วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

กองทัพเรือจัดพิธีรับมอบเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.261 จำนวน ๔ลำ

Royal Thai Navy commission ceremony new 4 T.261 class Inshore Patrol Craft from Ship builder Marsun, 6 September 2017

กองทัพเรือจัดพิธีรับมอบเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ชุดเรือ ต.261 จำนวน 4 ลำ

น้อมนำและยึดถือการพึ่งพาตนเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของร9 เรือรบที่ต่อด้วยฝีมือคนไทย ส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อเรือภายในประเทศ




วันนี้ (6 กันยายน 2560) เวลา 15.19 น. พลเรือเอก ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีรับมอบเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ชุดเรือ ต.261 จำนวน 4 ลำ ณ ท่าเรือหมายเลข 5 (LST Ramp) ท่าเรือแหลมเทียน การท่าเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 
โดยมี พลเรือเอก สุชีพ หวังไมตรี ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ พลเรือตรี บรรจบ โพธิ์แดง ผู้บัญชาการกองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ กำลังพลประจำเรือ และแขกผู้มีเกียรติให้การต้อนรับ




กองทัพเรือ ได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์กองทัพเรือ พ.ศ.2551 - 2560 ที่ได้กำหนดความต้องการเรือตรวจการชายฝั่ง เพื่อใช้ในภารกิจต่างๆ 
โดยดำเนินโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง กองทัพเรือ จำนวน 20 ลำ เพื่อทดแทนเรือตรวจการณ์ชายฝั่งเดิม ที่ใช้ราชการมาเป็นเวลานาน และมีกำหนดที่จะปลดระวาง ประกอบด้วย
โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ชายฝั่งกองทัพเรือ ชุดเรือ ต.232 จำนวน 6 ลำ ประกอบพิธีรับมอบเรือ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559
โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ชายฝั่งกองทัพเรือ ชุดเรือ ต.261 จำนวน 4 ลำ ประกอบพิธีรับมอบเรือ ในวันนี้ (6 กันยายน 2560) โดยได้มีพิธีปล่อยเรือลงน้ำ ณ อู่ต่อเรือ บริษัทมาร์ซัน จำกัด เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560 และนางปรานี อารีนิจ ภริยาผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นสุภาพสตรีผู้ประกอบพิธี
โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ชายฝั่งกองทัพเรือ ชุดเรือ ต.265 จำนวน 5 ลำ อยู่ระหว่างการสร้างเรือได้ประกอบพิธีวางกระดูก เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2559
โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ชายฝั่งกองทัพเรือ ชุดเรือ ต.270 จำนวน 5 ลำ อยู่ระหว่างการสร้างเรือได้ประกอบพิธีวางกระดูก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560




กองทัพเรือ ได้ว่าจ้างให้ บริษัท มาร์ซัน จำกัด เป็นผู้ดำเนินการสร้างเรือ เพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อเรือภายในประเทศ อีกทั้งยังเป็นการประหยัดงบประมาณมากกว่าการจัดหาจากต่างประเทศ 
โดยเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ชุดเรือ ต.261 จะเข้าประจำการในกองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ มีภารกิจในการตรวจการณ์ สกัดกั้น ลาดตระเวน ป้องกันการแทรกซึมทางทะเลและชายฝั่ง คุ้มครองเรือประมงและเรือพาณิชย์ 
ป้องกันและคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติบริเวณชายฝั่งทะเลในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน รักษากฎหมายในทะเลตามอำนาจหน้าที่ที่กองทัพเรือได้รับมอบหมาย รวมถึงการถวายความปลอดภัยแด่พระบรมวงศานุวงศ์




คุณลักษณะของเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ชุดเรือ ต.261
ขีดความสามารถปฏิบัติการรบ (Combat Capabilities) 
สามารถปฏิบัติภารกิจได้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการบริเวณชายฝั่งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน 
สามารถตรวจจับ ติดตาม และพิสูจน์ทราบเป้าผิวน้ำ 
สามารถป้องกันตนเองจากเรือผิวน้ำและอากาศยานข้าศึกได้ตามสมรรถนะของอาวุธประจำเรือ 
สามารถปฏิบัติการทางเรืออย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องรับการส่งกำลังบำรุงเพิ่มเติมได้ไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง 
สามารถปฏิบัติงานได้ในสภาพทะเลไม่น้อยกว่า Sea State 2 
สามารถตรวจค้นเรือที่ต้องสงสัย ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ 
และมีความสามารถการทรงตัวที่ดีในการบังคับเรือและบังคับเลี้ยวในการปฏิบัติงานที่ความเร็วสูง (Maneuverability)



คุณลักษณะทั่วไป (Ship System Performance) 
ระวางขับน้ำเต็มที่โดยประมาณ 45 ตัน 
ขนาดของเรือ ความยาวตลอดลำ 21.40 เมตร ความกว้างสูงสุดของเรือ 5.56 เมตร ความลึกของเรือ (Molded Depth) 3.15 เมตร กินน้ำลึกตัวเรือ (Molded Draught) 1.05 เมตร 
ความเร็วสูงสุดต่อเนื่อง ที่ระวางขับน้ำเต็มที่ไม่น้อยกว่า 30 นอต 
กำลังพลประจำเรือ 9 นาย สามารถปฏิบัติงานในทะเลได้ต่อเนื่องได้ไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรับการส่งกำลังบำรุง 
ระยะปฏิบัติการไม่น้อยกว่า 350 ไมล์ทะเล ด้วยความเร็วเดินทางมัธยัสถ์ (15 นอต) ที่ระวางขับน้ำเต็มที่ (Full Load Displacement)
ขนาดและสัดส่วนของโครงสร้างตัวเรือได้รับการตรวจสอบ และรับรองจากสมาคมต่อเรือ Det Norske Veritas (DNV) 
เครื่องจักรใหญ่ตราอักษร MAN รุ่น D2862 LE463 กำลังเครื่องยนต์ 1,029 kWที่ 2,100 RPM พร้อมเพลาใบจักร จำนวน 2 เครื่อง 
เครื่องไฟฟ้าขนาด 32 kWe, 220 V AC. 1 Phase 50 Hz. จำนวน 2 เครื่อง ประกอบด้วย 
เครื่องยนต์ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Prime Mover) ตราอักษร PERKINS 
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) ตราอักษร MARATHON MAGNAPLUS 
เกียร์ทด ตราอักษร TWIN DISC ชนิด Intermediate Duty ขนาด Input Rating สูงสุดที่ 1,145 kW ที่ความเร็วรอบ 2,100 RPM จำนวน 2 ชุดเครื่อง 
ระบบเพลาใบจักรแบบ Fixed Pitch จำนวน 2 ชุด

อาวุธประจำเรือ
อาวุธปืนหลัก ปืนกลขนาด 20 มิลลิเมตร จำนวน 1 กระบอก ติดตั้งบริเวณหัวเรือ
อาวุธปืนรอง ปืนกลขนาด .50 นิ้ว จำนวน 1 กระบอก เครื่องยิงลูกระเบิด 81 มิลลิเมตร ร่วมแกน จำนวน 1 กระบอก ติดตั้งบริเวณท้ายเรือ
https://www.facebook.com/prthainavy/posts/1649248225126527

ตามที่ได้รายงานพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.261 ๔ลำลงน้ำ และพิธีวางกระดูกงูเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.270 ๕ลำ(http://aagth1.blogspot.com/2017/03/261-4-5.html)
กองทัพเรือไทยได้รับมอบเรือตรวจการณ์ชายฝั่งแบบ Marsun M21 ชุดต่างๆเพื่อเข้าประจำการใน กองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ เพื่อทดแทนเรือ ตกช.เก่าที่มีอายุการใช้นามานานหลายปีแล้ว ๑๓ลำคือ

ชุดเรือ ต.228 ประกอบด้วยเรือ ต.228, ต.229 และ ต.230 รวม ๓ลำ, ชุดเรือ ต.232 ประกอบด้วย ต.232, ต.233, ต.234, ต.235, ต.236 และ ต.237 รวม ๖ลำ
และล่าสุดคือชุดเรือ ต.261 ประกอบด้วย ต.261, ต.262, ต.263 และ ต.264 รวม ๔ลำ รับมอบเมื่อ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๐ ที่ผ่านมา

ชุดเรือ ต.265 จำนวน ๕ลำประกอบด้วย ต.265, ต.266, ต.267, ต.268 และ ต.269 ซึ่งทำพิธีวางกระดูกเมื่อ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๙ จะมีการปล่อยเรือลงน้ำตามมาในอนาคต(http://aagth1.blogspot.com/2016/04/blog-post_25.html)
เช่นเดียวกับชุดเรือ ต.270 ๕ลำประกอบด้วย ต.270, ต.271, ต.272, ต.273 และ ต.274 ที่ทำพิธีวางกระดูกเมื่อ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๐ จะทำให้กองทัพเรือมีเรือตรวจการณ์ชายฝั่งใหม่รวมทั้งหมด ๒๓ลำ

ข้อสังเกตคือนอกจากเรือ ต.231 ที่คือเรือ Hysucat 18 ที่สร้างโดย Technautic Intertrading ประเทศไทย เข้าประจำการเมื่อ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ เป็นเรือต้นแบบทดสอบสาธิต Technology ใหม่ในสมัยนั้น
ยังมีชุดเรือ ต.241 ๓ลำคือ ต.241 ต.242 และ ต.43 ที่คือเรือปฏิบัติการพิเศษ Seafox Mk.IV และเรือปฏิบัติการพิเศษชุดเรือ พ.51 ๔ลำคือ พ.51, พ.52, พ.53 และ พ.54 ที่ประจำการในหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ทำให้ชุดหมายเลขเรือได้ถูกข้ามไปในชุดเรือ ต.261 ใหม่นี้ครับ

