US DoD, Lockheed Martin finalise contract for nearly 300 F-35s
The F-35 production line at Fort Worth in Texas will be turning out Lot 18
jets from 2026, with Lot 19 to follow under a finalised production agreement
announced on 29 September. (Lockheed Martin)
กระทรวงการสงครามสหรัฐฯและบริษัท Lockheed Martin
สหรัฐฯได้บรรลุข้อตกลงการผลิตที่ครอบคลุมเครื่องบินขับไล่ F-35 Lightning II
Joint Strike Fighter(JSF) จำนวนเกือบ
300เครื่องสำหรับลูกค้าต่างๆในสหรัฐฯและนานาชาติ
ข้อตกลงของสายการผลิต Lot 18 ถึง Lot 19 ครอบคลุมเครื่องบินขับไล่ F-35 จำนวน
296เครื่องสำหรับกองทัพสหรัฐฯ, หุ้นส่วนนานาชาติ และลูกค้ารูปแบบการขาย Foreign
Military Sales(FMS) ต่างๆที่ถูกแบ่งอย่างเท่ากันทั้งสอง lots
การส่งมอบเครื่องบินขับไล่ F-35 ในสายการผลิต Lot 18-19 จะเริ่มต้นในปี 2026
ด้วยข้อตกลงการขยายสายการผลิตที่ประกาศเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 สัญญาวงเงิน
$12.5 billion สำหรับ Lot 18 ถูกประกาศโดยกระทรวงการสงครามสหรัฐฯในวันเดียวกัน
มีขึ้นบนพื้นฐานสัญญาที่ไม่กำหนดชัดเจนที่ประกาศในเดือนธันวาคม 2024
การประกาศสัญญานี้ครอบคลุมเครื่องบินขับไล่ F-35 จำนวน
148เครื่องประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่ F-35A จำนวน
40เครื่องสำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force),
เครื่องบินขับไล่ F-35B จำนวน 12เครื่อง และเครื่องบินขับไล่ F-35C จำนวน
8เครื่องสำหรับนาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps), เครื่องบินขับไล่ F-35C
จำนวน 9เครื่องสำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯ(US Navy),
เครื่องบินขับไล่ F-35A จำนวน 13เครื่อง และเครื่องบินขับไล่ F-35B จำนวน
2เครื่องสำหรับหุ้นส่วนโครงการความร่วมมือต่างๆที่ไม่เปิดเผย และเครื่องบินขับไล่
F-35A จำนวน 52เครื่อง และเครื่องบินขับไล่ F-35B จำนวน 12เครื่องสำหรับลูกค้า
FMS ต่างๆที่ไม่เปิดเผย
สัญญาแยกต่างหากวงเงิน $2.8 billion ถูกประกาศแก่บริษัท Pratt & Whitney
สหรัฐฯในเดือนสิงหาคม 2025 สำหรับเครื่องยนต์ไอพ่น turbofan แบบ F-135
รุ่นต่างๆในสายการผลิต Lot 18 จำนวน 141เครื่อง
มูลค่าวงเงินและจำนวนเครื่องบินในสายการผลิต Lot 19 ยังไม่รับการเปิดเผย
หุ้นส่วนโครงการความร่วมมือต่างๆประกอบด้วยออสเตรเลีย(https://aagth1.blogspot.com/2024/12/f-35a-72.html), แคนาดา(https://aagth1.blogspot.com/2023/01/f-35a.html), เดนมาร์ก(https://aagth1.blogspot.com/2023/09/f-35a.html),
อิตาลี(https://aagth1.blogspot.com/2024/09/f-35-eurofighter-typhoon.html), เนเธอร์แลนด์(https://aagth1.blogspot.com/2025/09/aim-120c-8-amraam.html) และนอร์เวย์(https://aagth1.blogspot.com/2025/07/jsm-f-35a.html)
ขณะที่ลูกค้า FMS ต่างๆคือ เบลเยียม(https://aagth1.blogspot.com/2025/07/f-35a-11.html,
https://aagth1.blogspot.com/2025/05/f-35a-34.html), สาธารณรัฐเช็ก(https://aagth1.blogspot.com/2024/01/f-35a-24.html), ฟินแลนด์(https://aagth1.blogspot.com/2024/10/f-35a-64.html),
เยอรมนี(https://aagth1.blogspot.com/2024/06/f-35a-8.html), กรีซ(https://aagth1.blogspot.com/2024/07/f-35a-20.html), ญี่ปุ่น(https://aagth1.blogspot.com/2025/08/ddh-184-kaga-f-35b.html), โปแลนด์(https://aagth1.blogspot.com/2024/12/f-35a-husarz.html),
สาธารณรัฐเกาหลี(https://aagth1.blogspot.com/2023/12/f-35a.html), สวิตเซอร์แลนด์(https://aagth1.blogspot.com/2022/09/f-35a-36.html) และโรมาเนีย(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/f-35a-32.html)
แยกออกไปต่างห่าง อิสราเอล(https://aagth1.blogspot.com/2021/12/lockheed-martin-f-35.html) และสิงคโปร์(https://aagth1.blogspot.com/2024/03/f-35a-8-f-35b-12.html) มีส่วนร่วมในรูปแบบ Security Cooperative Participant(SCP)
จนถึงปัจจุบันมีเครื่องบินขับไล่ F-35 ในทุกรุ่นจำนวนมากกว่า
1,230เครื่องที่ถูกส่งมอบแล้วในหลากหลายโครงการ โดยทำการบินรวมกันมากกว่า 1
ล้านชั่วโมงบินแล้วครับ(https://aagth1.blogspot.com/2025/03/f-35-1.html)