Royal Thai Navy (RTN SEAL) and Marine Reconnaissance Battalion, Royal Thai Marine Corps (RTMC); Special Operations Regiment (SOR), Security Force Command (SFC), Royal Thai Air Force (RTAF); and Naresuan 261 Special Operation Unit and Police Aerial Reinforcement Unit (PARU), Border Patrol Police (BPP) ,Royal Thai Police (RTP) with US Navy SEAL Team 7 and 2nd Commando Regiment, Austrailan Army. (Royal Thai Armed Forces)
"ERAWAN TRIDENT" ผนึกกำลังชาติพันธมิตร! ยกระดับปฏิบัติการพิเศษ รับมือภัยคุกคามข้ามชาติ ...สุดยอดการฝึกร่วม ไทย-สหรัฐฯ-ออสเตรเลีย ต่อยอดขีดความสามารถหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
กองทัพไทยโดยศูนย์ปฏิบัติการพิเศษร่วม (JSOC) ได้จัดการฝึกร่วม/ผสมกับมิตรประเทศภายใต้ชื่อ “Erawan Trident” เพื่อเสริมสร้างความพร้อมและยกระดับขีดความสามารถของกำลังพลหน่วยปฏิบัติการพิเศษของไทยและพันธมิตรในการป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ที่ซับซ้อนและข้ามพรมแดน ภายใต้สถานการณ์ความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในภูมิรัฐศาสตร์โลก
พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงได้กำหนดนโยบายให้ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษร่วมปรับบทบาทจากศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล (CTOC) มาเป็นศูนย์ปฏิบัติการพิเศษร่วม (JSOC) เพื่อยกระดับขีดความสามารถของกำลังพลและความพร้อมในการปฏิบัติการพิเศษที่ครอบคลุมทุกมิติ
การฝึก “Erawan Trident” ได้รับการออกแบบอย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็นสองห้วงสำคัญ โดยห้วงแรกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12–30 มีนาคม 2568 ณ จังหวัดลพบุรี เน้นการฝึกพื้นฐานด้านการปฏิบัติการพิเศษของไทยทุกเหล่าทัพ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสร้างความเข้าใจและความเป็นหนึ่งเดียวกันใน 4 เสาหลักของการปฏิบัติการพิเศษ
ได้แก่ Indigenous Approach, Precision Targeting, Understanding and Influence และ Crisis Response สำหรับห้วงที่สอง ระหว่างวันที่ 12–25 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุมพื้นที่ กทม. จังหวัดเชียงราย จังหวัดชลบุรี และพื้นที่อื่นตามสถานการณ์การฝึก โดยในจังหวัดเชียงราย การฝึกเน้นภารกิจลาดตระเวนพิเศษ การติดตามเป้าหมาย และการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าวัสดุกัมมันตภาพรังสีและวัสดุนิวเคลียร์
พร้อมทั้งการเคลื่อนย้ายกำลังทางอากาศโดยเครื่องบิน C-130 ไปยังพื้นที่ปฏิบัติการ ในขณะที่จังหวัดชลบุรี ได้วางแผนปฏิบัติการ Visit, Board, Search and Seizure (VBSS) ต่อเป้าหมายเรือแม่ขนยาเสพติดและเรือคุ้มกันเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการปฏิบัติการพิเศษทางทะเล นอกจากนี้ยังได้จัดการทดสอบแผนการรับมือวิกฤตการณ์ร่วมกับหน่วยงานพลเรือน ทหาร และพันธมิตรจากต่างประเทศ
ภายใต้สถานการณ์สมมติที่สมจริง เพื่อเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการวิกฤติความมั่นคงระดับชาติ
การฝึกครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 61 นาย ประกอบด้วย ชุดปฏิบัติการพิเศษของ ศตก. หน่วยปฏิบัติการพิเศษจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยลว.พล.นย. ตลอดจนกำลังจาก SEAL Team 7 ของสหรัฐอเมริกา และ 2nd Commando Regiment ของออสเตรเลีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทั้งกองทัพไทยและสหรัฐอเมริกา
“Erawan Trident” มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารกับพันธมิตร พัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของกำลังพล แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติการร่วมรับมือภัยคุกคามทุกรูปแบบในภูมิภาค
เนื้อหาการฝึกครอบคลุมภารกิจหลักของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เช่น การต่อต้านการก่อการร้าย การปฏิบัติการพิเศษทางทะเล การปฏิบัติการพิเศษทางอากาศ การรบในเมือง การลาดตระเวนพิเศษ การยิงปืน การแพทย์สนาม การวางแผนและควบคุมการปฏิบัติ รวมถึงการสาธิตและฝึกจำลองสถานการณ์ เพื่อให้กำลังพลมีทักษะและความมั่นใจในการตัดสินใจและลงมือปฏิบัติจริง
การฝึกร่วมผสม “เอราวัณ” เป็นรหัสเรียกสำหรับการฝึกทางทหารที่มุ่งเน้นเสริมสร้างความพร้อมรบของหน่วยปฏิบัติการพิเศษของไทยและพันธมิตร สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมมือกับมิตรประเทศเพื่อความมั่นคงของภูมิภาคและโลก ตลอดจนเป็นเวทีสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะ เรียนรู้แนวทางใหม่ ๆ และสร้างเครือข่ายกับผู้ปฏิบัติงานจากต่างประเท
ศ ทั้งนี้ รายละเอียดการฝึกอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เพื่อความเหมาะสมและเหตุผลด้านความมั่นคง การฝึกครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพไทยในการรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและไม่หยุดนิ่ง เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อความมั่นคงของชาติและประชาชน
แนวคิดการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษร่วม(JSOC: Joint Special Operations Command) รูปแบบเดียวกองทัพต่างประเทศที่บูรณาการและสร้างความเป็นเอกภาพระหว่างศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล(CTOC: Counter Terrorism Operations Center) ร่วมกับหน่วยรบพิเศษและหน่วยปฏิบัติการพิเศษต่างๆของ กองทัพบกไทย กองทัพเรือไทย นาวิกโยธินไทย กองทัพอากาศไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย
ได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการกองทัพไทย พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี มาอย่างต่อเนื่องตามที่เห็นได้จากการฝึกร่วมต่างๆภายในประเทศ การปฏิบัติการจริงรวมถึงการปราบปรามการค้าและลำเลียงยาเสพติดทางชายแดนภาคเหนือของไทยในต้นปี พ.ศ.๒๕๖๘ เป็นต้นมา และล่าสุดในการฝึกร่วม/ผสมรหัส Erawan Trident 2025 กับสหรัฐฯและออสเตรเลียล่าสุดในห้วงที่สองระหว่างวันที่ ๑๒-๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘
การฝึกร่วมผสม Erawan Trident 2025 ครั้งนี้ได้เห็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองทัพเรือสหรัฐฯ US Navy SEAL Team 7 กองบัญชาการปฏิบัติการพิเศษสหรัฐฯ(USSOCOM: US Special Operations Command) และกรมคอมมานโดที่2(2nd Commando Regiment) กองทัพบกออสเตรเลีย(Austrailan Army) มาฝึกในไทยซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงความสัมพันธ์ทางทหารที่มียาวนานและแข็งแกร่งของทั้งสามชาติครับ