เรือฟริเกตชั้น Type 23 อังกฤษยิงอาวุธปล่อยนำวิถี Sea Ceptor ครั้งแรก

HMS Argyll performs first Sea Ceptor firings

This photo montage shows the ejection and turnover of a CAMM missile from HMS Argyll during the recent Sea Ceptor first-of-class firings. The ‘soft launch’ is effected by a gas-driven piston;
gas thrusters or ‘jetavators’ effect the turnover manoeuvre, after which the missile motor ignites. (MBDA)
http://www.janes.com/article/73570/hms-argyll-performs-first-sea-ceptor-firings


เรือฟริเกตชั้น Type 23 Duke กองทัพเรือสหราชอาณาจักร(Royal Navy) ชื่อ HMS Argyll ได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขั้นต้นของระบบป้องกันภัยทางอากาศเฉพาะพื้นที่อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ GWS 35 Sea Ceptor
ตามที่กระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรประกาศเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา โดย HMS Argyll เป็นเรือฟริเกตชั้น Type 23 ที่มีอายุมากที่สุดในเรือชั้นนี้ 13ลำที่ยังคงประจำการในกองทัพเรืออังกฤษ

HMS Argyll เป็นเรือฟริเกตชั้น Type 23 ลำแรกที่ทำการยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Sea Ceptor จริง ณ สนามฝึกใช้อาวุธ Hebrides ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Scotland ระหว่างสองสัปดาห์ในช่วงเดือนกรกฎาคม
Sea Ceptor จะถูกติดตั้งกับเรือฟริเกตชั้น Type 23 ทั้ง 13ลำเพื่อทดแทนระบบป้องกันภัยทางอากาศเฉพาะจุดอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ GWS 26 Mod 1 VL Seawolf (VLSW) ซึ่งจะใกล้หมดอายุการใช้งานในปี 2020

Sea Ceptor ถูกพัฒนาและผลิตโดยบริษัท MBDA UK ภายใต้ความครอบคลุมของข้อตกลงการบริหารการลงทุน(Portfolio Management Agreement) กับกระทรวงกลาโหมอังกฤษ
ระบบ Sea Ceptor ถูกก่อตั้งขึ้นมาจากอาวุธปล่อยนำวิถีแบบ Soft-Launch CAMM(Common Anti-air Modular Missile) ซึ่งใช้ระบบนำวิถี Active Radar Homing เสริมด้วยการปรับการนำวิถีในระยะ mid-course เพื่อโจมตีเป้าหมายได้พร้อมกันหลายเป้าในทุกกาลอากาศในระยะ 25km

การทำงานร่วมระหว่างตัวค้นหา Active Radar และ Datalink กับอาวุธปล่อยนำวิถีหมายความว่าอาวุธปล่อยนำวิถี CAMM ไม่จำเป็นต้องการใช้งาน Radar ควบคุมการยิงตลอดเวลา
แทนที่ด้วยการใช้ประโยชน์จากระบบค้นหารูปแบบ Track While Scan ของ Radar Type 997 ย่านความถี่ E/F Band สำหรับเป้าหมาย 3D เพื่อกำหนดและคาดการจุดสกัดกั้น  CAMM ยังสามารถดำเนินการ 'ยิงและค้นหา' ต่อภัยคุกคามทางอากาศได้หลายเป้าหมายพร้อมๆกัน

คุณสมบัติหนึ่งของ CAMM คือการใช้แท่นยิงแนวดิ่ง(VLS: Vertical Launch System) แบบ Soft ซึ่งจรวดจะดีดตัวจากชุดบรรจุโดยลูกสูบที่ขับเคลื่อนจากดินส่งก๊าซระเบิดที่ติดตั้งในชุดบรรจุ
ที่ความสูง 80-100ft ชุดก๊าซขับเคลื่อนด้านท้ายหรือ jetavators จะมีผลในการเปลี่ยนทิศทางจรวดก่อนที่ชุดดินขับหลักจะทำการยิง ตามข้อมูลจาก MBDA การยิงแบบ soft launch ทำให้เพิ่มความปลอดภัยและง่ายต่อเรือในการติดตั้งเนื่องจากไม่จำเป็นต้องการใช้ระบบควบคุมการไหล

นอกจากนี้ CAMM ยังมีระยะเวลาการบินและประสิทธิภาพทางจลนพลศาสตร์ที่ใช้ประโยชน์จากพลังงานของระบบขับเคลื่อนจรวดทั้งหมดเป็นการขยายประสิทธิภาพในทิศทางของการเดินทางที่ตั้งไว้
การเปลี่ยนท่างทางจรวดโดยตรงที่มากกว่ายังส่งผลให้ Soft VLS มีการลดระยะยิงสกัดกั้นที่ใกล้ที่สุดได้น้อยลงมากขึ้นด้วย

ไม่เหมือนกับ VL Seawolf ที่เป็นระบบป้องกันเฉพาะจุดพิสัยยิงใกล้ Sea Ceptor ขยายระยะยิงออกเป็น 25km และมีขีดความสามารถในการโจมตีได้หลายเป้าหมายต่อเนื่องพร้อมๆกัน
ทำให้ Sea Ceptor จะสามารถที่จะป้องกันได้ทั้งเรือที่เป็นฐานยิง และเรือที่มีคุณค่าสูงซึ่งอยู่ในกระบวนเรือเดียวกันจากภัยคุกคามทางอากาศทั้ง อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ, เครื่องบินรบไอพ่น, เฮลิคอปเตอร์ และอากาศยานไร้คนขับ(UAV: Unmanned Aerial Vehicle)

จากแผนเดิมที่กำหนดระยะเวลาประจำการ 18ปี เรือฟริเกตชั้น Type 23 ทุกลำได้รับการติดตั้งชุดปรับปรุง LIFEX ตามคำสั่งที่ขยายอายุการใช้งานเรืออกไปอีกเป็นมากกว่า 30ปี ตามแผนปัจจุบันที่เรือ Type 23 จะยังไม่ปลดปจำการจากกองทัพเรืออังกฤษก่อนกลางปี 2030
LIFEX เป็นศูนย์รวมการบำรุงรักษาที่นำการเปลี่ยนแปลงหลักเข้าด้วยกันไปยังอุปกรณ์และระบบ ที่รวมศูนน์ปรับปรุงระบบการรบต่างๆเข้าด้วยกันกับงานยืดอายุโครงสร้างของตัวเรือและดาดฟ้ายก

HMS Argyll ซึ่งมีแผนจะประจำการไปถึงปี 2023 เพิ่งจะกลับไปออกเรือสู่ทะเลได้เมื่อต้นปีนี้
หลังจากที่เรือเสร็จสิ้นการปรับปรุงบำรุงรักษา LIFEX ที่อู่ต่อเรือของ Babcock ที่ Devonport เป็นเวลา 80สัปดาห์

ในอนาคตหลังการปลดประจำการเรือฟริเกตชั้น Type 23 อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Sea Ceptorจะยังถูกนำไปติดตั้งเรือฟริเกตชั้น Type 26 ที่บริษัท BAE Systems เพิ่งจะได้รับสัญญาสั่งสร้างจากกระทรวงกลาโหมอังกฤษไป(http://aagth1.blogspot.com/2017/07/type-26-3.html)
รวมถึงที่บริษัท MBDA มีแผนที่ที่จะพัฒนาระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Land Ceptor ฐานยิงบนบกเพื่อทดแทนระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Rapier สำหรับกองทัพบกสหราชอาณาจักร(British Army) ด้วยครับ

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

เรือยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ LHD ใหม่อิตาลีน่าจะมีชื่อเรือว่า Thaon di Revel

Italian Navy Future Landing Helicopter Dock LHD Likely to be Named Thaon di Revel
CGI of the future LHD featuring a dual island configuration. Fincantieri image.

The steel cuting ceremony in July 2017. Image: Fincantieri

LHD scale model unveiled by Fincantieri during Euronaval 2016


https://navyrecognition.com/index.php/news/defence-news/2017/september-2017-navy-naval-forces-defense-industry-technology-maritime-security-global-news/5543-italian-navy-future-landing-helicopter-dock-lhd-likely-to-be-named-thaon-di-revel.html

เรือยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์(LHD: Landing Helicopter Dock) เอนกประสงค์ใหม่ที่กำลังถูกสร้างโดยอู่ต่อเรือของบริษัท Fincantieri ใน Castellammare di Stabia สำหรับกองทัพเรืออิตาลี(Marina Militare)
น่าจะได้รับการตั้งชื่อเรือว่า Thaon di Revel ตามข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งข่าวที่มีความเชื่อมโยง(กับคณะเสนาธิการกองทัพเรืออิตาลีหรือ Palazzo Marine) ใน Forum Difesa(http://difesa.forumfree.it/?t=69803302&st=2970)

เรือ LHD ถูกตั้งชื่อตาม Paolo Camillo Thaon, Marquess of Revel(10 June 1859–24 March 1948) ที่ต่อมาได้รับการแต่งตั้งโดย Benito Mussolini ด้วยบรรดาศักดิ์อันทรงเกียรติว่า 1st Duke of the Sea เป็นนายพลเรือของกองทัพเรือราชอาณาจักรอิตาลีเก่า(Regia Marina) ช่วงสงครามโลกครั้งที่1 และนักการเมืองในภายหลัง
ซึ่งข่าวลือก่อนหน้านี้มีข้อสังเกตว่าเรือยกพลขึ้นบกดาดฟ้าเรียบนี้จะถูกตั้งชื่อเรือว่า Trieste ตามชื่อเมืองท่าทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี

เรือยกพลขึ้นบกบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ในอนาคตของกองทัพเรืออิตาลีจะเรือดาดฟ้าเรียบตลอดลำขนาดใหญ่ มีระวางขับน้ำปกติมากกว่า 25,000tons ตัวเรือยาว 240m กว้าง 36m สามารถวางกำลังบนเรือได้ 1,064นาย ซึ่งรวมลูกเรือ 460นาย
ตามที่เห็นจากแบบจำลองย่อส่วนที่ Fincantieri เปิดตัวในงาน Euronaval 2016 เรือ LHD ใหม่มีหอเรือคู่สองหอเป็นเป็นการออกแบบลักษณะเดียวกับเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Queen Elizabeth ทั้ง 2ลำของกองทัพเรือสหราชอาณาจักร(Royal Navy)

เรือ LHD ใหม่อิตาลีสามารถวางกำลังเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงหนัก AW101 หรือเฮลิอปเตอร์ใช้งานทั่วไป/ทางทะเล NH90 12เครื่อง หรือเครื่องบินขับไล่ขึ้นระยะสั้นลงทางดิ่ง F-35B 6เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ 4เครื่อง สำหรับการวางกำลังในระยะสั้น
เรือมีจุดลงจอดเฮลิคอปเตอร์ 9จุดบนดาดฟ้าบิน มีอู่ลอยขนาด 15x50m รองนรับเรือระบายพล 4ลำเรือยานอากาศ LCAC โรงเก็บอากาศยานสองชั้นขนาดมากกว่า 1,200 square m สามารถรองรับยานยนต์ได้หนักถึง 60tons

ไม่เหมือนกับเรือ LHD กองทัพเรืออื่นเรือ LHD ใหม่อิตาลีมีระบบตรวจจับและอาวุธที่สำคัญหลายแบบเช่น Radar แบบ Kronos StarFire ประกอบด้านจานสัญญาณตรึง 4ตัวทำงานย่านความถี่ X-Band และ AESA Radar แบบ Kronos Power Shield ทำงานย่านความถี่ L-band
Sonar หัวเรือแบบ Black Snake และ CMS SADOC Mk 4 ที่จะติดตั้งพร้อมระบบป้องกัน Torpedo ยังรวมถึงระบบต่อต้าน Electronic Jammer และเครื่องยิงเป้าลวง ODLS-20 ซึ่งระบบทั้งหมดเหล่านี้ถูกออกแบบโดบบริษัท Leonardo อิตาลี

ระบบอาวุธของเรือประกอบด้วยท่อยิงแนวดิ่ง(VLS: Vertical Launch Systems) Sylver A50 16ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Aster 15 และ CAMM ของบริษัท MBDA ฝรั่งเศส-อังกฤษ,
ปืนใหญ่เรือ Oto Melara(Leonardo) 76/62 Super Rapidพร้อม Radar ควบคุมการยิง SPN-720 3กระบอก, และปืนใหญ่กล 25mm 3กระบอก

เรือใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ CODOG(Combined Diesel or Gas) ประกอบด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2เครื่อง และเครื่องยนต์ Gas Turbine 2เครื่อง ทำความเร็วได้สูงสุด 25knots มีพิสัยทำการไกล 7,000nmi ที่ความเร็วมัธยัสถ์ 16knots มีระยะเวลาปฏิบัติการในทะเล 30วัน
ทั้งนี้บริษัท Fincantieri ได้เริ่มงานสร้างเรือ LHD ใหม่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2017 แล้ว โดยคาดว่าจะเพื่อนำมาประจำการแทนเรือบรรทุกเครื่องบิน Giuseppe Garibaldi ภายในปี 2020 ครับ

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

ปากีสถานรับมอบเฮลิคอปเตอร์จู่โจม Mi-35M รัสเซีย และใกล้รับมอบเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-1Z สหรัฐฯ

Pakistan Army Aviation Corps(PAAC) pilot and Mi-35M at Russia(twitter.com/defencepk)



Photos suggest nearing Pakistan Army AH-1Z Viper delivery 
Photos of an apparent Pakistan Army Bell Helicopter AH-1Z Viper indicate that the first batch (of three helicopters) are nearing delivery.
http://quwa.org/2017/08/17/photos-suggest-nearing-pakistan-army-ah-1z-viper-delivery/




Pakistan Army Aviation Corps Z-10 Attack Helicopters

Russia delivers four Mi-35M helos to Pakistan, says report
Pakistan has received four Mi-35M attack helicopters (similar to this one) from Russia, according to the RIA Novosti news agency. Source: Russian Aerospace Forces
http://www.janes.com/article/73439/russia-delivers-four-mi-35m-helos-to-pakistan-says-report

รัสเซียได้เสร็จสิ้นการส่งมอบเฮลิคอปเตอร์จู่โจม Mil Mi-35M(NATO กำหนดรหัส Hind-E) 4เครื่องให้กับกองการบินกองทัพบกปากีสถาน(PAAC: Pakistan Army Aviation Corps)
ตามที่พลจัตวา Waheed Mumtaz โฆษกขององค์การส่งเสริมการส่งออกกลาโหมปากีสถานที่ถูกอ้างโดยสำนักข่าว RIA Novosti รัสเซียเมื่อ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
"สัญญาที่ได้รับการลงนาม เราได้รับมอบ(เฮลิคอปเตอร์)ครบทั้ง 4เครื่อง แต่ตอนนี้เราได้รับยุทโธปกรณ์ใหม่" พล.จ. Mumtaz กล่าวตอบสื่อในงานงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์นานาชาติ Army-2017 ที่ Patriot Park นอก Moscow ระหว่างวันที่ 22-27 สิงหาคมที่ผ่านมา

โฆษกยังกล่าวว่านักบินปากีสถานกำลังทำความคุ้นเคยกับยุทโธปกรณ์ใหม่ โดยอ้างอิงจากประสบการของกองการบินกองทัพบกปากีสถานกับ ฮ.จู่โจม Mi-35M นี้ รัฐบาลปากีสถานจะตัดสินใจต่อไปว่าจะสั่งจัดหา ฮ.รัสเซียเพิ่มหรือไม่ เช่นเดียวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารแบบอื่นๆของรัสเซีย
ปากีสถานและรัสเซียได้เห็นชอบในข้อตกลงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์จู่โจม Mi-35M เมื่อเดือนสิงหาคม 2015 เป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกพิจารณาว่าความก้าวหน้าด้านความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
รัฐมนตรีกระทรวงผลิตภัณฑ์กลาโหมปากีสถาน Rana Tanveer Hussain ได้กล่าวต่อสื่อท้องถิ่นปากีสถานเมื่อเดือนธันวาคม 2016 ว่ารัฐบาลปากีสถานได้ใช้งบประมาณวงเงิน $153 million ในการจัดหา Mi-35M 4เครื่อง

ด้วยความใส่ใจต่อความกังวลของอินเดีย รัฐบาลรัสเซียได้ใช้เวลาหลายปีในการเลือกที่จะไม่มีส่วนร่วมทางด้านความร่วมมือทหารใดๆกับปากีสถาน
อย่างไรก็ตามในปี 2014 รัสเซียได้ตัดสินใจที่ยกเลิกการคว่ำบาตการขายอาวุธที่ตนเองตั้งไว้ต่อปากีสถาน ซึ่งได้นำมาสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทหารโดยตรงระหว่างสองประเทศ
เช่นการฝึกซ้อมรบร่วมกันครั้งแรกระหว่างวกองทัพปากีสถานและกองทัพรัสเซียในรหัส Friendship 2016 เมื่อเดือนกันยายน-ตุลาคม 2016 ที่สร้างความกังวลต่ออินเดียซึ่งเป็นชาติพันธมิตรและลูกค้าที่จัดหาอาวุธจากรัสเซียรายใหญ่มาตลอด

ทั้งนี้ในกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่ภาพใน Twitter ของเฮลิคอปเตอร์โจมตี Bell AH-1Z Viper เครื่องแรกของกองการบินกองทัพบกปากีสถาน
โดยเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-1Z หมายเลขเครื่อง 786-061 นี้เป็นหนึ่งในเครื่องชุดแรกจำนวน 3เครื่องที่กองทัพบกปากีสถานสั่งจัดหาจากสหรัฐฯ
ตามรายงานกองทัพบกปากีสถานจะได้รับมอบ ฮ.โจมตี AH-1Z ชุดแรก 3เครื่องภายในปลายปี 2017 นี้ และจะได้รับมอบอีก 9เครื่องภายในสิ้นเดือนกันยายน 2018

กองทัพบกปากีสถานเป็นลูกค้าส่งออกรายแรกสำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-1Z Viper นอกจากนาวิกโยธินสหรัฐฯ(US Marine Corps) ซึ่งเป็นผู้ใช้งานรายหลักที่สั่งจัดหาเครื่องใหม่จาก Bell จำนวน 189เครื่อง และปรับปรุงจาก ฮ.โจมตี AH-1W 37เครื่อง
ในเดือนเมษายน 2015 สำนักงานความร่วมมือด้านความปลอดภัยความมั่นคงสหรัฐฯ(DSCA: Defense Security Cooperation Agency) ได้รายงานเอกสารการขออนุมัติการขาย ฮ.โจมตี AH-1Z 15เครื่องพร้อมอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น AGM-114R Hellfire II 1,000นัดวงเงิน $952 million ให้ปากีสถาน
อย่างไรก็ตามในความป็นจริงปากีสถานได้ลงนามสัญญาจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-1Z 3เครื่องแรกในเดือนสิงหาคม 2015 และอีก 9เครื่องในเดือนเมษายน 2016 รวม 12เครื่องในรูปแบบการขายแบบForeign Military Sales(FMS)

