แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Littoral Combat Ship แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Littoral Combat Ship แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2566

สหรัฐฯจะปลดประจำการเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Nimitz สองลำและขายเรือรบ LCS ชั้น Independence สองลำให้ต่างประเทศ

Navy to Decommission 2 Carriers in a Row, 2 LCS Set for Foreign Sales, Says Long Range Shipbuilding Plan
USS Nimitz (CVN-68) leaves port on Dec. 3, 2022. US Navy Photo

USS Dwight D. Eisenhower (CVN-69) returns to Naval Station Norfolk, Jul. 18, 2021. US Navy Photo

The hulk of former Enterprise (CVN-65) on Aug. 26, 2022. USNI News Photo

Independence-variant littoral combat ship USS Jackson (LCS-6) pierside in Guam. US Navy Photo

กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) จะปลดประจำการเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Nimitz สองลำอย่างต่อเนื่อง และเรือ Littoral Combat Ship(LCS) ชั้น Independence สองลำจะปลดประจำการ
และขายให้ต่างประเทศในรูปแบบ foreign military sale(FMS)(https://aagth1.blogspot.com/2021/07/lcs-independence-lcs-2-uss-independence.html) ตามแผนการสร้างเรือพิสัยไกลของกองทัพเรือสหรัฐฯ

ตามแผนการยืดอายุการใช้งาน 13เดือน เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ CVN-68 USS Nimitz ที่ประจำการมานาน 48ปี จะถูกปลดประจำการจากกองทัพเรือสหรัฐฯในปี 2026 ช้าลงหนึ่งจากแผนในปี 2022(https://aagth1.blogspot.com/2022/04/cvn-68-uss-nimitz-2025.html)
เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz ที่ขึ้นระวางประจำการในปี 1975 ถูกสร้างสำหรับใช้งานเป็นเวลา 50ปี และการยืดอายุจะรีดเค้นให้เรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Nimitz ลำแรกสามารถวางกำลังได้เพิ่มอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

ในแถลงการณ์วันที่ 18 เมษายน 2023 ต่อ USNI News กองทัพเรือสหรัฐฯกล่าวว่า แผนของตนจะยืดอายุเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz ในฐานะส่วนหนึ่งของการบำรุงรักษาความพร้อม 5เดือนครึ่งที่จะทำให้เรือประจำการได้จนถึงเดือนพฤษภาคม 2026
"คาดว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดในช่วงที่เรืออยู่ในอู่เรือคือ $200 million ในการร้องของบประมาณในปัจจุบัน การคาดการณ์การยื่นของบประมาณช่วงสนับสนุนได้ถูกคำนวณสำหรับค่าใช้จ่ายที่สั้นกว่า 60วัน ทำสามารถปฏิยัติการได้เพิ่มขึ้นจากการปลดประจำการเดิมในเดือนเมษายน 2025
ดังนั้นการแทนที่กำหนดการเดิมในช่วงอู่เรือจะเป็นขอบเขตระยะเวลาที่เหมาะสม 5-1/2เดือน เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมต่อกองทัพเรือสหรัฐฯประมาณ $90 million สำหรับ(การยืดอายุการใช้งาน)" แถลงการณ์กล่าว

หลังการวางกำลังครั้งสุดท้ายของเรือ เรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-68 USS Nimitz จะเดินทางไปยังอู่เรือ Newport News Shipbuilding ของบริษัท Huntington Ingalls Industries(HII) สหรัฐฯ เพื่อจะเริ่มต้นกระบวนการเลิกการใช้งานเรือ(deactivation) ที่อู่เรือ Virginia
การปลดประจำการเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz จะมีขึ้นตามหลังเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ CVN-65 USS Enterprise ซึ่งปลดประจำการในปี 2012(https://aagth1.blogspot.com/2017/02/cvn-65-uss-enterprise.html)

ตั้งแต่ทศวรรษปี 2010s อู่เรือ Newport News ได้รับบทบาทเป็นที่จอดตัวเรือของ USS Enterprise เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ของกองทัพเรือสหรัฐฯ หลังจากเรือถูกถอดแกนของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 8เครื่องของเรือ
การเลิกใช้งานเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Nimitz ซึ่งมีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพียง 2เครื่องน่าจะเป็นงานที่ง่ายกว่า " USS Enterprise และ USS Nimitz เหมือนกันที่เรือมีขนาดใหญ่ เรือที่ใช้มาอย่างสมบุกสมบันนี้ประกอบด้วยวัสดุที่เป็นอันตรายต่างๆในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตามเรือเหล่านี้พิจารณาได้ว่ามีการออกแบบที่ต่างกัน การเข้าถึงที่จะเลิกการทำงานจะสะท้อนความแตกต่างเหล่านี้" Jamie Koehler โฆษกกองบัญชาการระบบเรือทางทะเล(NAVSEA: Naval Sea Systems Command) กล่าวกับ Breaking Defense

อู่เรือ Newport News มีประสบการณ์การยืดอายุตัวเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Nimitz ในฐานะส่วนหนึ่งของการเติมเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ครึ่งอายุการใช้งาน และดำเนินการซ่อมทำใหญ่ของเรือ
"ทีม Newport News Shipbuilding ของเรามีประสบการณ์ในการเลิกการทำงานและถอดเชื้อเพลิงเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ เรามองไปข้างหน้าที่จะยกระดับความเชี่ยวชาญและความสัมพันธ์ทางอุตสาหกรรมของเราต่อทีมกับกองทัพเรือสหรัฐฯ
เกี่ยวกับการเตรียมการการถอดถอนเชื้อเพลิงนิวเคลียร์และเลิกการใช้งานของเรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-68 USS Nimitz" Todd Corillo โฆษกของบริษัท HII กล่าวในแถลงการณ์ต่อ USNI News

เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz จะลบระยะห่างที่มีมายาวนานหลายปีระหว่างเรือ USS Nimitz กับเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Nimitz ลำที่สอง เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ CVN-69 USS Dwight D. Eisenhower ตามแผนที่วางไว้
โดยปราศจากการยืดอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน เรือบรรทุกเครื่องบิน CVN-69 USS Dwight D. Eisenhower(Ike) จะปลดประจำการในปี 2027 และน่าจะถูกนำมาจอดร่วมกับ USS Nimitz ที่อู่เรือ Newport News ควบคู่ไปกับเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Nimitz อย่างน้อย 1ลำหรือ 2ลำที่ซ่อมทำใหญ่
และเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Gerald R. Ford ใหม่สองลำ เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ CVN-80 USS Enterprise และเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ CVN-81 USS Doris Miller ที่กำลังสร้างที่อู่เรือ Virginia(https://aagth1.blogspot.com/2021/11/cvn.html

