วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

อินเดียลงนามสัญญาจัดหาเครื่องบินขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน Rafale M ฝรั่งเศส 26เครื่อง

India signs contract to procure Rafale M fighter aircraft





The India Navy's initial contract for the Rafale M naval fighter aircraft covers the acquisition of 22 single-seat and four twin-seat aircraft. (Dassault)



รัฐบาลอินเดียได้ลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลฝรั่งเศสที่จะจัดหาเครื่องบินขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน Dassault Rafale M จำนวน 26เครื่องสำหรับกองทัพเรืออินเดีย(IN: Indian Navy)
ข้อตกลงระหว่างรัฐบาล(IGA: Intergovernmental agreement) ได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา(https://aagth1.blogspot.com/2023/07/rafale-m.html)

ซึ่งข้อตกลงครอบคลุมการจัดซื้อจัดจ้างของอินเดียของเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียว Rafale M จำนวน 22เครื่อง และเครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง Rafale สำหรับเป็นเครื่องบินฝึกจำนวน 4เครื่อง กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าว
สัญญาซึ่งมีมูลค่าที่วงเงิน 630 billion Indian Rupee($7.3 billion) ตามรายงานสื่ออินเดีย ยังรวมถึงการฝึก, เครื่องจำลองการบิน simulator, อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง, อาวุธ, และการส่งกำลังบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพ

สัญญายังรวมถึง "สิ่งอุปกรณ์เพิ่มเติม" สำหรับฝูงเครื่องบินขับไล่ Rafale EH/DH ที่อยู่ในประจำการของกองทัพอากาศอินเดีย(IAF: Indian Air Force) แล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2020/09/rafale.html)
กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าวว่าข้อตกลงยังประกอบด้วยการถ่ายทอดวิทยาการ(ToT: Transfer of Technology) เพื่อจะบูรณาการอาวุธที่พัฒนาสร้างในอินเดียกับเครื่องบินขับไล่ Rafale M

ข้อตกลงยังได้รวมการจัดตั้งโรงงานการผลิตในอินเดียเพื่อจะผลิตโครงสร้างลำตัว(fuselage) ของเครื่องบินขับไล่ Rafale(https://aagth1.blogspot.com/2025/01/rafale-80.html
เช่นเดียวกับศูนย์การซ่อมบำรุง, ซ่อมแก้ และซ่อมทำใหญ่(MRO: Maintenance, Repair and Overhaul) สำหรับเครื่องยนต์อากาศยาน, ระบบตรวจจับ, และอาวุธต่างๆ

การส่งมอบของเครื่องบินขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน Rafale M จำนวน 26เครื่องจะเสร็จสิ้นภายในปี 2030 กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าวโดยเสริมว่านักบินกองทัพเรืออินเดียจะถูกฝึกในฝรั่งเศสและอินเดีย
เครื่องบินขับไล่ Rafale M มีความเหมือนกับเครื่องบินขับไล่ Rafale EH/DH จำนวน 36เครื่องของกองทัพอากาศอินเดียในแง่สมรรถนะและคุณลักษณะ(https://aagth1.blogspot.com/2020/12/fa-18ef-ski-jump.html)

ตามข้อมูลของ Janes เครื่องบินขับไล่ Rafale M คุณสมบัติร่วมด้านโครงสร้างและอุปกรณ์ที่ร้อยละ80 และด้านระบบต่างๆประมาณร้อยละ95 กับเครื่องบินขับไล่ Rafale E
อย่างไรก็ตามเครื่องบินขับไล่ Rafale M มีน้ำหนักภารกรรมบรรทุกน้อยกว่าที่ 6,000kg เปรียบเทียบกับเครื่องบินขับไล่ Rafale EH ที่ 9,500kg เครื่องบินขับไล่ Rafale M ยังมีน้ำหนักเครื่องมากกว่า Rafale EH รุ่นใช้งานบนบกที่ 610kg ด้วย