ปัจจุบันกำลังเฮลิคอปเตอร์โจมตีแบบหลักของกองทัพบกปากีสถานคือ ฮ.โจมตี AH-1S 20เครื่องใหม่จากสหรัฐฯช่วงปี 1984-1986 และ ฮ.โจมตี AH-1F 32เครื่องที่เคยประจำการในกองทัพสหรัฐฯช่วงปี 2003-2010
และ AH-1F 8เครื่องที่เคยประจำการในกองทัพอากาศจอร์แดนเมื่อปี 2013 ซึ่ง ฮ.โจมตี AH-1S/F Cobra รุ่นเครื่องยนต์เดี่ยวเหล่านี้กำลังจะหมดอายุการใช้งานและขาดแคลนอะไหล่ที่ปิดสายการผลิตไปแล้ว
ทั้งนี้นอกจากเฮลิคอปเตอร์จู่โจม Mi-35M แล้ว กองการบินกองทัพบกปากีสถานยังได้รับมอบเฮลิคอปเตอร์โจมตี Z-10 สาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 3เครื่อง ที่จีนมอบให้ปากีสถานทดลองใช้งานเป็นผู้ใช้ส่งออกรายแรกตั้งแต่ราวปี 2015 ด้วยครับ

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

โปแลนด์เปิดตัวรถถังหลัก PT-17 และ PT-91M2 รุ่นปรับปรุงใหม่จาก T-72

Poland ponders possibilities for upgrading T-72s
The PT-17 features a number of improvements over Poland’s existing PT-91 series. Source: Wojciech Gargala
The PT-91M2 represents more modest, incremental improvements over the T-72/PT-91. (Wojciech Gargala)
http://www.janes.com/article/73476/poland-ponders-possibilities-for-upgrading-t-72s

บริษัท Zakłady Mechaniczne Bumar-Łabędy โปแลนด์มีกำหนดที่จะนำเสนอรถถังหลัก T-72 รุ่นปรับปรุงใหม่ล่าสุดในงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ MSPO 2017 ในเดือนกันยายนนี้
โดยรถถังหลักสองแบบที่ถูกกำหนดแบบเป็นรถถังหลัก PT-17 และรถถังหลัก PT-91M2 ได้ถูกออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของกองสรรพาวุธโปแลนด์ต่อความจำเป็นสำหรับการเพิ่มความทันสมัยของ ถ.หลัก T-72 กองทัพบกโปแลนด์(Polish Land Forecs)

รถถังหลัก PT-17 มีคุณสมบัติเป็นจำนวนมากทั้งการเพิ่มอำนาจการยิง, ความคล่องแคล่วการเคลื่อนที่, การป้องกัน และการหยั่งรู้สถานการณ์ที่เหนือกว่ารถถังหลักตระกูล PT-91 ของโปแลนด์ที่มีอยู่
รวมถึงรถถังหลัก PT-16 ต้นแบบที่จัดแสดงเมื่อปี 2016(http://aagth1.blogspot.com/2016/09/pt-16-t-72-pt-91.html) การออกแบบที่โดดเด่นที่พัฒนาชัดเจนใน PT-17 ได้รวมการเปลี่ยนแปลงรูปทรงป้อมปืนโดยรวมเป็นแบบทรงหอยกาบ, กลม, เกลี้ยง

กล้องผู้บังคับการรถได้เปลี่ยนเป็นเสา gimballed Optic  เพิ่มขีดความสามารถในการโจมตีแบบ Hunter-Killer และเพิ่มการหยั่งรู้สถานการณ์
กล้องพลยิงที่ปรากฎมีความใกล้เคียงกับกล้องเล็งของ PT-16 รุ่นก่อน และสถานีป้อมปืน Remote ได้ถูกย้ายไปตำแหน่งใหม่ด้านซ้ายของป้อมปืนหลังกล้องเล็งพลยิง

นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบควบคุมการยิง Digital ใหม่ และป้อมปืนยังติดตั้งระบบหมุนป้อมด้วยไฟฟ้าทั้งหมด เหมือนกับ PT-16 ที่ PT-17 ติดตั้งระบบขับเคลื่อนกำลัง 1,000HP ซึ่งรวมเครื่องยนต์ดีเซล S-1000R
ผู้ผลิตยังได้แถลงว่าระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์กำลัง 1,200HP เป็นตัวเลือกที่สามารถปรับปรุงติดตั้งได้

ในแง่การป้องกันป้อมปืนและตัวรถแคร่ฐานของ PT-17 ติดตั้งแผ่นเกราะวัสดุผสม Modular และเกราะบังโคลนกระโปรงคลุมล้อกดสายพาน
ในการป้องกันตนจากอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รถถัง PT-17 ติดระบบแจ้งเตือนการถูกเล็งด้วย Laser แบบ OBRA-3 ซึ่งเชื่อมกับเครื่องยิงลูกระเบิดควันของรถ และเกราะ bar ถูกติดตั้งในส่วนวงแหวนพื้นป้อมปืน(turret bustle)

การปรับปรุงที่สำคัญที่สุดคือปืนใหญ่รถถัง 2A46 ขนาด 125mm ได้ถูกเปลี่ยนเป็นปืนใหญ่รถถังลำกล้องเรียบ KBM2 ขนาด 120mm ที่ผลิตโดย Kharkov Morozov Design Bureau(KMDB) ยูเครน ซึ่งทำให้ PT-17 สามารถใช้กระสุนปืนใหญ่รถถังมาตรฐาน NATO ได้(http://aagth1.blogspot.com/2016/01/pt-91.html)
เช่นเดียวกับรถถังหลัก PT-91M2 ที่มีพื้นฐานพัฒนาจากรถถังหลัก PT-91M ที่ประจำการในกองทัพบกโปแลนด์และส่งออกให้กองทัพบกมาเลเซีย เป็นตัวเลือกการปรับปรุงในราคาประหยัดกว่า

โดย PT-91M2 ยังคงใช้ปืนใหญ่รถถัง 2A46 125mm เช่นเดิม โดยปรับปรุงติดระบบควบคุมการยิง Safran SAVAN-15 ฝรั่งเศส กล้องตรวจการณ์ ผบ.รถ TKN-3Z และกล้องมองกลางคืนพลขับ PNK-72 Radomka
รวมถึงระบบแจ้งเตือนการการถูกเล็งด้วย Laser Obra-3 พร้อมเครื่องยิงลูกระเบิดควัน 81mm และเกราะปฏิกิริยาแรงระเบิด(ERA: Explosive Reactive Armour) แบบ ERAWA-1/2 รุ่นสาม

ปัจจุบันกองทัพบกโปแลนด์ได้จัดหารถถังหลัก Leopard 2 ที่เดิมเคยประจำการในกองทัพบกเยอรมนี(Heer)สองรุ่นคือ รถถังหลัก Leopard 2A4 ราว 142คันซึ่งจะได้รับการปรับปรุงเป็นมาตรฐาน Leopard 2PL และรถถังหลัก Leopard 2A5 ราว 105คัน
การจัดหา Leopard 2 เยอรมนีเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างกำลังในฐานะประเทศสมาชิก NATO ที่โปแลนด์เข้าร่วมในปี 1999 ทำให้เดิมโปแลนด์มีแผนที่จะปลดประจำการรถถังหลัก T-72M1 ราว 254คันที่รัสเซียให้สิทธิบัตรการผลิตแก่โปแลนด์สมัย Warsaw Pact ในอนาคตอันใกล้

อย่างไรก็ตามจากภัยคุกคามจากรัสเซียเพิ่มสูงขึ้นหลักการเข้าผนวก Crimea และแทรกแซงสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียในภาค Donbass ทำสงครามกับกองกำลังความมั่นคงรัฐบาลยูเครน ทำให้โปแลนด์พิจารณาที่จะต้องคงกำลังรถถังหลัก T-72 ที่มีอยู่ส่วนหนึ่งให้มีความทันสมัยขึ้น
โดยรถถังหลัก PT-91 ทั้งรุ่น PT-91(92คัน), PT-91MA(27คัน) และ PT-91MA1(113คัน) รวม 232คัน มีพื้นฐานพัฒนาจาก T-72M1 โดยโปแลนด์เอง กำลังถูกพิจารณาการปรับปรุงเพิ่มความทันสมัยตามแบบแผนข้างต้นเพื่อให้ประจำการต่อไปครับ

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

มาเลเซียเปิดตัวรถเกราะล้อยาง Condor รุ่นส่งกำลังบำรุงต้นแบบใหม่

Malaysia reveals Condor logistics vehicle prototype
Deftech’s upgraded 4x4 Condor prototype seen during the Independence Day Parade rehearsal. Source: Dzirhan Mahadzir
http://www.janes.com/article/73493/malaysia-reveals-condor-logistics-vehicle-prototype

Deftech มาเลเซียได้เปิดตัวรถหุ้มเกราะล้อยาง Condor 4x4 ของ Rheinmetall MAN Military Vehicles เยอรมนีที่ได้รับการเปลี่ยนแบบให้เป็นรถสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงต้นแบบ ระหว่างการสวนสนามวันประกาศเอกราชมาเลเซียเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา
แบบแผนเดิมของรถเกราะล้อยางลำเลียงพล Condor APC(Armoured Personnel Carrier) ถูกเปลี่ยนแบบดัดแปลงเป็นรถสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงแบบพื้นเรียบ
โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนการขนส่งและการสนับสนุนอากาศยานไร้คนขับ Aludra UAV(Unmanned Aerial Vehicle) ที่พัฒนาโดย Deftech ตลอดจนการนำรถวางกำลังเพื่อการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงทั่วไปด้วย