ยังรวมอยู่ในแผนการสร้างเรือพิสัยไกล กองทัพเรือสหรัฐฯประกาศความชัดเจนในชะตากรรมของเรือ LCS ชั้น Independence สองลำที่กองทัพเรือสหรัฐฯต้องการจะปลดประจำการก่อนหน้าอายุการใช้งานที่วางไว้ 25ปีของเรือ
เรือ LCS-6 USS Jackson(https://aagth1.blogspot.com/2022/05/carat-2022.html) และเรือ LCS-8 USS Montgomery ที่ขึ้นระวางประจำการในปี 2015 และ 2016 ตามลำดับ ขณะนี้ถูกทำเครื่องหมายสำหรับการขาย FMS แก่ต่างประเทศในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการปลดประจำการเรือ

กองทัพเรือสหรัฐฯกล่าวว่าการมุ้นเน้นให้เรือ LCS ชั้น Independence ในการทำภารกิจการต่อต้านทุ่นระเบิด(mine countermeasure) หมายความว่ากองทัพเรือสหรัฐฯต้องการเรือชั้นนี้ที่เพียง 15ลำ
"LCS-6 และ LCS-8 เดิมถูกกำหนดเป็นเรือสงครามเรือผิวน้ำ(surface warfare) อย่างไรก็ตาม(งบประมาณปี 2023) ได้จัดตั้งโครงการ LCS ใหม่ที่จะมีเรือ LCS ชั้น Freedom เพียง 6ลำที่อุทิศให้(สงครามผิวน้ำ)(https://aagth1.blogspot.com/2021/10/lcs-freedom-lcs-1-uss-freedom.html)
การอุทิศเรือ LCS แต่ละชั้นให้กับภารกิจเฉพาะทำให้สามารถกำหนดรูปแบบตัวเรือและพื้นที่ให้ความสนใจของกองเรือที่จะวางตำแหน่ง, ไม่ซับซ้อน และคล่องตัวในการจัดกำลังพล, การฝึก และการดำรงสภาพ" รายงานระบุ

"เรือ LCS ชั้น Independence ทั้งหมดที่มี 17ลำ ส่วนหนึ่งจะถูกปลดประจำการจากกองทัพเรือสหรัฐฯโดยที่สองลำของเรือเหล่านี้เป็นส่วนเกินต่อการสนับสนุนที่จำเป็นในการจัดรูปแบบภารกิจที่ผิดพลาด 
ด้วยเหตุนี้เรือชั้น Independence ที่อายุมากที่สุดสองลำได้รับการวางแผนเพื่อปลดประจำการในปีงบประมาณ 2024 นอกจากนี้เรือเหล่านี้ไม่มีลำใดที่เสร็จสิ้นการปรับปรุงอำนาจการสังหารและความอยู่รอด" รายงานกล่าวต่อ
ขณะที่กองทัพเรือสหรัฐฯได้มุ่งมั่นต่อแผนการปลดประจำการที่รวมอยู่ในแผนการสร้างเรือพิสัยไกล ส่วนที่เหลือของรายงานโดยการอนุญาติเข้าถึงได้ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ให้ภาพที่ไม่สมบูรณ์ของแผนการสร้างเรือในอนาคตของกองทัพเรือสหรัฐฯ

"กองทัพเรือสหรัฐฯกำลังดำเนินการประเมินกำลังเรือรบและรายงานความต้องการ(BFSAR: Battle Force Ship Assessment and Requirement Report) ที่นำมาใช้ในการอนุมัติการวางแผนสถานการณ์กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
สำหรับยุทธศาสตร์กลาโหมแห่งชาติ 2022(NDS: National Defense Strategy) การวิเคราะห์นี้จะยังไม่เสร็จสิ้นจนถึงเดือนมิถุนายน 2023 และไม่ได้ถูกแจ้งในรายงานนี้ 
ยุทธศาสตร์กลาโหมแห่งชาติ NDS 2022 จะขับเคลื่อนการวิเคราะห์ BFSAR จะถูกแจ้งในแผนการสร้างเรือประจำปีงบประมาณ 2025" ตามจดหมายจากรัฐมนตรีทบวงกองทัพเรือสหรัฐฯ Carlos Del Toro ประกอบรายงานต่อสภา Congress สหรัฐฯครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สหรัฐฯปลดประจำการเรือ LCS ชั้น Freedom ลำแรก LCS-1 USS Freedom

Navy Decommissions First Littoral Combat Ship USS Freedom




The former Freedom-variant littoral combat ship USS Freedom (LCS 1) departs Naval Base San Diego, Calif., on Sept. 30 in preparations to be towed to Naval Inactive Ship Maintenance Facility Bremerton. 
Freedom was decommissioned after more than 10 years of service. US Navy Photo


The crew of the Freedom-variant littoral combat ship USS Freedom (LCS 1) disembark the ship for the final time during Freedom’s decommissioning ceremony on Sept. 29 in San Diego. US Navy Photo

กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ปลดประจำการเรือ LCS(Littoral Combat Ship) ชั้น Freedom ลำแรก LCS-1 USS Freedom ที่ประจำการมามากกว่าสิบปีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2021
พิธีปลดประจำการมีขึ้น ณ ฐานทัพเรือ San Diego พิธีได้จำกัดเฉพาะกำลังพลประจำเรือปัจจุบันและอดีตลูกเรือตามมาตรการความปลอดภัยที่มีขึ้นจากการระบาดของ COVID-19

เรือ LCS-1 USS Freedom จะเข้าร่วมกองเรือสำรอง(Reserve Fleet) ตามที่เธอได้ปลดประจำการแล้วตอนนี้ เจ้าหน้าที่กองทัพเรือสหรัฐฯกล่าวกับ USNI ก่อนหน้าว่า
เรือ USS Freedom เป็นเรือ LCS ลำที่สองที่ปลดประจำการต่อจากลำแรก เรือ Littoral Combat Ship ชั้น Independence ลำแรก LCS-2 USS Independence(https://aagth1.blogspot.com/2021/07/lcs-independence-lcs-2-uss-independence.html)

กองทัพเรือสหรัฐฯเสนอการปลดประจำการเรือ LCS ชั้น Freedom และชั้น Independence สี่ลำแรกในการยื่นงบประมาณประจำปี 2021 ของตนในฐานะมาตรการลดค่าใช้จ่าย
ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐฯ พลเรือเอก Mike Gilday กล่าวในเวลานั้นว่า มันมีค่าใช้จ่ายประมาณ $2.5 billion ที่จะปรับปรุงเรือ LCS ทั้งสี่ลำ โดยโต้แย้งว่ากองทัพเรือสหรัฐฯควรจะใช้จ่ายเงินนี้กับระบบเรือใหม่มากกว่า

กองทัพเรือสหรัฐฯยังมองที่จะปลดประจำการเรือ LCS เพิ่มอีกสี่ลำในคำสั่งเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เรือ LCS ที่จะกำลังเผชิญกับการปลดประจำการประกอบด้วย
เรือ LCS ชั้น Freedom สามลำคือ LCS-3 USS Fort Worth, LCS-7 USS Detroit และ LCS-9 USS Little Rock และเรือ LCS ชั้น Independence ลำที่สอง LCS-4 USS Coronado