Janes ได้รายงานก่อนหน้านี้ว่าเครื่องบินขับไล่ Rafale M ฝรั่งเศสได้รับเลือกสำหรับโครงการเครื่องขับไล่พหุภารกิจประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน(MRCBF: Multi-Role Carrier Borne Fighter) ของกองทัพเรืออินเดีย
ที่จะนำมาวางกำลังบนเรือบรรทุกเครื่องบิน R33 INS Vikramaditya และเรือบรรทุกเครื่องบิน R11 INS Vikrant ทดแทนเครื่องบินขับไล่ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน MiG-29K/KUB ที่สร้างโดยรัสเซียครับ(https://aagth1.blogspot.com/2023/02/tejas-lca-mig-29k-ins-vikrant.html)

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568

กองทัพอากาศไทยเสร็จสิ้นการทดสอบใช้กำลังทางอากาศประจำปี ๒๕๖๘ ร่วมกับกองทัพเรือไทย




















Royal Thai Air Force (RTAF) concluded comprehensive exercise for testing air power for fiscal year 2025 during 20-27 April 2025, participate units include 
4 of Saab Gripen C/D of 701st Squadron, Wing 7 Surat Thani; 4 of Lockheed Matin F-16A/B Block 15 OCU/ADF of 103rd Squdron, Wing 1 Korat; 4 of F-16AM/BM EMLU Fighting Falcon of 403rd Squadron, Wing 4 Takhli; 4 of Korea Aerospace Industries (KAI) T-50TH Golden Eagle of 401st Squadron, Wing 4 Takhli; and 1 of SAAB 340B ERIEYE airborne early warning (AEW) of 702nd Squadron, Wing 7 Surat Thani;
and Royal Thai Navy (RTN) CVH-911 HTMS Chakri Naruebet helicopter carrier; FFG-471 HTMS Bhumibol Adulyadej guided-missile frigate; FFG-421 HTMS Naresuan, the Naresuan-class guided-missile frigate; OPV-511 HTMS Pattani, the Pattani-class Offshore Patrol Vessel (OPV); PGB-561 HTMS Laemsing Patrol Gun Boat; FAC-331 HTMS Chonburi, Chonburi-class fast attack craft gunboat; Tor.995, Tor.994-class coastal patrol craft; Tor.113, Tor.111-class coastal patrol craft; Tor.229,Tor.228-class inshore patrol boat.; and Tor.266, Tor.265-class inshore patrol boat. (Royal Thai Air Force)

ระดมกำลังเต็มอัตรา ผนึกพลังเหนือเวหามหาสมุทร เพื่อปกป้องแผ่นดิน (สถานการณ์ประกอบการทดสอบใช้กำลังทางอากาศ ประจำปี 68)
กองทัพอากาศ ร่วมกับ กองทัพเรือ ประกอบกำลังเสริมสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางอากาศ และปฏิบัติการทางทะเล ในสถานการณ์ประกอบการทดสอบฯ เพื่อปกป้องพื้นที่บริเวณเกาะเหนือน่านน้ำฝ่ายน้ำเงิน จากกองกำลังฝ่ายแดง โดยมีหมู่บิน และหมู่เรือฝ่ายน้ำเงินเข้าร่วม ดังนี้
4 เครื่องบินขับไล่ F16 ฝูงบิน 103 กองบิน 1 นามเรียกขาน "Lightning" 
4 เครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen ฝูงบิน 701 กองบิน 7 นามเรียกขาน "Shark" 
1 เครื่องบินเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือน SAAB-340 ฝูงบิน 702 กองบิน 7 นามเรียกขาน "Orca" 
เรือหลวงจักรีนฤเบศร
เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช (AW)
เรือหลวงนเรศวร (AWs)

กองกำลังทีมแดง ประกอบด้วย
4 เครื่องบินขับไล่ F-16MLU จากฝูงบิน 403 กองบิน 4 นามเรียกขาน "Cobra"
4 เครื่องบินขับไล่ฝึก T-50TH จากฝูงบิน 401 กองบิน 4 นามเรียกขาน "Dragon"
เรือหลวงปัตตานี
เรือหลวงแหลมสิงห์
เรือหลวงชลบุรี
4 เรือ ตรวจการณ์ฯ (ต.995 / ต.113 / ต.229 / ต.266)

