Naval Research & Development Office (NRDO), Royal Thai Navy (RTN) with
Thailand companies B.J.Supply 2017, Oceanus Research and Development and
X-Treme Composites was demonstrated new Maritime Aerial Reconnaissance Craft
Unmanned System (MARCUS) Vertical Take-Off and Landing (VTOL) Unmanned Aerial
Vehicle (UAV), "MARCUS-B (2024)" now also referred as "MARCUS-C" take off and
landing on CVH-911 HTMS Chakri Naruebet helicopter carrier.
Admiral Adoong Pan-Iam, the Commander-in-Chief of the Royal Thai Navy was
inspected MARCUS-C VTOL UAV on CVH-911 HTMS Chakri Naruebet during fleet
review for farewell RTN commissioned officers and non-commissioned officers in
end of Fiscal Year 2024 at Gulf of Thailand on 19 September 2024. (Combat
Zones, Panupong Khoomcin)
ภาพและวิดีโอของอากาศยานไร้นักบิน MARCUS-B (2024) สาธิตการขึ้นลงบน
รล.จักรีนฤเบศร เพื่อให้ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับชม
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567
ข้อมูลอากาศยานไร้คนขับ MARCUS-B รุ่นผลิตทดลองประจำการ งป.67 (codename
MARCUS-C)
ผลการวิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนทางทะเล (MARCUS :
Maritime Aerial Reconnaissance Craft Unmanned System)
ของกองทัพเรือจากรุ่นแรก MARCUS ซึ่งได้รับทุน สนับสนุนการวิจัยจาก วช. จำนวน
10,000,000 บาทในห้วงปี 61-63 มาสู่รุ่นที่สอง MARCUS-B ได้รับทุน
สนับสนุนการวิจัยจาก วช. จำนวน 5,900,000 บาทในห้วงปี 64-65
ในห้วงปี 66 ทร. ได้เสนอพิจารณาขอรับงบประมาณเพื่อทำการผลิต MARCUS-B
นำไปทดลองใช้งาน ประจำการจำนวน 1 ระบบ เป็นจำนวนเงิน 36,000,000 บาท
โดยมีคณะกรรมการ สกพอ. (EEC)
พิจารณาให้ความเห็นชอบตามกรอบนโยบายโครงการบูรณาการ
ด้วยเห็นว่าเป็นการนำผลงานวิจัยเข้าสู่ สายการผลิต
เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของไทย
ตอบสนองแนวทางในการส่งเสริม อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเป้าหมายในอนาคตของประเทศ
(ปัจจุบันมี พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ เป็น ประธาน กพอ.ทร. หรือ EEC ทร.) อีกทั้ง
ทร. ยังได้มีการพัฒนาและวางแนวทางการใช้งาน MARCUS-B ในอนาคต
หากผ่านการทดสอบผลิตใช้งานแล้ว
มีแผนสั่งผลิตเข้าประจำการเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้ง
ยังได้กำหนดแนวทางในการพัฒนาต่อยอดเพื่อให้มีความสามารถในการขึ้นลงบนเรือได้อย่างอัตโนมัติ
พร้อมกำหนดจำนวนเรือเป้าหมายที่ต้องการให้มี MARCUS-B
เข้าประจำการเรียบร้อยแล้ว
ในห้วงปี 67 ทร. โดยสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ
ได้ดำเนินกระบวนการคัดเลือกผู้ประกอบการ สัญชาติไทยเพื่อจ้างผลิต MARCUS-B
ตามคุณลักษณะที่ ทร. กำหนด โดยมีผู้ประกอบการที่ร่วมงานวิจัย
ในโครงการมาตั้งแต่รุ่นแรก ยื่นข้อเสนอและผ่านการคัดเลือกแล้ว
ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการเสนอ ขออนุมัติให้ลงนามในสัญญา
(เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ผู้ประกอบการและกลุ่มนักวิจัย ให้ความร่วมมือแก่ ทร.