อย่างไรก็ตามร่างงบประมาณประจำปี 2022 ของคณะกรรมาธิการย่อยกลาโหม ของคณะกรรมาธิการการจัดสรรงบประมาณสภา Congress สหรัฐฯ 
ได้ตัดลดวงเงินงบประมาณการพัฒนาสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนติดหัวรบนิวเคลียร์แบบยิงจากเรือ ซึ่งจะขัดขวางกองทัพเรือสหรัฐฯจากการปลดประจำการเรือ LCS ชั้น Freedom

ข้อเสนอการปลดประจำการเรือ LCS ก่อนกำหนดได้ถูกคัดค้านจากสมาชิกรัฐสภา Congress สหรัฐฯบางราย รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นาง Elaine Luria จากมลรัฐ Virginia สังกัดพรรค Democratic ผู้ซึ่งตั้งคำถามการจัดหาเรือ LCS และปลดประจำการพวกเธอก่อนกำหนด
เรือ LCS-9 USS Little Rock เป็นเรือ LCS ชั้น Freedom ที่มีอายุน้อยที่สุดจากสามลำที่ถูกพิจารณาสำหรับการปลดประจำการ โดยเรือ USS Little Rock เข้าประจำการในปี 2017

เรือ LCS ชั้น Independence ลำแรก LCS-2 USS Independence ที่ปลดประจำการเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2021 หลังประจำการมา 11ปี ก็เช่นเดียวกับ เรือ LCS-1 USS Freedom ที่พิธีปลดประจำการไม่ได้เปิดต่อสาธารณเนื่องจากโรคระบาด
เรือชั้น Freedom และเรือชั้น Independence เคยถูกคาดว่าจะเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯเป็นเวลา 25ปี ตามที่ USNI เคยรายงานก่อนหน้า

เรือ LCS-1 USS Freedom เข้าประจำการเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2008 ใน Milwaukee มลรัฐ Wisconsin เรือถูกสร้างโดยอู่เรือบริษัท Fincantieri Marinette Marine
กำลังพลประจำเรือประกอบด้วยนายทหารชั้นประทวน 41นาย และนายทหารชั้นสัญญาบัตร 9นาย ตามข้อมูลสื่อประชาสัมพันธ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ Petangon

"ตามที่เรากล่าวอำลาต่อ USS Freedom ลูกเรือของเธอประกอบด้วยกลาสีที่ยอดเยี่ยม ฝึกมาอย่างดี และมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้ง ผู้ซึ่งอุทิศแก่การทำภารกิจให้ประสบความสำเร็จ, ปกป้องประเทศชาติ และปกป้องครอบครัวของพวกเรา
ในแง่นี้จิตวิญญาณของ USS Freedom จะยังคงอยู่" นาวาเอก Larry Repass ผู้บังคับการเรือ LCS-1 USS Freedom กล่าวกับ DVIDS ขณะนี้กองทัพเรือสหรัฐฯมีเรือ LCS ทั้งสองชั้่นรวม 21ลำ ตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯครับ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

สหรัฐฯปลดประจำการเรือ LCS ชั้น Independence ลำแรก LCS-2 USS Independence

U.S. Navy Decommissions Littoral Combat Ship ‘USS Independence’

Littoral combat USS Independence (LCS 2) is moored alongside the pier during its decommissioning ceremony at Naval Base San Diego. U.S. Navy photo by Mass Communication Specialist 1st Class Jason Abrams/Released







(Feb. 27, 2019) The Independence variant littoral combat ship USS Independence (LCS 2) sails in the eastern Pacific.



กำลังพลประจำเรือของเรือ LCS(Littoral Combat Ship) ชั้น Independence ลำแรก LCS-2 USS Independence ที่ได้รับการยอมรับมามากกว่าทศวรรษที่ประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ระหว่างพิธีปลดประจำการเรือ ณ ฐานทัพเรือ San Diego ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2021 
เนื่องจากข้อจำกัดด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยต่อพิธีสาธารณะขนาดใหญ่จากการแพร่ระบาดของ coronavirus Covid-19 พิธีปลดประจำการเรือ LCS-2 USS Independence ได้ถูกจัดขึ้นเป็นการภายในร่วมไปกับกำลังพลประจำเรือชุดปัจจุบันและอดีตกำลังพลประจำเรือ

ระหว่างพิธีปลดประจำการเรือ วิทยากรผู้กล่าวนำ พลเรือโท Roy Kitchener ผู้บัญชาการกองกำลังเรือผิวน้ำ(Naval Surface Force) กองเรือแปซิฟิก(Pacific Fleet) กองทัพเรือสหรัฐฯ
อวยพรให้กำลังพลประจำเรือ USS Independence ประสบโชคดีต่อการสู้กับลมและคลื่นในทะเลได้ต่อไป ตามที่พวกตนได้กล่าวอำลาต่อเรือของพวกตน

"กำลังพลเรือ USS Independence แบกรับความรับผิดชอบอันหนัก ตั้งแต่การนำเรือเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ เราของให้เธอ(เรือ)ทำหน้าที่สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ เพื่อทดสอบอุปกรณ์และแนวคิดที่อุบัติขึ้นใหม่ ลูกเรือประสำความสำเร็จในสิ่งนั้นและอีกมากมาย 
ปราศจากความพยายามและประสบการณ์ของพวกเขา เรือชั้นนี้คงจะไม่มาถึงจุดที่ปัจจุบันด้วยเรือ 6ลำถูกวางกำลังทั่วโลก การปรับปรุงเหล่านี้ส่วนใหญ่มีขึ้นในผลที่มาจากประสบการณ์และการให้ข้อมูลของลูกเรือจะเดินหน้านำพาเรือชั้น LCS เข้าสู่อนาคต" พล.ร.ท.Kitchener กล่าว

ผู้บังคับการเรือ(CO: Commanding Office) ขณะประจำการ ลูกเรือชั้นทอง(gold crew) ของ USS Independence นาวาเอก Michael Riley กล่าวว่าเป็นเพราะเหล่ากะลาสีที่ลุกขึ้นมาในโอกาสที่ทำให้ USS Independence รุ่งเรือง
"สิ่งที่ทำให้ USS Independence ประสบความสำเร็จไม่ใช่ผู้จัดการโครงการ, ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ผู้บังคับการเธอสองนาย แต่เป็นนายทหาร, หัวหน้าลูกเรือ และกะลาสี ชั้นน้ำเงิน(blue crew) และชั้นทองที่ทำให้เรือปฏิบัติการได้" น.อ.Riley กล่าว

"พวกเขาแบกรับภาระของการเปลี่ยนแปลงแนวทางของโครงการ เอกสารที่ไม่สมบูรณ์ หรือระบบที่ไม่เหมือนใคร และพาเรือออกสู่ทะเล พวกเขาซื่อสัตย์ในการชี้ให้เห็นเมื่อประสิทธิภาพของระบบหรือขั้นตอนการปฏิบัติงานล้มเหลวที่จะตามความคาดหวังของพวกเขา 
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาค้นพบขีดความสามารถที่ซ่อนในเรือ การนำอุปกรณ์และระบบกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์" น.อ.Riley ผู้บังคับการเรือ USS Independence กล่าว