การดัดแปลงเปลี่ยนแบบนี้เป็นการตัดส่วนบนครึ่งหนึ่งของตัวรถเกราะล้อยางลำเลียงพลที่เป็นพื้นที่บรรทุกกำลังพล และเปลี่ยนเป็นพื้นที่ว่างภายในรถเป็นแบบพื้นเรียบเพื่อการขนส่งสัมภาระที่แน่นหนาโดยลบส่วนบรรทุกกำลังพลออกไป
ทำให้จำนวนพลประจำรถจำกัดเพียง พลขับ และผู้บังคับการรถเท่านั้น Deftech ยังกำลังพิจารณาการติดตั้งปั้นจั่นยกสิ่งของในตัวรถสำหรับอำนวยความสะดวกในการบรรทุกสัมภาระเข้าและออกรถ
Jane's ได้ทราบว่ารถต้นแบบนี้ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปลายปี 2015 ภายใต้ทุนริเริ่มของบริษัท Deftech เอง โดยมีพื้นฐานตามความต้องการสำหรับรถขับเคลื่อนในทางทุระกันดารเพื่อขนส่ง Alundra UAV


ระบบอากาศยานไร้คนขับ Aludra UAV ก่อนหน้าได้ถูกนำเข้าประจำการในหน่วงานตามสัญญาเพื่อการสนับสนุนกองทัพมาเลเซียในปฏิบัติการที่มาเลเซียตะวันออก แม้ว่าขณะนี้สัญญาดังกล่าวจะหมดอายุลงแล้วและกำลังอยู่ในขั้นตอนเริ่มการเจรจาใหม่
แม้ว่ารถเกราะ Condor รุ่นส่งกำลังบำรุงยังไม่ใช่ความต้องการของกองทัพบกมาเลเซียในปัจจุบัน อดีตผู้บัญชาการทหารบกมาเลเซีย พลเอก Raja Affandi ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพมาเลเซียได้กล่าวกับ Jane's ในงานแสดง Defence Services Asia(DSA)
เมื่อเดือนเมษายน 2016 ว่า
แผนของกองทัพบกมาเลเซียเพื่อการปรับปรุงและเพิ่มความทันสมัยของรถเกราะล้อยาง Condor ควรจะได้รับการอนุมัติงบประมาณสำหรับโครงการที่จะรวมถึงการนำรถเกราะ Condor ส่วนหนึ่งดัดแปลงเปลี่ยนแบบเป็นรุ่นรถขนส่งกำลังบำรุงพื้นเรียบ

Deftech ยังได้จัดแสดงรถเกราะล้อยาง Condor ต้นแบบที่ได้รับการปรับปรุงในงานสวนสนามวันประกาศเอกราชของมาเลเซีย
ที่เป็นการเปลี่ยนเครื่องยนต์ของ Mercedes Benz กำลัง 168HP เป็นเครื่องยนต์ Deutz กำลัง 215HP เพลาอิสระถูกเปลี่ยนเป็นเพลาแข็ง, ระบบส่งกำลังอัตโนมัติเปลี่ยนเป็นระบบส่งกำลัง T Manual
และ drop box ใหม่ซึ่งจะเพิ่มกำลังขับของรถจาก 491Nm ที่ 1600rpm เป็น 800Nm ที่ 1200-1700rpm ครับ

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

SAAB สวีเดนเปิดตัวเรือดำน้ำชั้น A26 ใหม่สามรุ่นเป็นตัวเลือกสำหรับลูกค้า

SAAB A26 Submarines in three variants: A26 Pelagic, A26 Oceannic and A26 Oceanic(Extended Range)
Specification of Three Variants A26 Submarines
A26 Submarines can be fitted Vertical Launching System for Cruise Missiles include submarine-launched Raytheon UGM-109 Tomahawk

Submarine Seminar 2017, 31 August 2017
http://saab-seminar.creo.se/170831/submarine_seminar_2017

งานสัมมนา Submarine Seminar 2017 ที่จัดโดยบริษัท Saab Kockums แผนกผลิตภัณฑ์ทางเรือในเครือ Saab Group สวีเดน ได้มีการประกาศถึงการนำเสนอเรือดำน้ำชั้น A26 ใหม่ของบริษัท
ที่ล่าสุดได้แบ่งแบบแผนเรือเป็นสามรุ่นคือ เรือดำน้ำ A26 Pelagic, A26 Oceannic และ A26 Oceanic(Extended Range) สำหรับการทำการตลาดตามความต้องการของลูกค้านานาประเทศ

A26 Pelagic เป็นแบบแผนเรือดำน้ำรุ่นที่มีขนาดเล็กกว่าเรือดำน้ำชั้น A26 แบบพื้นฐานที่ถูกสั่งจัดหาโดยกองทัพเรือสวีเดน(Royal Swedish Navy) ซึ่ง A26 Pelagic ถูกออกแบบมาสำหรับปฏิบัติในเขตทะเลน้ำตื้นที่แสงสามารถแสงส่องถึงพื้นทะเลได้(ความลึกไม่เกิน 200m)
โดยตัวเรือมีความยาวน้อยกว่า 50m ระวางขับน้ำที่ผิวน้ำ 1,000tons ระยะทำการที่ความเร็วลาดตระเวนโดยใช้ AIP มากกว่า 20วัน พิสัยทำการที่ความเร็ว 10knots ที่ 4,000nmi กำลังพลประจำเรือปกติ 17-25นาย

A26 Oceannic เป็นแบบแผนเรือดำน้ำรุ่นมาตรฐานเดียวกับเรือดำน้ำชั้น A26 ที่กำลังสร้างสำหรับกองทัพเรือสวีเดน ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับเป็นเรือดำน้ำเดินสมุทรที่ปฏิบัติการในมหาสมุทรได้ดี
โดยตัวเรือมีความยาว 65m ระวางขับน้ำที่ผิวน้ำ 2,000tons ระยะทำการที่ความเร็วลาดตระเวนโดยใช้ AIP มากกว่า 30วัน พิสัยทำการที่ความเร็ว 10knots ที่ 6,500nmi กำลังพลประจำเรือปกติ 17-35นาย

A26 Oceanic(Extended Range) เป็นแบบแผนเรือดำน้ำรุ่นขยายขนาดใหญ่กว่าเรือดำน้ำชั้น A26 ของกองทัพเรือสวีเดน ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการปฏิบัติการในทะเลหลวงในระยะไกลเป็นเวลานาน
โดยตัวเรือมีความยาวมากว่า 80m ระวางขับน้ำที่ผิวน้ำมากว่า 3,000tons ระยะทำการที่ความเร็วลาดตระเวนโดยใช้ AIP มากกว่า 50วัน พิสัยทำการที่ความเร็ว 10knots ที่ 10,000nmi กำลังพลประจำเรือปกติ 20-50นาย

เรือดำน้ำ A26 ทั้งสามรุ่นได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซล-ไฟฟ้า พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบไม่ใช้อากาศ(AIP: Air-Independent Propulsion)แบบวัฏจักร Stirling
ซึ่ง Saab Kockums มีประสบการณ์ในการพัฒนาและติดตั้งใช้งานกับเรือดำน้ำของกองทัพเรือสวีเดนและลูกค้าต่างประเทศเช่นชั้น A19 Gotland และชั้น Södermanland และชั้น Archer กองทัพเรือสิงคโปร์(ชั้น A17 Västergötland เดิมที่ปรับปรุงใหม่)

เรือดำน้ำ A26 ทั้งสามรุ่นสามารถติดตั้งระบบอาวุธทางทะเล/อากาศ/พื้นดิน ได้ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งรวมถึงแท่นยิงแนวดิ่ง VLS(Vertical Launching System) สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนอย่าง UGM-109 Tomahawk สหรัฐฯที่เปิดตัวในงาน IMDEX 2017 ที่สิงคโปร์เป็นครั้งแรก(http://aagth1.blogspot.com/2017/05/saab-a26-tomahawk.html)
เรือดำน้ำ A26 ทั้งสามรุ่นยังถูกออกแบบให้สามารถปฏิบัติการได้ทั้งสภาพภูมิอากาศในทะเลเขตร้อนและทะเลเขต Artic ด้วย

A26 เป็นเรือดำน้ำที่ยุคอนาคตที่ออกแบบในรูปแบบ Modular ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยใช้ Stealth Technology ล่าสุดที่ทำให้เรือมีความเงียบในการปฏิบัติการได้เป็นระยะเวลายาวนาน
พร้อมระบบสื่อสารทางยุทธวิธีขั้นก้าวหน้าแบบบูรณาการ A26 สามารถทำการติดต่อสื่อสารได้ทั้งกับทั้งกองทัพและหน่วยงานพลเรือน

A26 ยังเป็นเรือดำน้ำที่มีความอ่อนตัวในการปฏิบัติการสูง ทั้งภารกิจการรักษาความปลอดภัยทางทะเล, ปฏิบัติการข่าวกรอง, การวางทุ่นระเบิดในทางลับและต่อต้านการวางทุ่นระเบิด,
การปฏิบัติการพิเศษซึ่ง A26 มีห้องพิเศษ-ช่องปล่อยพิเศษ(MMP: Multimission Portal) ที่หัวเรือรองรับการปฏิบัติการของนักประดาน้ำหน่วยปฏิบัติการพิเศษและยานใต้น้ำไร้คนขับ (UUV: Unmanned underwater vehicles) พร้อมระบบอาวุธ Torpedo 533mm และ 400mm และทุ่นระเบิด