ลงทุนและดำเนินการผลิต MARCUS-B รุ่นใหม่ ลำสาธิตให้ ทร. ได้ชมก่อนลงนามในสัญญา
โดยไม่มี ข้อผูกมัดประการใดกับทางราชการ มีผู้ร่วมผลิตคือ B.J.Supply 2017,
Oceanus Research and Development และ X-Treme Composites
เป็นผู้ร่วมผลิตให้กับกองทัพเรือ)
คุณลักษณะของ MARCUS-B รุ่นใหม่ (codename MARCUS-C)
MARCUS-B จำนวน 1 ระบบประกอบด้วยอากาศยานไร้คนขับจำนวน 2 ลำและชุดควบคุม
ภาคพื้นจำนวน 1 ชุด (2 Bird – 1 Ground)
MARCUS-B
ที่ทำการผลิตจะใช้พื้นฐานองค์ความรู้และรูปร่างรูปทรงที่เป็นผลมาจากการวิจัย
มาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์และพื้นที่การใช้งานที่ดีขึ้น
มิติโดยประมาณมี ความยาวระหว่างปลายปีกทั้งสองข้างประมาณ 4.8 เมตร
มีความยาวหัวลำถึงท้ายลำประมาณ2.8 เมตร น้ำหนักขึ้นบินสูงในระหว่าง 35-50
กิโลกรัม
o ขึ้นลงทางดิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 4 ตัวที่สามารถผลิตแรงยกได้สูงสุดเกือบ
120 กิโลกรัม บินเดินทางด้วยเครื่องยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงแบบ 2 สูบ 4 จังหวะ 125
cc (UAV Graded) ควบคุม การจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเลคทรอนิกส์ EFI
ควบคุมแรงดัน อุณหภูมิ และการทำงาน อื่นๆ แบบอัตโนมัติ มีระบบ electronic
starter / alternator สามารถผลิตกระแสไฟฟ้ากลับมา
ใช้ได้ตลอดห้วงระยะเวลาการบิน
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในอัตราประมาณ 1.2-1.8 ลิตรต่อชั่วโมง
ติดตั้งถังน้ำมันความจุ 11 ลิตร (หากไม่มีการติดตั้ง payload
เพิ่มเติมจะสามารถติดตั้งถังน้ำมัน เพิ่มเดิมได้อีกประมาณ 8-10
ลิตร)
ติดตั้งกล้องตรวจการณ์แบบ EO/IR กำลังขยาย 30 เท่า พร้อม Laser Range Finder
ระยะ 5 กิโลเมตร
ติดตั้งระบบ ADS-B ที่สามารถเปิด-ปิด การทำงานได้เมื่อต้องการ
Automatic Dependent Surveillance Broadcast (ADS-B)
เป็นระบบแจ้งพิกัดตนเองแบบอัตโนมัติ ที่ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานสากลไปทั่วโลก
สำหรับอากาศยานโดยทั่วไป ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำให้ MARCUS-B
ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกปลอมในห้วงอากาศสาธารณะ เป็นการให้ความร่วมมือกับ CAAT
ในการบริหารจัดการห้วงอากาศ แต่เมื่อมีความจำเป็นก็สามารถปิดระบบนี้ ทำให้
MARCUS-B ล่องหนได้เมื่อมีความจำเป็น
ระบบการสื่อสารแยกเป็น อากาศยาน 1 ลำ มีระยะทำการไม่ต่ำกว่า 50 NM และอีก 1
ลำมี ระยะทำการไม่ต่ำกว่า 10 NM (จำกัดด้วยงบประมาณที่ได้รับ)
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
GCS ติดตั้งระบบการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี Phased Array (Military Graded) ระยะ
ปฏิบัติการไม่ต่ำกว่า 200 กิโลเมตร ป้องกันการตรวจจับ และต่อต้านการรบกวน (Anti
UAV Jammer)
นักวิจัยของกองทัพเรือร่วมกับผู้ประกอบการสัญชาติไทย (B.J.Supply 2017,
Oceanus R&D, X-Treme Composites) ทำการผลิต MARCUS-B (2024)
ลำต้นแบบเพื่อทำการบินสาธิตให้ผู้บัญชาการทหารเรือได้ชมการขึ้นลงจากเรือที่ออกปฏิบัติการในทะเล
ก่อนทำการผลิตและส่งมอบให้กองทัพเรือเพื่อนำไปทดลองประจำการ
ถูกต้องครับ ...