เรือ LCS-2 USS Independence มีกำลังพลประจำเรือประกอบด้วยนายทหารสัญญาบัตร 9นาย และลูกเรือทหารชั้นประทวน 41นาย ถูกสร้างใน Mobile มลรัฐ Alabama โดยอู่เรือบริษัท Austal USA และเข้าประจำการเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2010 
LCS-2 USS Independence เป็นเรือลำที่6 ที่ได้รับการตั้งชื่อนี้ โดยตระหนักถึงรากฐานที่สำคัญของการก่อตั้งประเทศสหรัฐฯที่ชาวอเมริกันจำนวนมากได้ต่อสู้และเสียชีวิตเพื่อ

เรือ USS Independence ลำแรกเป็นเรือปืนสลุป 10กระบอกที่ประจำการในช่วงการปฏิวัติอเมริกา เรือ USS Independence ลำที่สองเป็นเรือกระบวนรบ(ship of the line) ลำแรกของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกปล่อยลงน้ำในปี 1814 ในฐานะเรือปืน 74กระบอก ต่อมาเปลี่ยนเรือเรือฟริเกตปืน 54กระบอก
เรือ USS Independence ลำที่สามเข้าประจำการในกองเรือขนส่งโพ้นทะเล(NOTS: Naval Overseas Transportation Service) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

เรือ USS Independence ลำที่สี่ คือเรือบรรทุกเครื่องบินเบา CVL-22 USS Independence เข้าประจำการในปี 1943 และได้รับรางวัล battle star 8ดวงระหว่างการรบในสงครามโลกครั้งที่สองก่อนปลดประจำการในปี 1946
เรือ USS Independence ลำที่ห้า เรือบรรทุกเครื่องบิน CV-62 USS Independence เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Forrestal ลำที่สี่และลำสุดท้าย เข้าประจำการในปี 1959 และปลดประจำการในปี 1998

LCS-2 USS Independence ได้เป็นเรือทดสอบและเรือฝึกและเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาการจัดตั้งแนวคิดการปฏิบัติการต่อรูปแบบและการวางกำลังปัจจุบันของเรือ LCS ในปัจจุบัน
การปลดประจำการเรือ LCS-2 สนับสนุนการริเริ่มกระบวนการปฏิรูปทางธุรกิจทั่วทั้งแผนก เพื่อเพิ่มเวลา, ทรัพยากร และกำลังคนเพื่อสนับสนุนการเพิ่มอำนาจการสังหารขึ้น

เรือ LCS ยังคงเป็นเรือรบผิวน้ำที่เร็ว, คล่องแคล่ว, และเป็นเครือข่าย ออกแบบเพื่อปฏิบัติการในสภาพแวดล้อมใกล้ชายฝั่ง ขณะที่สามารถทำภารกิจในมหาสมุทรเปิดและเอาชนะภัยคุกคามชายฝั่งในศตวรรษที่21 ได้
เรือ LCS ประกอบด้วยเรือสองชั้นคือเรือ LCS ชั้น Freedom และเรือ LCS ชั้น Independence ที่ออกแบบและสร้างโดยสองทีมภาคอุตสาหกรรม

ทีมเรือ LCS ชั้น Freedom นำโดยบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯ และเป็นตัวเรือเดี่ยวเหล็กกล้า monohull สร้างในอู่เรือของบริษัท Fincantieri Marinette Marine Corporation ใน Marinette มลรัฐ Wisconsin
เรือ LCS ชั้น Independence เป็นเรือแบบ trimaran โลหะ aluminum เดิมสร้างโดยทีมที่นำโดยบริษัท General Dynamics Bath Iron Works สหรัฐฯสำหรับ LCS-2 และ LCS-4 USS Coronado ปัจจุบันเรือชั้น Independence ถูกสร้างโดยอู่เรือบริษัท Austal USA สหรัฐฯที่ Mobile มลรัฐ Alabama 

เรือ LCS ถูกติดตั้งด้วยชุดภารกิจ(สร้างขึ้นจากระบบารกิจและอุปกรณ์สนับสนุน) ที่วางกำลังยานมีคนขับและไร้คนขับและระบบตรวจจับ ในการสนับสนุนภารกิจการต่อต้านทุ่นระเบิด, สงครามปราบเรือดำน้ำ หรือสงครามผิวน้ำ 
หลังการปลดประจำการเรือ LCS-2 USS Independence เรือ LCS ทั้งสองชั้นจำนวน 22ลำจะยังคงประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯต่อไปครับ(https://aagth1.blogspot.com/2019/09/aumx-2019-asean.html, https://aagth1.blogspot.com/2018/06/nsm-lcs.html)

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561

อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ NSM นอร์เวย์ได้ถูกเลือกสำหรับเรือ LCS สหรัฐฯ

Raytheon Awarded LCS Over-the-Horizon Anti-Surface Weapon Contract; Deal Could be Worth $848M
An undated photo of a Kongsberg Naval Strike Missile in flight. Kongsberg Photo

https://news.usni.org/2018/05/31/raytheon-awarded-lcs-horizon-anti-surface-weapon-contract-deal-worth-848m

อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ Naval Strike Missile(NSM) ที่พัฒนาโดยบริษัท Kongsberg นอร์เวย์ ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการสำหรับโครงการ Over-the-Horizon Weapon System(OTH-WS)
เพื่อติดตั้งกับเรือ Littoral Combat Ship(LCS) ทั้งสองชั้นของกองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ตามที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯหรือ Pentagon ประกาศสัญญาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา

สัญญาวงเงิน $14.8 million กับบริษัท Raytheon สหรัฐฯซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Kongsberg นอร์เวย์ในการเสนออาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ NSM แข่งขันในโครงการ OTH-WS
จะเป็นการจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีชุดแรกสำหรับใช้งานร่วมกับเรือ LCS ชั้น Freedom และชั้น Independence เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณปี 2018 ของสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและพัฒนา วงเงินทั้งหมดสามารถเพิ่มเป็น $847.6 million ถ้าสัญญาทั้งหมดได้รับการดำเนินการ

สัญญาการจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ Kongsberg NSM นอร์เวย์สำหรับ "อาวุธปล่อยนำวิถีในชุดบรรจุติดตั้งเข้าสู่ระบบแท่นยิงและชุดควบคุมการยิงเดี่ยว"
สัญญาไม่ได้ระบุว่าจะมี NSM จำนวนกี่นัดที่จะจัดหาตามวงเงิน แต่ USNI เข้าใจว่าสัญญาที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมจะมีการจัดหาซื้อ NSM จำนวนหลายนัด

อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำความเร็วต่ำกว่าเสียง NSM ได้ถูกนำเข้าประจำการในกองทัพเรือนอร์เวย์(Sjøforsvaret, Royal Norwegian Navy) ตั้งแต่ปี 2012 NSM มีพิสัยการยิงประมาณ 100nmi และมีราคาที่น้อยกว่าอาวุธปล่อนำวิถีร่อน Raytheon Tomahawk Block IV
(กองทัพเรือสหรัฐฯระบุราคา Tomahawk รุ่นโจมตีภาคพื้นดิน TLAM: Tomahawk Land Attack Missile ที่ $569,000 ต่อนัดในปีงบประมาณ1999 หรือ $868,000 ต่อนัดตามค่าเงินปี 2018)

บริษัท Raytheon สหรัฐฯ และบริษัท Kongsberg นอร์เวย์ได้ประกาศรวมเป็นหุ้นส่วนกันในการเข้าแข่งขันโครงการจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ OTH-WS ของกองทัพเรือสหรัฐฯในปี 2015
ทั้งสองบริษัทได้มีข้อตกลงร่วมกันในการประกอบและทดสอบอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ NSM ที่โรงงานของ Raytheon ในส่วนประกอบ Tucson มลรัฐฯ Arizona และในส่วนชุดยิงที่ Louisville มลรัฐ Kentucky สหรัฐฯ

ชัยชนะของ NSM โดยทีมร่วม Raytheon-Kongsberg เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อยในโครงการแข่งขัน Over-the-Horizon Weapon System ที่มีผู้แข่งขันเพียงรายเดียว
โดยก่อนหน้านั้นบริษัท Boeing สหรัฐฯ ได้เสนออาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ Harpoon Block II Plus และบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯได้เสนออาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ LRASM(Long-Range Anti-Ship Missile) เข้าแข่งขันในโครงการ

แต่ต่อมาทั้ง Boeing และ Lockheed Martin ได้ถอนตัวจากการแข่งขันในโครงการ OTH-WS ในปี 2017(http://aagth1.blogspot.com/2017/05/lockheed-martin-lrasm.html)
โดยทั้งสองบริษัทอธิบายว่าความต้องการของกองทัพเรือสหรัฐฯสำหรับโครงการ OTH ไม่ได้ให้การประเมินคุณค่าของขีดความสามารถด้านเครือข่ายที่บริษัทตนเสนอ ตามที่หลายแหล่งข่าวยืนยันกับ USNI

โครงการ OTH สำหรับเรือ LCS ได้ปรากฎขึ้นควบคู่กับโครงการเพิ่มขีดความสามารถการสังหารของกองเรือผิวน้ำกองทัพเรือสหรัฐฯที่มีการผลักดันในปี 2015
โดย NSM นอร์เวย์เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำแบบเดียวที่มีการทดสอบการยิงจริงจากเรือ LCS ชั้น Independence คือ LCS-4 USS Coronado เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2014 ครับ(http://aagth1.blogspot.com/2015/10/lcs.html)

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กองทัพเรือสหรัฐฯประกาศสัญญาจ้างออกแบบเรือฟริเกตใหม่ FFG(X) แก่5บริษัท

Navy awards design contracts for future frigate
A rendering of Lockheed Martin's concept for FFG(X), debuted at Surface Navy Association's National Symposium in January. (Courtesy of Lockheed Martin)
https://www.defensenews.com/naval/2018/02/16/navy-awards-design-contracts-for-for-future-frigate/

กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ได้ประกาศสัญญาจ้างแก่ 5บริษัทวงเงิน $15 million สำหรับการออกแบบแนวคิดโครงการจัดหาเรือฟริเกตใหม่ FFG(X)
ประกอบด้วยบริษัทของสหรัฐฯ 4บริษัทคือ Huntington Ingalls, Lockheed Martin, Austal USA, General Dynamics Bath Iron Works และบริษัท Fincantieri ในเครือ Leonardo อิตาลี

ซึ่งทุกบริษัทที่ได้รับสัญญาจะต้องส่งการเสนอแบบเรือที่สมบูรณ์แล้วภายใน 16เดือนข้างหน้า ก่อนที่กองทัพเรือสหรัฐฯจะเลือกรายละเอียดแบบเรือเพียงแบบเดียวและลงนามสัญญาการจัดหาเพื่อสร้างเรือ
ทุกสัญญาประกอบด้วยทางเลือกที่สามารถขยายวงเงินโครงการได้ระหว่าง $22-23 million ตามที่มีการประกาศสัญญา คาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 2019

กองทัพเรือสหรัฐฯต้องการที่จะประกาศสัญจัดหาเรือฟริเกต FFG(X) ลำแรกในปี 2020 โดยจะจัดหาเรือ 1ลำในปี 2020 และอีก 1ลำในปี 2021 ตามมาด้วยปีละ 2ลำในปีถัดไปจากนั้น
ตามแผนการสร้างเรือต่อเนื่องระยะ 30ปีล่าสุดของกองทัพเรือสหรัฐสำหรับความต้องการเรือรบผิวน้ำขนาดเล็กจำนวน 52ลำ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรือแบบ LCS(Littoral Combat Ship)

บริษัท Austal สหรัฐฯ และบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯได้แข่งขันเสนอแบบเรือฟริเกตใหม่ที่มีพื้นฐานพัฒนาจากเรือ LCS ของทั้งคู่ คือเรือ LCS ชั้น Freedom ของ Lockheed Martin และเรือ LCS ชั้น Independence ของ Austal
บริษัท Huntington Ingalls สหรัฐฯเสนอแบบเรือฟริเกตใหม่ที่ที่มีพื้นฐานพัฒนาจากเรือตัดน้ำแข็ง NCS(National Security Cutter) ชั้น Legend ของหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ(USCG: US Coast Guard)

บริษัท Fincantieri อิตาลีเสนอแบบเรือฟริเกต FREMM ซึ่งมีประจำการในกองทัพเรืออิตาลี(เรือฟริเกตชั้น Carlo Bergamini) กองทัพเรือฝรั่งเศส(เรือฟริเกตชั้น Aquitaine) กองทัพเรือโมร็อกโก(Mohammed VI) และกองทัพเรืออียิปต์(Tahya Misr เดิมคือเรือฟริเกต D651 Normandie ฝรั่งเศส)
บริษัท General Dynamics สหรัฐฯได้ร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท Navantia สเปนเสนอแบบเรือฟริเกต F100 ซึ่งซึ่งมีประจำการในกองทัพเรือสเปน(เรือฟริเกตชั้น Alvaro de Bazan) และกองทัพเรือออสเตรเลีย(เรือพิฆาตชั้น Hobart)

กองทัพเรือสหรัฐฯกำลังมองหาผู้สร้างเรือที่สามารถรักษาสมดุลด้านงบประมาณและขีดความสามารถ ตามการแถลงของกองบัญชาการระบบเรือทางทะเล(NAVSEA: Naval Sea Systems Command)
"ตลอดการเร่งขั้นตอนการจัดหาสำหรับโครงการ FFG(X) กองทัพเรือสหรัฐฯจะสร้างแรงจูงใจต่อภาคอุตสาหกรรมเพื่อสมดุลราคาและความสามารถ และบรรลุแนวทางด้านราคาที่ดีที่สุดสำหรับผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน" แถลงของ NAVSEA กล่าวครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

กองทัพเรือสหรัฐฯประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงอาวุธปล่อยนำวิถี Hellfire จากเรือ LCS ชั้น Freedom


ATLANTIC OCEAN—Three Longbow Hellfire Missiles are fired from USS Detroit (LCS 7) as part of a ripple shot completed during structural test firing (STF) on Feb. 28, 2017, off the coast of Norfolk, Virginia.
The STF is part of the developmental test program for the Surface to Surface Missile Module.