Saab Kockums ได้รับสัญญาจาก FMV สำนักงานการจัดหายุทธภัณฑ์กลาโหมรัฐบาลสวีเดน เพื่อการจัดหาเรือดำน้ำชั้น A26 จำนวน 2ลำวงเงิน 7.6 billion Swedish Krona($929.5 million) สำหรับกองทัพเรือสวีเดนเข้าประจำการภายในปี 2022
สำหรับการส่งออกต่างประเทศ Saab ยังได้เสนอเรือดำน้ำ A26 ของตนในโครงการจัดหาเรือดำน้ำหลายประเทศเช่น โปแลนด์, เนเธอร์แลนด์ และอินเดียครับ

วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

ความคืบหน้าโครงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยในปี ๒๕๖๐-๘

Mass Production Units of VT4(MBT-3000) Main Battle Tanks for Royal Thai Army unveiled in second NORINCO ARMOUR DAY 2017 at Inner Mongolia, China, 16 August 2017  

งานแสดงยุทโธปกรณ์ผลิตภัณฑ์ของ NORINCO สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เขตปกครองตนเองมองโกเลียในเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคมที่ผ่านมานั้น นอกจากยานเกราะใหม่ๆแบบต่างๆ เช่น รถถังเบา VT5  รถถังเบาสะเทินน้ำสะเทินบก VN16 และรถรบทหารราบ VN12 กับ VN17ใหม่แล้ว
NORINCO ยังได้เปิดตัวรถถังหลัก VT4 ในสายการผลิตจำนวนมากอีก ๗คันในสีพรางคล้ายแบบ Woodland NATO ซึ่งน่าจะชัดเจนว่าเป็นรถถังหลัก VT4 ของกองทัพบกไทย ที่หมายเลขบนป้อมปืนแสดงถึงคันที่๒๓
กองทัพบกไทยได้สั่งจัดหารถถังหลัก VT4 จากจีนระยะที่๑ จำนวน ๒๘คัน วงเงิน ๔,๙๘๔ล้านบาทในปี พ.ศ.๒๕๕๙(2016) และระยะที่๒ อีก ๑๑คันในปี พ.ศ.๒๕๖๐(2017) รวม ๓๙คัน โดยคาดว่าจะมีการลงนามสัญญาจัดหาอีกในปีหน้า(2018) เพื่อให้ครบทั้งกองพันอีกราว ๑๐คัน
จากการนำ ถ.หลัก VT4 มาแสดงในงานของ NORINCO ทำให้เป็นที่เชื่อว่ารถชุดแรกน่าจะส่งมอบให้กองทัพบกไทยได้ภายในปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า(2017-2018) โดยคาดว่าจะเข้าประจำการที่ กองพันทหารม้าที่๖ กรมทหารม้าที่๖ กองพลทหารม้าที่๓ เป็นหน่วยแรกครับ

M60A1 20th Cavalry Battalion Royal Guard, 5th Cavalry Regiment Royal Guard, 2nd Cavalry Division Royal Guard, Royal Thai Army at firing range, 14 May 2015

มีข้อมูลเพิ่มเติมรายงานมาว่ารถถังหลัก M60A1 ที่ประจำการใน กองพันทหารม้าที่๒๐ รักษาพระองค์, กรมทหารม้าที่๕ รักษาพระองค์, กองพลทหารม้าที่๒ รักษาพระองค์นั้น 
กองทัพบกไทยมีแผนที่จะปรับปรุงความทันสมัยของรถถังหลัก M60A1 ซึ่งตามที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่าระบบควบคุมการยิง  FCS-10MS อิสราเอลที่ได้รับการติดตั้งไปเมื่อ ๒๐กว่าปีที่แล้วนั้นมีอายุการใช้งานมากจำเป็นต้นเปลี่ยนใหม่(โครงการซ่อมคืนสภาพที่เคยทำไม่มีการดำเนินการต่อ)
ทั้งนี้กองทัพบกไทยได้ดำเนินการปรับปรุงรถถังหลัก M60A3 กองพันทหารม้าที่๑๗ รักษาพระองค์ กองพลทหารม้าที่๒ รักษาพระองค์ โดยบริษัท Elbit Systems อิสราเอลชุดแรก ๕คัน และกำลังดำเนินการปรับปรุง M60A3 กองพันทหารม้าที่๕ รักษาพระองค์ ๕คัน
และมีแผนที่จะทยอยปรับปรุง M60A3 อีก ๑๖คัน ทั้งรถของ ม.พัน.๑๗ รอ. และ ม.พัน.๕ รอ. รวมเป็น ๒๖คัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พล.ม.๒ รอ.จะยังคงประจำการรถถังหลักตระกูล M60 ไปอีกนานโดยปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้นตามงบประมาณที่จำกัดจะเอื้ออำนวยครับ


Royal Thai Army's Special Operation Battalion(former Task Force 90) with SR-25, SIG Sauer SSG 3000 and M110 SASS Sniper Rifles during RTA-US Army Special Forces Vector Balance Torch 17-1 exercise, 24 July-18 August 2017

การฝึกผสมระหว่างกองทัพบกไทยกับกองทัพบกสหรัฐฯ ภายใต้รหัส " Vector Balance Torch 17-1"
กองทัพบกโดย กองพันปฏิบัติการพิเศษ ทำการฝึกร่วมกับหน่วยรบพิเศษจากกองทัพบกสหรัฐฯ ภายใต้รหัส " Vector Balance Torch 17-1" ในห้วงระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม – 18 สิงหาคม 2560 ณ พื้นที่ฝึกใน อ.ประจวบคีรีขันธ์, จ.สระบุรี, จ.ชลบุรี, กรุงเทพฯ,จ.ลพบุรี และ ชัยนาท
ในการฝึกครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์กับหน่วยรบพิเศษสหรัฐฯ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกไทยต่อไป

Result of Sniper Frontier 2017 Thailand team taked 15th place with WRONG National Flag picture(that Tajikistan flag)

สำหรับผลการแข่งขันพลซุ่มยิงนานาชาติ Sniper Frontier 2017 ในการแข่งทางทหารนานาชาติ International Army Games 2017 ที่คาซัคสถานซึ่งการแข่งที่จบลงในวันที่ ๘ สิงหาคมนั้นทีมไทยได้เพียงอันดับที่๑๕ ตามที่ได้รายงานไป
โดยผลการแข่งSniper Frontier 2017 ผู้ชนะอันดับที่๑ คาซัคสถาน(เจ้าภาพ) อันดับที่๒ รัสเซีย(เจ้าภาพร่วม) อันดับที่๓ จีน(เจ้าภาพร่วม) อันดับที่๔ เบลารุส และอันดับที่๕ อุซเบกิสถาน
ก็อย่างที่เห็นครับว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ชุดพลซุ่มยิงกองทัพไทยได้คะแนนไม่ดีมีสองประเด็นคือ สรีระร่างกายที่แข็งแรงไม่พอจะสู้ชาติอื่นที่ลงแข่งได้ กับกติกาในการแข่งและอาวุธที่จัดหาให้ใช้โดยเจ้าภาพซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่มีใช้ในกองทัพไทยและตำรวจไทย

พลซุ่มยิงของกองทัพบกไทย, กองทัพเรือไทย กองทัพอากาศไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่คัดมาอยู่ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายสากล กองบัญชาการกองทัพไทย ศตก.บก.ทท(CTOC: Counter Terrorist Operations Center)
ล้วนเป็นกำลังพลชุดพลซุ่มยิงที่มีความชำนาญสูงสุดในกองทัพไทย แต่ทว่าทักษะที่เรามีไม่สามารถจะนำมาใช้ในการแข่งทางทหารที่เอื้ออำนวยให้รัสเซียกับชาติพันธมิตรชนะและปิดประตูให้ทีมกองทัพไทยต้องแพ้ลักษณะนี้ได้
(แถมผลการแข่งที่ลงใน Website ทางการของกระทรวงกลาโหมรัสเซียที่ลงธงชาติไทยผิดเป็นธงชาติทาจิกิสถาน ก็แสดงให้เห็นว่ารัสเซียไม่ได้ใส่ใจอะไรกับไทยเราเลย http://aagth1.blogspot.com/2017/08/tank-biathlon-2017-sniper-frontier-2017.html)
ส่วนตัวมองว่ากองทัพไทยควรจะต้องพิจารณาให้รอบคอบครับว่า เราควรจะส่งกำลังพลไปลงแข่งในปีต่อๆไปโดยเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่านี้ก่อนดีหรือไม่ หรือควรจะขยายการส่งกำลังพลไปแข่งในรายการอื่นที่แข่งอย่างไรกลุ่มประเทศเจ้าภาพก็ได้รางวัลชนะเลิศหรือไม่ครับ

Hanuman Guardian 2017 is Royal Thai Army and US Army Pacific Command exercise designed Military-to-Military relationships and mission readiness. 

