วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Boeing สหรัฐฯได้รับสัญญาพัตนาถังเชื้อเพลิง CFT สำหรับเครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F Super Hornet

Video: Boeing Wins US Navy Contract to Develop CFT for Super Hornet
Scale model of the Block III Super Hornet at Sea Air Space 2017. Note the CFTs on top of the aircraft.

Scale model of the new Block III Super Hornet at Sea Air Space 2017. Note the IRST.

Detailed view: New satellite link/GPS antenna

Detailed view: RCS improvements

The new Advanced Cockpit System by Elbit Systems on display at Sea Air Space 2017.
https://navyrecognition.com/index.php/news/defence-news/2018/february-2018-navy-naval-defense-news/5961-video-boeing-wins-us-navy-contract-to-develop-cft-for-super-hornet.html


กองบัญชาการะบบอากาศนาวี(NAVAIR: Naval Air Systems Command) กองทัพเรือสหรัฐฯ(US Navy) ได้ประกาศสัญญาว่าจ้างแก่บริษัท Boeing สหรัฐฯ
สำหรับการออกแบบ, พัฒนา, ทดสอบ และบูรณาการติดตั้งถังเชื้อเพลิงแบบแนบลำตัวเครื่อง CFT(Conformal Fuel Tanks) สำหรับเครื่องบินขับไล่ Boeing F/A-18E/F Super Hornet

แผนการนำถังเชื้อเพลิง CFT มาติดตั้งกับ Super Hornet ปรากฎขึ้นครั้งในปีที่แล้วระหว่างานแสดงอาวุธทางเรือ Sea-Air-Space 2017 ของสันนิบาตนาวี ที่ Boeing ได้เปิดตัวแบบแผนเครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F Super Hornet Block III รุ่นใหม่เป็นครั้งแรก
Super Hornet Block III ประกอบไปด้วยการปรับปรุงหลายรายการสำหรับเครื่องรุ่น Block II ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการปรับปรุงเหล่านี้(ที่ Boeing แสดง 5รายการ) จะเพิ่มขีดความสามารถที่มากยิ่งขึ้นสำหรับเครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F ที่มีค่าใช้จ่ายเหมาะสมและได้รับการสูจน์ในการรบจริงแล้ว(เช่นเดียวกับเครื่องบินโจมตีสงครามอิเล็กทรอนิกส์ EA-18G Growler)

การปรับปรุงที่เห็นได้ชัดที่สุดคือถังเชื้อเพลิง CFT ซึ่งจะทำให้เครื่องเพิ่มพิสัยการบินมากขึ้น, ระยะเวลาทำการบินที่มากขึ้น และมีแรงต้านอากาศที่น้อยลง โดยเป็นถังเชื้อเพลิงเสริมภายนอกที่ติดแนบไปกับโครงการลำตัวเครื่องเพื่อเพิ่มและพิสัยและระยะเวลาการประจำสถานี(time on station)
CFT จะลดการเสียคุณลักษณะทางอากาศพลศาสตร์เมื่อเทียบกับถังเชื้อเพลิงภายนอกและยังทำให้เครื่องไม่เสียตำบลอาวุธทำให้สามารถติดตั้งอาวุธและอุปกรณ์ได้มากขึ้น คาดว่าพิสัยการรบของเครื่องรุ่น Block III จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อน 150nmi เมื่อเทียบกับถังเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม

ระบบตรวจจับ IRST(Infrared Search and Track) ประกอบด้วยตัวตรวจจับ IRST21 ของบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯ, ชุดประกอบถังเชื้อเพลิง GE Aviation FPU-13 และระบบควบคุมสภาพแวดล้อม Environmental Control unit ของ Meggitt Defense Industry
ระบบกระเปาะ IRST ดังกล่าวได้รับการสาธิตว่าความพร้อมในการผลิต ตามที่มีได้มีการทดสอบปรนะเมินค่าและสรุปผลมาแล้วหลายรายการ รวมถึงการทดสอบการทำการบิน กระเปาะ IRST Block I ได้คาดว่าจะนำมาวางกำลังร่วมกับ Super Hornet ในปี 2017

ระบบตรวจจับ IRST มีความสำคัญมากในการเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามทางทางกาศ โดยขยายความสามารถในการตรวจจับหลายเป้าหมายในความละเอียดสูงเมื่อเทียบกับ Radar เพิ่ทางเลือกในการแยกแยะรูปแบบภัยคุกคามจากระยะไกลที่สูงมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลจากระบบตรวจับ IRST จะถูกรวมเข้าข้อมูลจากระบบตรวจจับอื่นๆที่ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F เพื่อเพิ่มการหยั่งรู้สถานการณ์ของนักบินพร้อมรบประจำเครื่องให้สูงที่สุด

ระบบ Compters และระบบเครือข่าย Datalink ใหม่ทำให้ Super Hornet Block III สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมากกับเครื่องโจมตีสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Growler และเครื่องบินแจ้งเตือนควบคุมทางอากาศ E-2D Advanced Hawkeyes
ผ่านทางเครือข่ายการชี้เป้าหมายทางยุทธวิธี TTNT(Tactical Targeting Network Technology) และได้รับข้อมูลในเวลาจริง

F/A-18E/F Super Hornet Block III ยังได้รับการปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อลดระดับค่าภาคตัดขวาง Radar(RCS: Radar Cross Section) เพื่อลดการสะท้อนคลื่น Radar ให้ถูกตรวจจับได้ยากขึ้น
ประกอบด้วยการออกแบบส่วนช่องยิงปืนใหญ่อากาศหกลำกล้องหมุน M61A2 Vulcan 20mm ที่หัวเครื่องใหม่ เช่นเดียวกับการปรับปรุงระบบตรวจจับมุมโจมตี(angle of attack sensors เครื่องวัดมุมองศาที่ต่างกันระหว่างหัวเครื่องกับทิศทางการเคลื่อนที่ของเครื่อง ที่ติดตั้งด้านข้างของหัวเครื่อง)

ระบบห้องนักบิน All Glass Cockpit ขั้นก้าวหน้า แบบ Advanced Cockpit System(ACS) ที่ออกแบบโดยบริษัท Elbit Systems USA อิสราเอลสาขาสหรัฐฯ ประกอบไปด้วยระบบประมวลผลภารกิจ, จอภาพตรงหน้า (HUD: Head-Up Display) แบบความโดดดเด่นต่ำ
และจอแสดงผลความละเอียด HD แบบ touch screen ขนาด 10x19" พร้อมความสามารถ picture-in-picture  ปรับแต่งจอแสดงผลสถานการณ์ทางยุทธวิธี, ประมวลผล applications ขั้นก้าวหน้า และแสดงภาพวีดิทัศน์จากระบบตรวจจับขั้นก้าวหน้าในความละเอียดสูง

ตามที่ Navy Recognition ได้พูดคุยกับตัวแทนของ Boeing ในงาน Sea-Air-Space 2017 เครื่องบินขับไล่ F/A-18E/F Super Hornet Block III จะกลายเป็นจุดศูนย์รวมอัจฉริยะของเครือข่ายข้อมูลจำนวนมากและเพิ่มพิสัยทำการและระยะที่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ปัจจุบันกองทัพเรือสหรัฐฯแล้ว เครื่องบินขับไล่ F/A-18F และเครื่องบินโจมตีอิเล็กทรอนิกส์ EA-18G ยังถูกส่งออกประจำการในกองทัพอากาศออสเตรเลีย(RAAF: Royal Australian Air Force) และเสนอ F/A-18E/F ให้กับคูเวต 40เครื่อง และในโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ใหม่ของหลายประเทศทั่วโลกครับ