ATLANTIC OCEAN—A Longbow Hellfire Missile is fired from Littoral Combat Ship USS Detroit (LCS 7) on Feb. 28 as part of a structural test firing of the Surface to Surface Missile Module (SSMM).
The test marked the first vertical missile launched from an LCS and the first launch of a missile from the SSMM from an LCS.
Read more about this test here: https://go.usa.gov/xXaY4 (U.S. Navy/Released)

กองทัพเรือสหรัฐฯประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงทางโครงสร้างครั้งแรกของอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น Surface to Surface Missile Module(SSMM) จากเรือ Littoral Combat Ship ชั้น Freedom คือ LCS-7 USS Detroit เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ชายฝั่ง Norfolk มลรัฐ Virginia
การทดสอบยิงอาวุธปล่อยนำวิถีจากระบบ SSMM นี้เป็นครั้งแรกที่เรือ LCS มีขีดความสามารถในการใช้แท่นยิงแนวดิ่ง Vertical Launching System(VLS) ทำการยิงอาวุธปล่อยนำวิถี
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาทดสอบสำหรับสงครามผิวน้ำ Surface Warfare(SUW) ชุดภารกิจ Mission Package(MP)
"การทดสอบบนเรือ USS Detroit เป็นหลักที่สำคัญในความก้าวหน้าด้านขีดความสามารถของเรือ LCS ไม่แต่เฉพาะในกลุ่มเรือ LCS แต่กับกองเรือทั้งหมด เช่นที่ภัยคุกคามจากเรือขนาดเล็กทวีความรุนแรงขึ้น SSMM จะทำให้เรือเราเพิ่มอำนาจสังหาร"
นาวาโท Michael Desmond ผู้บังคับการเรือ USS Detroit กล่าว

ระบบอาวุธ SSMM ได้นำอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้นนำวิถี Radar AGM-114L-8A Longbow Hellfire ของกองทัพบกสหรัฐฯมาทำการยิงจากแท่นยิง VLS  เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านภัยคุกคามจากเรือขนาดเล็กที่เกี่ยวข้องใน SSMM Increment 1
SSMM เป็นการส่งมอบขีดความสามารถอีกขั้นที่ถูกรวมในแผน SUW MP ขั้นมาตรฐาน Increment 3 สำหรับเรือ LCS ซึ่งได้มีการประกาศความพร้อมปฏิบัติการรบขั้นต้น(IOC: Initial Operational Capability) มาตรฐาน Increment 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014
หลังการรับมอบระบบปืนใหญ่กล Mk 46 Gun Mission Module 30mm 2แท่น และเรือยางท้องแบน RHIB(Rigid Hull Inflatable Boat) ขนาด 11m Maritime Security Module สำหรับชุดตรวจค้นเรือVBSS(Visit Boarding Search and Seizure)
"นี่เป็นความก้าวหน้าอีกขั้นในทางบวกในการวางระบบของการเพิ่มระดับขั้นสำหรับ SUW MP SSMM เป็นส่วนช่วยที่สำคัญยิ่งของ SUW MP และเหตุการณ์นี้ยังทำให้เราเคลื่อนที่อย่างปลอดภัยเข้าสู่การทดสอบการพัฒนาและการนำขีดความสามารถนี้ติดตั้งบนเรือ LCS ต่อไป"
นาวาเอก Ted Zobe ผู้จัดการโครงการ  Mission Modules กล่าว

เมื่อระบบอาวุธใหม่หรือระบบที่แตกต่างติดตั้งบนเรือรบของกองทัพเรือเป็นครั้งแรก การทดสอบยิงทางโครงสร้าง Structural Test Fire(STF) เป็นสิ่งที่ระบุว่ามีความจำเป็น
ถ้าโครงสร้างของเรือ, อุปกรณ์ และระบบสามารถทำงานได้เป็นที่น่าพอใจหลังมีการมีการยิงอาวุธ และไม่มีกำลังพลได้รับอันตรายใดๆ เช่นแก๊ซพิษ หรือระดับเสียงที่เป็นอันตรายระหว่างทำการยิงอาวุธ
โดยเฉพาะการทดลอง STF เป็นการยืนยันรับรองว่าโครงสร้างของเรือและอุปกรณ์สามารถติดต่อกันได้กับอาวุธ และตัวเรือสามารถทดต่อแรงสั่นสะเทือน, แรงอัดกระแทก, เสียง, แก๊ซ และแรงระเบิดอื่นๆจากอาวุธเมื่อทำการยิงได้
ผลที่ได้จากการทดลอง STF จะถูกนำไปใช้ในการประเมินค่าและในเอกสารความต้องการความปลอดภัยต่อไป
Surface Warfare Mission Package จะถูกทดสอบการพัฒนาบนเรือชั้น Freedom อีกลำคือ LCS-5 USS Milwaukee ภายหลังในปีนี้ และจะสิ้นสุดการทดลองปฏิบัติการและมีความพร้อมรบขั้นต้นในปี 2018

การทดสอบพัฒนาทางวิศวกรรมการดัดแปลงอาวุธปล่อยนำวิถี Longbow Hellfire สำหรับใช้บนเรือ LCS นั้นประสบความสำเร็จในการทำงานเมื่อเดือนมิถุนายน 2015
ระหว่างการทดสอบจากฐานยิงที่ชายฝั่งมลรัฐ Virginia Longbow Hellfire ประสบความสำเรจในการทำลายชุดเป้าหมายเรือขนาดเล็กที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่
โดยระบบสามารถพุ่งชนทำลายเป้าหมายได้ 7เป้าหมายจากทั้งหมด 8เป้า ซึ่ง Hellfire 1นัดที่พลาดเป้านั้นมาจากปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของตัวอาวุธปล่อยนำวิถีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

General Atomics เปิดตัวปืน Railgun สำหรับเรือ LCS

SNA 2016: General Atomics Unveils Multi Mission Medium Range Railgun for LCS 
Poster on General Atomics stand at SNA 2016 showing a Freedom variant LCS fitted with the Multi-mission Medium Range Railgun Weapon System
http://www.navyrecognition.com/index.php?option=com_content&task=view&id=3455

การประชุมวิชาการแห่งชาติของสมาคมกองทัพเรือผิวน้ำ (SNA: Surface Navy Association) ประจำปี 2016 ซึ่งจัดขึ้นใกล้ Washington DC สหรัฐฯนั้น
General Atomics Electromagnetics สหรัฐฯได้เปิดตัวระบบอาวุธปืนแม่เหล็กไฟฟ้ารางคู่พิสัยกลางพหุภารกิจ หรือ Multi-mission Medium Range Railgun
โดยจากสื่อแผ่นพับและใบปิดที่แสดงในงาน SNA 2016 นั้นแสดงถึงภาพปืนใหญ่ Railgun ที่ถูกติดตั้งบนเรือ LCS (Littoral Combat Ship) ชั้น Freedom กองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งออกแบบโดย Lockheed Martin