การฝึกผสม ระหว่างกองทัพบกไทยและกองทัพบกสหรัฐฯ(กองบัญชาการแปซิฟิค) ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยมีพื้นที่การฝึกหลักที่ค่ายสุรสีห์ กองพลทหารราบที่๙ กาญจนบุรี นั้น
ก็เป็นหนึ่งในการฝึกขนาดใหญ่ระหว่างกองทัพไทย-สหรัฐฯ ที่มีการนำกำลังพลและยุทโธปกรณ์หลายแบบเข้าร่วมการฝึก ทั้งยานเกราะล้อยาง BTR-3E1 ของไทย ยานเกราะล้อยาง Stryker และเฮลิคอปเตอร์ UH-60 กองทัพบกสหรัฐฯ
เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ทางทหารที่แน่นแฟ้นอันดีระหว่างกองทัพบกไทยและกองทัพบกสหรัฐอย่างชัดเจนดีครับ









Royal Thai Navy's Carrier Task Group of Surface Warfare course 2017 include CVH-911 HTMS Chakri Naruebet, FFG-421 HMTS HTMS Naresuan, FFG-422 HTMS Taksin and FFG-458 HTMS Saiburi with 1 SH-60B and 1 MH-60S, 15-18 August 2017    

กองเรือยุทธการ สนับสนุนเรือและอากาศยานให้นายทหารนักเรียนหลักสูตรยุทธวิธีเรือผิวน้ำ ออกเรือฝึกภาคปฏิบัติในทะเล ระหว่างวันที่ 15-18 สิงหาคม 2560
โดยมีเรือและอากาศยานร่วมการฝึกครั้งนี้ได้แก่ เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน เรือหลวงสายบุรี เรือหลวงปัตตานี เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบที่ 1 (S– 70 B) จำนวน 1 เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงและกู้ภัย (MH-60S ) จำนวน 1 เครื่อง 
เพื่อให้นายทหารนักเรียนและนายทหารประจำเรือมีความรู้ความสามารถด้านการปฏิบัติการทางเรือต่างๆ และการปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือรบและอากาศยานของกองทัพเรือ ซึ่งในปัจจุบันมีการฝึกการปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือรบและอากาศยานของกองทัพอากาศด้วย 
นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของกองทัพเรือให้มีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น นับเป็นการวางพื้นฐานสำคัญในการสร้างนายทหารที่เป็นผู้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางเรือ อันจะเป็นกำลังสำคัญของกองทัพเรือต่อไปในอนาคต
https://www.facebook.com/prthainavy/posts/1636336289751054

หมู่เรือเฉพาะกิจ ร.ล.จักรีนฤเบศร ที่เข้าร่วมการสนับสนุนการฝึกในหลักสูตรยุทธวิธีเรือผิวน้ำของนายทหารนักเรียนกองทัพเรือ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๘ สิงหาคมที่ผ่านมา
เป็นการแสดงหลักฐานที่ชัดเจนในการยืนยันว่า ร.ล.จักรีนฤเบศร ไม่ได้จอดเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเฉยๆ แต่มีภารกิจออกฝึกประจำตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ.๒๕๖๐(2017) นี้ ร.ล.จักรีนฤเบศรก็ออกเรือปฏิบัติการในทะเลมาหลายครั้งแล้ว เช่น
การฝึกผสม CARAT 2017 ที่อ่าวไทย และ การฝึกผสม Guardian Sea 2017 ที่ทะเลอันดามัน กับกองทัพเรือสหรัฐฯ, การฝึกร่วมกองทัพเรือและการฝึกร่วมกองทัพไทยประจำปี ๒๕๖๐ และการอวดธงที่งานแสดงอาวุธทางเรือ IMDEX ASIA 2017 ที่สิงคโปร์
การที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติที่มักจะนำมาใช้เป็นประเด็นยกขึ้นมาโจมตีบ่อยครั้งว่า ร.ล.จักรีนฤเบศร แต่ละปีไม่เคยออกทะเลเพราะสิ้นเปลืองมากจนเพรียงเกาะเต็มท้องเรือนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิงครับ

Royal Thai Navy LST-722  HTMS Surin Radio Mast damaged after collide Krungthep Bridge at Chao Phraya river in Bangkok, 3 August 2017 

กรณีที่กองทัพเรือไทยถูกวิจารณ์ในทางลบอย่างมากในเดือนสิงหาคมคือ อุบัติเหตุเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ ร.ล.สุรินทร์ ขณะเดินทางในแม่น้ำเจ้าพระยาลอดผ่านสะพานกรุงเทพขณะเปิดสะพาน แต่เสากระโดงที่ติดตั้งชุดสายอากาศวิทยุชนสะพานได้รับความเสียหาย
โดยสะพานกรุงเทพเป็นสะพานโยกแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังคงเปิดใช้งาน โดยเริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ๒๕๐๒(1959) 
ทางโฆษกกองทัพเรือได้มีการชี้แจงต่อสาธารณชนแล้วว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขณะนั้นสูงมากและมีคลื่นใต้น้ำไหลแรง แม้ว่าจะมีการเตรียมการป้องกันแล้วแต่ก็เกิดเหตุขึ้น
โดยความเสียหายตัวเรืออยู่ในระดับที่ซ่อมแซมได้ซึ่งปัจจุบัน ร.ล.สุรินทร์ ได้จอดเทียบท่าที่อู่พระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ เพื่อรอการประเมินความเสียหาย และทางกองทัพเรือจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุต่อไป

ร.ล.สุรินทร์ เป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ ชุดแรกๆ ที่สร้างในไทยโดยบริษัทอู่เรือกรุงเทพ Bangkok Dock เข้าประจำการเมื่อ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๒(1989) (เหตุเกิดขณะเรือเดินทางออกจาก อู่กรุงเทพ หลังการซ่อมบำรุงตามวงรอบ)
มีระวางขับน้ำเต็มที่ 4,245tons ความยาวตลอดลำ 112.5m กว้าง 15.4m สูงถึงยอดเสา 21.2m กินน้ำลึกสุด 4.14m ความเร็วสูงสุด 16knots ความเร็วมัธยัสถ์ 12knots พิสัยทำการ 7,000nmi กำลังพลประจำเรือ ๑๒๒นาย
อาวุธปืนใหญ่กล Bofors 40/L70 ๑กระบอก, ปืนใหญ่กล Rheinmetall Mk20 20mm ๒กระบอก, ปืนกลหนัก M2 .50cal ๒กระบอก มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนดาดฟ้าเรือ รองรับ ฮ.ขนาดกลาง หรือรถยนต์บรรทุก HMMWV 1 1/4tons ได้ ๑๐คัน 
รองรับเรือระบายพลขนาดเล็ก LCVP ๔ลำ บรรทุกทหารราบได้ ๓๕๔นาย รถสะเทินน้ำสะเทินบก AAV7A1 ๑๒คัน หรือรถถังหลัก M60 ๑๓คัน หรือยุทโธปกรณ์หนัก 850tons  

ร.ล.สุรินทร์ได้ปฏิบัติราชการสนามมาหลายครั้ง เช่น ภารกิจการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติที่ติมอร์ตะวันออกเมื่อปี ๒๕๔๗(2004) การฝึกนักเรียนนายเรือ และการฝึกร่วมกับกองทัพมิตรประเทศต่างๆ เช่น Cobra Gold และ CARAT
อย่างไรก็ตามเหตุดังกล่าวได้ถูกนำมาเป็นประเด็นโจมตีโดยผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองว่า ผู้บังคับการเรือ ต้นเรือ ต้นหน ต้นกล และกำลังประจำเรือ ร.ล.สุรินทร์ ทุกนายไร้ความสามารถทำงานประมาทเลินเล่อผลาญภาษีประชาชน และกองทัพเรือแถลงแก้ตัวไม่ยอมรับความผิดใดๆ
นี่เป็นอีกกรณีหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า แม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อยแต่ผู้มีประสงค์ร้ายต่อชาติบ้านเมืองของเราก็นำมาโจมตีกองทัพเรือราวกับว่าทหารเรือไทยสะเพร่าเอาเรือไปจมในแม่น้ำ 
โดยต้องการให้ทหารเรือทุกนายที่เกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษสถานหนักจนถึงขั้นไล่ออกจากราชการ รวมถึงการใช้ถ้อยคำผรุสวาทโจมตีแบบเหมารวมอย่างไร้สติสัมปชัญญะ

Royal Thai Navy's new Frigate FFG-471 HTMS Tachin launching ceremony at Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering(DSME) Okpo-Dong shipyard, Geoje, South Gyeongsang, Busan, Republic of Korea, 23 January 2017

Royal Thai Navy's RGM-84 Harpoon Anti-Ship Missile firing

หรือการที่สหรัฐฯอนุมัติการขายอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ RGM-84L Harpoon Block II ๕นัดและลูกฝึก RTM-84L ๑นัดวงเงิน $24.9 million หรือประมาณ ๘๓๑ล้านบาท ตามที่ได้รายงานไป(http://aagth1.blogspot.com/2017/08/harpoon-block-ii.html)
ก็ถูกนำมาโจมตีว่าเป็นการจัดหาอาวุธเพื่อเอาใจสหรัฐฯในจำนวนน้อยแต่มีราคาแพง ทั้งๆที่ไม่ได้ดูความเป็นจริงเลยว่าระบบอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำตระกูล Harpoon นั้นเป็นระบบที่กองทัพเรือไทยจัดหามาใช้มานานกว่า ๓๐ปี เช่นที่ติดในเรือคอร์เวตชุด ร.ล.รัตนโกสินทร์ แล้ว
ซึ่ง Harpoon Block II เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำรุ่นใหม่ที่จะถูกนำมาเป็นอาวุธหลักหนึ่งของเรือฟริเกตสมรรถนะสูงชุด ร.ล.ท่าจีน(ลำที่๓) ที่กำลังดำเนินการสร้างที่อู่เรือบริษัท Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering(DSME) สาธารณรัฐเกาหลี ที่จะส่งมอบในปีหน้า(2018)
เป็นหนึ่งในระบบอาวุธที่จัดหาจากสหรัฐฯร่วมกับ Phalanx CIWS 20mm และ RIM-162 ESSM พร้อม Mk41 VLS การที่จัดหามาในจำนวนน้อยก็เนื่องจากตัวจรวดมีอายุการจำกัดจึงทยอยสั่งมาทีละน้อยเพื่อให้หมดอายุเป็นชุดๆไป(วงเงิน $25 million สำหรับการจัดหาอาวุธถือว่าน้อยมาก)