การทำให้ระบบขับเคลื่อนระบบเดียวทำงานได้ทั้งขึ้น-ลงทางดิ่งและบินเดินทางได้นั้น
มันมีความคุ้มค่า (airworthiness) มากกว่า แต่ด้วยข้อจำกัดในหลายๆด้าน
จากการร่วมพิจารณาจึงได้ข้อตกลงใจที่ดีที่สุดของรุ่นนี้ออกมาว่า
ต้องมีระบบขับเคลื่อนทั้งสองแบบทำงานประสานกัน โดยมีเหตุผลประกอบหลักๆ
เช่น
- การมีระบบขับเคลื่อนสองระบบที่ทำงานสำรองแทนกันได้ (redundant)
จะปลอดภัยกว่า เราเคยมีประสบการณ์เครื่องดับกลางอากาศ
เราก็ได้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยชีวิตไว้ รวมถึงการแก้อาการทรงตัวผิดปกติ
ป้องกันไม่ให้เครื่องพลิกหรือตกเมื่อเจอพายุหนัก
- การสร้างกลไล (mechanic)
เพื่อทำให้ระบบขับเคลื่อนเปลี่ยนทิศได้กับเครื่องบินที่มีน้ำหนักมากกว่า 50 กก.
ขึ้นไปเป็นเรื่องที่ซับซ้อน
อีกทั้งการทำให้เครื่องยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปทำงานประสานกันได้ภายในเสี้ยววินาที
เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก
แต่การใช้มอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะหลีกเลี่ยงปัญหาทุกอย่าง
- ทีมงานตระหนักดีว่า สิ่งที่เราเสียไป (tradeoff)
กับน้ำหนักของระบบขึ้น-ลงทางดิ่งนั้น "คุ้มค่าที่จะแลก"
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้งานของกองทัพเรือ
- เราแก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาในการบินให้นานขึ้น
โดยการปรับแบบโครงสร้างภายนอกเพื่อให้ได้ค่าอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น
และการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงสมรรถนะสูงที่มีความประหยัดมาก
ทีมงานตระหนักดี ในเรื่องของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ขอให้ข้อมูลว่าเรานำรุ่นนี้เข้าสายการผลิต
เพราะมีความมั่นใจในเสถียรภาพและมีความน่าเชื่อถือ (stable / reliable)
ในส่วนของเทคโนโลยีหรือ configuration ใหม่ๆ นั้น
เรายังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง (ออกแบบเอง, สร้างขึ้นมาเองกับมือ, บินเอง,
สอนเอง เราจึงมั่นใจว่าจะปรับจะแก้อะไรอย่างไรก็ได้)
เพียงแต่การจะนำรุ่นใดมาผลิตใช้งานจริงนั้น ต้องมีความมั่นใจ
ว่าจะต้องใช้งานได้จริง ไม่มีปัญหา (การวิจัยและพัฒนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
แบบคู่ขนานกัน)
ทีมงานมีความมั่นใจว่า learning curve ในช่วงปลายของมนุษย์เรานั้นจะสูงมาก
เราจะสามารถพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น
ปัจจุบันเราเริ่มได้รับความไว้วางใจจากหลายฝ่าย
เรายืนยันว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
ขอขอบคุณแรงสนับสนุนในทางบวกจากทุกๆ ท่าน ขอให้เป็นการติเพื่อก่อ การ
discredit กันไม่ได้ช่วยให้สังคมดีขึ้นมาแต่อย่างใด
คนไทยไม่ได้มีแค่ทีมงานของเราเท่านั้นที่ทำเรื่องแบบนี้ได้
ประเทศเรายังมีคนเก่งอยู่อีกมาก ขอแค่ให้ช่วยกันสนับสนุนคนเก่ง "ที่เป็นคนดี"
ให้ได้มีโอกาส ให้ได้รับการสนับสนุน หยุดความขัดแย้ง
หันหน้ามาร่วมมือกันตามความถนัดและโอกาสที่ตนเองมี
ประเทศชาติเราย่อมเจริญครับ
:Captain Panupong Khoomcin นาวาเอก ภาณุพงศ์ ขุมสิน
ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนา สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ
โครงสร้างอากาศยาน(Airframe) ของอากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนทางทะเล
MARCUS-B (2024) รุ่นใหม่ หรือที่ขณะนี้รู้จักในชื่อ MARCUS-C
ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรก งาน 'นาวีวิจัย 2024' ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ
เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๗(2024)(https://aagth1.blogspot.com/2024/08/dpv.html,
https://aagth1.blogspot.com/2024/08/chaiseri-awav-8x8.html)
สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ สวพ.ทร.(NRDO: Naval Research and
Development Office) กองทัพเรือไทย(RTN: Royal Thai Navy) ร่วมกับภาคเอกชนไทยคือ
บริษัท Oceanus Research and Development ไทย, บริษัท X-Treme Composites ไทย
และบริษัท B.J.Supply 2017
ไทยเป็นผู้พัฒนาอากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนทางทะเล MARCUS-C รุ่นใหม่นี้
MARCUS-C ถือว่าเป็นอากาศยานไร้คนขับขึ้นลงทางดิ่ง(VTOL UAV: Vertical Take-Off
and Landing Unmanned Aerial Vehicle)
ในตระกูลอากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนทางทะเล MARCUS(Maritime Aerial
Reconnaissance Craft Unmanned System) รุ่นที่สาม ต่อจากรุ่นแรก MARCUS
ที่มีการทดสอบบนเรือยกพลขึ้นบกอู่ลอย เรือหลวงอ่างทอง(ลำที่๓)(https://aagth1.blogspot.com/2021/02/marcus.html)
และรุ่นที่สองอากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนทางทะเลแบบที่๒ MARCUS-B
ที่ได้มีการทดสอบบนเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ เรือหลวงจักรีนฤเบศร ไปแล้วในปี
พ.ศ.๒๕๖๔(2021)(https://aagth1.blogspot.com/2021/11/marcus-b.html) ซึ่งโครงการได้รับอนุมัติวงเงินในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๗ เพื่อการสร้าง
๑ระบบประกอบด้วยอากาศยานไร้คนขับ UAV จำนวน ๔เครื่อง และสถานีควบคุมภาคพื้นดิน
๑ระบบ
อากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนทางทะเล MARCUS-C
ล่าสุดที่มีการทดสอบการปฏิบัติการบนเรือหลวงจักรีนฤเบศรที่ลอยลำในกระบวนหมู่เรือสวนสนามกับเรือหลายลำของกองทัพเรือไทยในอ่าวไทยเมื่อวันที่
๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๗ ซึ่งได้เห็นครั้งแรกที่อากาศยานไร้คนขับตระกูล MARCUS
ปฏิบัติจากดาดฟ้าบินของเรือขณะที่เรือลอยลำในทะเล
ต่างจากการทดสอบก่อนหน้าที่ดำเนินการขณะเรือจอดเทียบท่า
ขณะที่ MARCUS-B โครงสร้างลำตัว(fuelselage) ในรูปแบบ Blend wings
กับแพนหางท้ายแบบ twin-tail boom แต่ MARCUS-C ใช้โครงสร้างลำตัวรูปแบบ
conventional high wings
แต่ยังคงระบบขับเคลื่อนผสมผสานใบพัดผลักดันท้ายเครื่องกับใบพัดปีกหมุนสี่ชุดที่ให้แรงยกแนวดิ่งอยู่
พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม
ผู้บัญชาการทหารเรือไทยได้รับทราบจากนายทหารโครงการว่าระบบต้นแบบนี้มีงบประมาณในการผลิตเพียง ๓๖,๐๐๐,๐๐๐๐บาท($1,093,080)
เท่านั้น
ขณะที่ระบบ VTOL UAV รูปแบบเดียวกันของต่างประเทศจะมีราคาไม่ต่ำกว่า
๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($9,120,255) ครับ(https://aagth1.blogspot.com/2023/04/dp6-pathum-4.html)