จากข้อมูลในแผ่นพับและใบปิด ระบบปืน Railgun ดังกล่าวจะใช้กระสุนที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใกล้เคียงเท่ากับกระป๋อง Coke โดยใช้รูปแบบตัวปืนและป้อมปืนเหมือนปืนใหญ่เรือ BAE Systems 57mm
General Atomics กล่าวว่าได้มีการศึกษาพื้นที่บนดาดฟ้าเรือแล้วว่าสามารถติดตั้งระบบนี้ได้ เช่นเดียวกันที่แหล่งกำเนิดพลังงานของเรือ LCS นั้นเพียงพอสำหรับระบบปืน Railgun อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องมีการติดตั้ง Battery เพิ่มใต้ดาดฟ้าเรือ
ระบบปืนใหญ่ Railgun พิสัยกลางพหุภารกิจมีขีดความสามารถในการยิงสกัดกั้นอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนต่อต้านเรือผิวน้ำและขีปนาวุธต่อต้านเรือผิวน้ำด้วยอัตรายิง 10นัดต่อนาทีเพื่อเพิ่มอัตราสังหารเป้าหมายหลายนัดแบบต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่มากกว่านี้ในขณะนี้ครับ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กองทัพเรือสหรัฐฯจะติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นให้เรือ LCS ในปีหน้า

LCS To Get Missiles for Next Deployment
A Kongsberg Naval Strike Missile was launched in September 2014 from the littoral combat ship Coronado in a simple test demonstration.
Operational installations of the NSM and the Boeing Harpoon are expected to be made on the LCSs that will deploy in 2016.(Photo: MC2 Zachary Bell/US Navy)
http://www.defensenews.com/story/defense/naval/ships/2015/10/25/lcs-littoral-combat-ship-fanta-mission-module-surface-warfare-missile-harpoon-naval-strike-missile-kongsberg-norwegian-fort-worth-freedom-coronado-independence-navy/74477482/

กองทัพเรือสหรัฐฯมีแผนจะเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการรบของเรือแบบ Littoral Combat Ship (LCS) ทั้งเรือ LCS ชั้น Freedoom และเรือ LCS ชั้น Independence
ด้วยการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นที่มีขีดความสามารถในการยิงโจมตีเป้าหมายไกลเกินระยะเส้นขอบฟ้า (OTH: Over The Horizon) บนเรือ LCS

พลเรือตรี Pete Fanta ผู้อำนวยการแผนกสงครามผิวน้ำ(Surface Warfare) ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ Pentagon ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา
ได้กล่าวถึงแผนการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นระยะยิงไกลเกินเส้นขอบฟ้าไม่ระบุแบบกับเรือ LCS-1 USS Freedom และเรือ LCS-4 USS Coronado เมื่อถึงกำหนดการวางกำลังครั้งต่อไป
โดยตามกำหนดการแล้ว USS Freedom จะเข้าประจำการเพื่อวางกำลังในเขตมหาสมุทรแปซิฟิคตะวันช่วงไตรมาสแรกของปี 2016
ส่วน USS Coronado มีกำหนดการวางกำลังตามมาในช่วงไตรมาสสองหรือไตรมาสสามของปี 2016 เช่นกัน
"วัตถุประสงค์คือการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี OTH กับเรือ LCS ทุกลำที่เข้าประจำการวางกำลังในฐานปฏิบัติการส่วนหน้า เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2016
เช่นเดียวกันกับเรือ LCS ทุกลำที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างก่อนหน้าที่จะเข้าพิธีขึ้นระวางประจำการของเรือแต่ละลำ" พลเรือตรี Fanta กล่าว

เรือ LCS ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ทั้งชั้น Freedoom และชั้น Independence ยังไม่ได้รับการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น
หลังจากการยกเลิกโครงการระบบอาวุธปล่อยนำวิถี NLOS (Non-Line-of-Sight) ร่วมกับกองทัพบกสหรัฐฯ ในปี 2010
กองทัพเรือจึงตั้งโครงการความต้องการจัดหาระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นสำหรับติดตั้งกับเรือ LCS แต่ก็ยังไม่มีการเลือกแบบแต่อย่างใด
แม้ว่าจะไม่มีการระบุแบบระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นที่จะติดตั้งกับเรือ LCS ว่าเป็นแบบใดในขณะนี้
แต่แหล่งข่าวเชื่อว่าระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นที่จะติดตั้งกับเรือ LCS ในขั้นต้นน่าจะเป็น Kongsberg NSM (Naval Strike Missile) นอร์เวย์ และ Boeing Harpoon สหรัฐฯ
ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่าเป็นไปได้ที่กองทัพเรือจะทำการติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถีทั้งสองแบบกับเรือ LCS ทุกลำ โดยเรือแต่ละลำจะเลือกติดเพียงระบบเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง

RGM-84 Harpoon ของ Boeing สหรัฐฯนั้นเป็นระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นต่อต้านเรือผิวน้ำ ซึ่งเป็นระบบอาวุธหลักของเรือรบผิวน้ำกองทัพเรือสหรัฐฯตั้งแต่ปี 1970s
ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี Harpoon ได้มีการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในรุ่นใหม่ๆ ซึ่ง Boeing กำลังทำงานเพื่อพัฒนาระบบใหม่สำหรับการติดตั้งกับเรือและมีระยะยิงไกลขึ้น
ส่วน Kongsberg NSM นอร์เวย์นั้นเป็นระบบเดียวในขณะนี้ที่ทดสอบการยิงจริงจากเรือ LCS แล้ว ซึ่งมีการทดสอบการยิงจากแท่นยิงชั่วคราวที่ติดตั้งกับเรือ USS Coronado ไปเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2014
โดยมากเรือรบผิวน้ำจะติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้นต่อต้านเรือผิวน้ำในแท่นยิงแบบแฝดสี่รวมสองชุด รวมมีจรวดทั้งหมด 8นัด แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะสามารถติดตั้งกับเรือ LCS ได้สูงสุดกี่นัด
การประเมินขั้นต้นต้องการจะติดตั้งได้อย่างน้อย 8นัดต่อเรือหนึ่งลำ ในแท่นยิงบนดาดฟ้าเรือ ทั้งนี้ Lockheed Martin ผู้พัฒนาเรือ LCS ชั้น Freedom และ Austral ผู้พัฒนาเรือชั้น Independence ยังได้เสนอการติดตั้งแท่นยิงแนวดิ่ง VLS สำหรับแบบเรือ LCS ของตน
อย่างไรก็ตามการติดตั้วระบบอาวุธปล่อยนำวิถีแบบชุดบรรจุกล่องบนดาดฟ้าเรือนั้นจะมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาติดตั้งน้อยที่สุด ซึ่งเรือ LCS ยังจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงติดตั้งระบบสงครามต่อต้านเรือดำน้ำและทุ่นระเบิดเพิ่มเติมด้วย