หรือแม้แต่การที่กองทัพเรือส่งกำลังพล เรือตรวจการณ์ลำน้ำ และเรือผลักดันน้ำ ช่วยเหตุน้ำท่วมในภาคอีสาน ที่ทหารเรือและเรือของกองเรือลำน้ำ และหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นรข. ทำการช่วยเหลือประชาชนแบบไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน 
กลับถูกคนบางกลุ่มใส่ร้ายว่าเป็นการทำแบบเสียไม่ได้เพื่อเอาหน้าผู้บังคับบัญชา แถมการช่วยเหลือต่างๆที่กล่าวมาเช่นการใช้เรือดันน้ำก็ไม่ได้มีประโยชน์ช่วยระบายน้ำอะไรได้จริง และทหารเรือไม่ได้ทำงานเปล่าๆแต่ทำเพื่อเอาเงินเดือนตามหน้าที่เท่านั้น
ซึ่งประชาชนผู้เห็นแก่ตัวส่วนหนึ่งที่ไม่ต้องการเสียภาษีให้กองทัพเรือแต่อยากได้นู่นได้นี่โดยที่ตัวเองไม่ต้องจ่ายอะไรเลย และบรรดาสื่อปลอมไร้จรรยาบรรณที่เป็นแหล่งมั่วสุมกระจายขายข่าวเท็จทำลายขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจเหล่านี่ต่างหากที่เป็นภัยคุกคามของชาติที่แท้จริงครับ

First Flight of T-50TH Lead-In Fighter Trainer serial number 40101, 401st Squadron, Wing 4, Royal Thai Air Force at Korea Aerospace Industries facility Republic of Korea 10 August 2017

ตามที่ page Facebook กองทัพอากาศไทยได้เผยแพร่ภาพการทดสอบการบินขึ้นครั้งแรกของเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่  KAI T-50TH ที่โรงงานอากาศยาน Korea Aerospace Industries สาธารณรัฐเกาหลี
โดย T-50TH ที่ปรากฎในภาพมีหมายเลขเครื่อง 40101 เป็นเครื่องแรกในจำนวนชุดแรก ๔เครื่องของฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ ตาคลี ที่สั่งจัดหาในโครงการจัดหาเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้น ระยะที่๑ วงเงิน ๓,๗๐๐ล้านบาท($108 million) เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๘(2015)
ขณะนี้นอกจาก T-50TH หมายเลข 40101 ยังไม่พบภาพเครื่องหมายเลขอื่น(40102, 40103 และ 40104) ในสายการผลิตของโรงงาน KAI แต่เข้าใจว่าน่าจะมีการเปิดตัวครบทั้ง ๔เครื่องในช่วงใกล้ส่งมอบตามกำหนดในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๖๑(2018)

ทั้งนี้ตามที่คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติโครงการจัดหา T-50TH ระยะที่๒ อีก ๘เครื่องวงเงินประมาณ ๘,๘๐๐ล้านบาท($258 million) ไปเมื่อ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐(2017) โดยกองทัพอากาศไทยต้องการ T-50TH ครบฝูงราว ๑๖เครื่อง
ก็ควรจะมีลงนามสัญญาจัดหาระหว่างกองทัพอากาศไทยกับ KAI เกาหลีใต้ในเร็วๆนี้ครับ เพราะสายการผลิตจะได้ต่อเนื่องส่งมอบได้รวดเร็วทันใช้งาน เพื่อทดแทน บ.ขฝ.๑ L-39ZA/ART ที่จะย้ายไปรวมที่ฝูงบิน๔๑๑ กองบิน๔๑ เชียงใหม่ ฝูงเดียวเป็นฝูงสุดท้ายก่อนจะยุบฝูง
ถ้าดูตัวอย่างเช่น กองทัพอากาศฟิลิปปินส์ลงนามจัดหา FA-50PH ๑๒เครื่องเมื่อ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗(2014) ใช้เวลาส่งมอบครบ ๑๒เครื่อง ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐(2017) รวมระยะเวลาราว ๓ปี ถ้ากองทัพอากาศไทยลงนาม T-50TH ระยะที่๒ และระยะที่๓ ช้าก็จะได้รับมอบเครื่องช้าตามครับ

J-10A People's Liberation Army Air Force at Zhuhai Airshow(wikipedia.org)

การฝึกผสม Falcon Strike 2017 ซึ่งเป็นการฝึกผสมทางอากาศร่วมกับระหว่างกองทัพอากาศไทย(Royal Thai Air Force) และกองทัพอากาศปลดปล่อยประชาชนจีน(People's Liberation Army Air Force) ระหว่างวันที่ ๑๗ สิงหาคม-๓กันยายน พ.ศ.๒๕๖๐(2017) นั้น
ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมจีนระบุว่าได้ส่งเครื่องบินขับไล่ J-10A จำนวน ๖เครื่องพร้อมเครื่องบินลำเลียงหนัก IL-76 สำหรับสนับสนุน เดินทางมาฝึกที่พื้นที่ประเทศไทย
แต่ทางกระทรวงกลาโหมและกองทัพอากาศไทยนั้นกลับไม่มีการแถลงข่าวประสัมพันธ์ข้อมูลใดๆออกมาเลย นอกจากมีข้อมูลเล็กน้อยมากว่าพื้นที่การฝึกน่าจะเป็น กองบิน๒๓ อุดรธานี โดยกองทัพอากาศไทยน่าจะนำเครื่องบินโจมตี บ.จ.๗ Alpha Jet ฝูงบิน๒๓๑ ทำการฝึกกับฝ่ายจีน

ทำให้การฝึกผสม Falcon Strike 2017 ซึ่งเป็นครั้งที่๒ มีความต่างจากการฝึกผสม Falcon Strike 2015 ที่เป็นครั้งแรกที่ทำการฝึกที่ กองบิน๑ โคราช ช่วงวันที่ ๑๖-๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๘(2015)มาก
เพราะการฝึก Falcon Strike ครั้งแรกนั้นฝ่ายจีนส่ง J-11(Su-27SK) ทำการฝึกร่วมกับเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๒๐ Gripen C/D ฝูงบิน๗๐๑ กองบิน๗ สุราษฎณ์ธานี ซึ่งแม้ว่าผลการฝึกจะเป็นความลับของกองทัพอากาศทั้งสองประเทศ แต่ก็มีการประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณชน
ดูเหมือนจะมีการวิเคราะห์ตามข่าวลือมาว่ากองทัพอากาศไทยได้รับการรอขอจากมิตรประเทศไม่ให้นำอากาศยานรบสมรรถนะสูงที่ผลิตโดยตะวันตก เช่น บ.ข.๑๙ F-16A/B Block 15 OCU, ADF และ EMLU รวมถึง Gripen มาฝึกกับจีน เพื่อเป็นการรักษาความลับข้อมูลระบบไม่ให้ถึงมือจีนครับ 



F-16A/B ADF 102nd Squadron Royal Thai Air Force and F-16A/B/C/D 16 Squadron and Hawk 109/209 12 Squadron Indonesian Air Force in Elang Thainesia XVIII at Roesmin Nurjadin Airbase 30 July-10 August 2017
อย่างไรก็ตามการฝึกผสม Falcon Strike 2017 นั้นไม่ใช่การฝึกเดียวระหว่างกองทัพอากาศไทยและมิตรประเทศในช่วงนี้ 
โดยกองทัพอากาศไทยพึ่งจะเสร็จสิ้นการฝึกผสม Elang Thainesia XVIII กับกองทัพอากาศอินโดนีเซีย(Tentara Nasional Indonesia-Angkatan Udara)ที่ ฐานทัพอากาศ Roesmin Nurjadin เมือง Pekanbaru อินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐(2017)
ซึ่งการฝึก Elang Thainesia 2017 กองทัพอากาศไทยได้ส่งเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๙/ก. F-16A/B ADF ฝูงบิน๑๐๒ กองบิน๑ ๖เครื่อง ฝึกกับ F-16A/B/C/D ฝูงบินที่16(Skadron Udara 16) ๕เครื่อง และ Hawk 109/209 ฝูงบินที่12(Skadron Udara 12) ๕เครื่องของกองทัพอากาศอินโดนีเซีย

และระหว่างวันที่ ๓-๑๕ กันยายน กองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศออสเตรเลีย(Royal Australian Air Force) จะดำเนินการฝึกผสม THAI BOOMERANG 17 ที่กองบิน๑ โคราช
โดยการฝึก THAI BOOMERANG 2017 กองทัพอากาศไทยจะส่ง F-16 จากฝูงบิน ๑๐๒ กับ ฝูงบิน๑๐๓ กองบิน๑ และฝูงบิน๔๐๓ กองบิน๔ ตาคลี ร่วมฝึกกับ F/A-18A/B ฝูงบิน75(No. 75 Squadron) กองทัพอากาศออสเตรเลียที่เดินทางมาไทย
ซึ่งกองทัพอากาศไทยก็เป็นหนึ่งในเหล่าทัพหลักทั้งสี่เหล่าทัพที่มีการฝึกร่วมกับนานามิตรประเทศตลอดทั้งปีไม่มีหยุดพักครับ