เรือ LCS ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างในขณะนี้ทั้งเรือชั้น Freedom คือ LCS-5 USS Milwaukee มีกำหนดเข้าประจำการในวันที่ 21 พฤศจิกายน และเรือชั้น Independence คือ LCS-6 USS Jackson จะเข้าประจำการในวันที่ 5 ธันวาคม
โดยเรือ LCS ลำอื่นๆในเรือทั้งสองชั้นที่กำลังต่อเพิ่มคือชั้น Freedom กำลังถูกต่อที่อู่ Fincantieri Marinette Marine ใน Marinette มลรัฐ Wisconsin และชั้น Independence ที่อู่ Austal USA ใน Mobile มลรัฐ Alabama ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ซาอุดิอาระเบียวางแผนจัดหาเรือแบบแผนเรือชั้น Freedom ของ Lockheed Martin สหรัฐฯ 4ลำ

Saudi Arabia Set to Buy Four Lockheed Martin Freedom-Class Variants in $11.25B Deal
A Lockheed Martin concept for variations of the Freedom-class LCS design from corvette to Frigate sized hulls. Lockheed Martin Photo
http://news.usni.org/2015/10/20/saudi-arabia-set-to-buy-four-lockheed-martin-freedom-class-variants-in-11-25b-deal

สภา Congress สหรัฐฯได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการที่ซาอุดิอาระเบียจะจัดซื้อแบบเรือรบผิวน้ำที่มีพื้นฐานจากเรือชั้น Freedom กองทัพเรือสหรัฐฯ 4ลำ เป็นส่วนหนึ่งการจัดซื้อแบบ FMS(Foreign Military Sale) วงเงิน $11.25 billion
โดยกองทัพเรือซาอุดิอาระเบียวางแผนที่จะนำเรือชั้น Freedom นี้เข้าประจำการเป็นกำลังหลักในกองเรือตะวันออก เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวโครงการปรับปรุงขยายกำลังทางเรือ(SNEP II: Saudi Naval Expansion Program II)
ซึ่งวงเงินในโครงการ SNEP II กว่า $20 billion นี้จะเป็นการเสริมสร้างกำลังกองทัพเรือซาอุดิอาระเบียในการสนับสนุนกองทัพเรือสหรัฐฯในการปฏิบัติการในอ่าวเปอร์เซีย ตามข้อมูลในเอกสารประกาศว่า
"การจัดหานี้จะเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางทะเลในเขตทะเลคาบสมุทรอาระเบีย และสนับสนุนวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ
ความเป็นไปได้ในการขายนี้จะทำให้ซาอุดิอาระเบียเพิ่มขีดความสามารถทางทะเลในปัจจุบันและอนาคตต่อภัยคุกคามจากระบบอาวุธข้าศึก
เรือรบผิวน้ำพหุภารกิจ(MMSC: Multi-Mission Surface Combatant) จะสร้างการป้องกันเชิงลึกต่อระบบโครงสร้างอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สำคัญ และเส้นทางติดต่อขนส่งทางทะเล"

อย่างไรก็ตามเรือ MMSC ที่ซาอุดิอาระเบียจะจัดหา 4ลำจาก Lockheed Martin นี้จะไม่เหมือนเรือ LCS(Littoral Combat Ships) ชั้น Freedom Flight 0 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ
โดยเรือของซาอุดิอาระเบียจะไม่มีส่วน modular mission package ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการติดตั้งอุปกรณ์หรืออาวุธตามรูปแบบภารกิจ แต่จะติดตั้งระบบอาวุธพหุภารกิจแบบดั้งเดิมมากกว่า
"เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสจากราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียในการจัดหาเรือ MMSC 4ลำ ซึ่งมีพื้นฐานจากเรือ LCS ชั้น Freedom
เรามองไปข้างหน้าถึงการทำงานร่วมมือกันระหว่างสองกองทัพเรือในการพัฒนาที่มีความเสี่ยงต่ำ มีประสิทธิภาพตามราคาสูง เป็นวิธีการเพื่อส่งมอบตามราคาที่ได้รับจากลูกค้า"ตัวแทนของ Lockheed Martin แถลง
ที่ผ่านมา Lockheed Martin ได้เสนอแบบแผนเรือ MMSC หลายขนาดสำหรับขายให้ลูกค้าในต่างประเทศ แต่ยังไม่ชัดเจนในขณะนี้ว่าซาอุดิอาระเบียจะเลือกเรือแบบใด

ตามเอกสารขององค์การความร่วมมือด้านการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงสหรัฐฯ(DSCA:Defense Security Cooperation Agency) ต่างๆก่อนหน้านี้ มีการระบุถึงความเป็นไปได้ในการจัดหาระบบยุทโธปกรณ์ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการจัดหาเรือ MMSC 4ลำ เช่น
แท่นยิงแนวดิ่ง Mk 41 8-cell สองระบบ โดยมีรายงานสัญญาการจัดหากับกองบัญชาการะบบเรือทางทะเล(Naval Sea Systems Command) วงเงิน $93 million ในการจัดหา Mk 41 VLS จาก Lockheed Martin
รวมถึงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ RIM-162 ESSM ของ Raytheon อีก 532นัด ซึ่งถ้าเรือของซาอุดิอาระเบียติดตั้งแท่นยิง Mk 41 VLS รวมสี่ระบบ 16 cell จะติดตั้ง ESSM ได้ 64นัดในชุดบรรจุแบบสี่นัด
AESA radar ตรวจการณ์ทางอากาศ แบบ Airbus TRS-4D มีความเป็นไปได้ว่าเรือของซาอุดิอาระเบียจะติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ RGM-84 Harpoon Block II ของ Boeing,
Sonar และ Torpedo สำหรับระบบสงครามต่อต้านเรือดำน้ำ, ปืนใหญ่เรือ OTO Melara 76/62mm และระบบสงครามเครือข่าย LINK 16 ที่เชื่อมโยงกับกองกำลังสหรัฐฯในภูมิภาคตะวันออกกลางได้
อีกทั้งก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม สภา Congrees ยังได้พิจารณาอนุมัติความเป็นไปได้ในการขายเฮลิคอปเตอร์ Sikorsky MH-60R 10เครื่องวงเงิน $1.9 billion ให้ซาอุดิอาระเบียด้วย
ซึ่งตามแผนโครงการ SNEP II นอกจากเรือชั้น Freedom แล้วกองทัพเรือซาอุดิอาระเบียยังมีความสนใจแบบเรือ LCS ชั้น Independence ของ Austal
รวมถึงเรือพิฆาตชั้น Arleigh Burke และการปรับปรุงฐานทัพเรือ King Abdul-Aziz ในอ่าวเปอร์เซียให้ทันสมัยขึ้นด้วยครับ