การทดสอบฯ ครั้งนี้เป็นการทดสอบปฏิบัติการในการป้องกันประเทศ กระบวนการวางแผนและควบคุมสั่งการทางทหารในการเผชิญสถานการณ์วิกฤติของกำลังทางอากาศ และกำลังทางทะเล โดยใช้การบูรณาการยุทธวิธีร่วมและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับการสร้างความได้เปรียบเหนือสมรภูมิ 
เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันประเทศ และปกป้องผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งความสงบสุขของประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การทดสอบใช้กำลังทางอากาศ ประจำปี 68 
ประสบผลสำเร็จ และเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วมุ่งเสริมความแข็งแกร่งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ
กองทัพอากาศ ขอขอบคุณ หน่วยงานภาครัฐ/เอกชน ผู้เข้ารับการทดสอบฯ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และประชาชนผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญสนับสนุนให้การทดสอบครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ในทุกประการ

กองทัพอากาศไทย(RTAF: Royal Thai Air Force) ได้เสร็จสิ้นการทดสอบใช้กำลังทางอากาศ ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ที่การฝึกการปฏิบัติของหน่วยการทดสอบในสัปดาห์ที่สี่ของเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๖๘ ได้รวมถึงการนำอากาศยานวางกำลังนอกที่ตั้งในพื้นที่ภาคใต้ของไทยที่รวมถึง กองบิน๗ สุราษฎร์ธานี, ท่าอากาศยานหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกองบิน๕๖ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
อากาศยานที่ฝึกภาคปฏิบัติรวมถึง เครื่องบินขับไล่แบบที่๒๐ บ.ข.๒๐/ก Saab Gripen C/D ฝูงบิน๗๐๑ กองบิน๗ สุราษฎร์ธานี, เครื่องบินขับไล่แบบที่๑๙/ก บ.ข.๑๙/ก Lockheed Martin F-16A/B Block 15 OCU และ F-16A/B ADF ฝูงบิน๑๐๓ กองบิน๑ และเครื่องบินขับไล่แบบที่๑๙/ก บ.ข.๑๙/ก F-16AM/BM EMLU ฝูงบิน๔๐๓ กองบิน๔ ตาคลี, 
เครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศแบบที่๑ บ.ค.๑ Saab 340 ERIEYE AEW(Airborne Early Warning) ฝูงบิน๗๐๒ กองบิน๗, เครื่องบินขับไล่และฝึกแบบที่๒ บ.ขฝ.๒ Korea Aerospace Industries(KAI) T-50TH Golden Eagle ฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ ตาคลี, และเครื่องบินลำเลียงแบบที่๘ บ.ล.๘ Lockheed Martin C-130H Hercules ฝูงบิน๖๐๑ กองบิน๖ ดอนเมือง เป็นต้น

การทดสอบใช้กำลังทางอากาศ ประจำปี ๒๕๖๘ ยังได้เห็นกองทัพอากาศไทยบูรณาการสถานการณ์ฝึกร่วมกับกองทัพบกไทย(RTA: Royal Thai Army) เช่นการนำเครื่องบินขับไล่แบบที่๑๘ข/ค บ.ข.๑๘ข/ค Northrop F-5E/F TH Super Tigris ฝูงบิน๒๑๑ กองบิน๒๑ อุบลราชธานี สนับสนุนการฝึกของกองพลทหารราบที่๙ พล.ร.๙ ในพื้นที่ฝึกจังหวัดกาญจนบุรี
การร่วมสถานการณ์ฝึก(battle scenario) กับกองทัพเรือไทย(RTN: Royal Thai Navy) ในฐานะส่วนหนึ่งของการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๘ จำลองสถานการณ์ป้องกันหมู่เกาะ ที่จัดกำลัง Blue Force เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์เรือหลวงจักรีนฤเบศร, เรือฟริเกตเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช, เรือฟริเกตเรือหลวงนเรศวร และ Red Force เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเรือหลวงปัตตานี, เรือตรวจการณ์ปืนเรือหลวงแหลมสิงห์,
เรือเร็วโจมตีปืนเรือหลวงชลบุรี, เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.994 เรือ ต.995 และเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.111 เรือ ต.113 และเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.228 เรือ ต.229 และเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.265 เรือ ต.266 
ยังรวมถึงการสนับสนุนนาวิกโยธินไทย(RTMC: Royal Thai Marine Corps) ในการฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบกของ ที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๘ และการฝึกการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง(CALFEX: Combined Arms Live Fire Exercise) ที่สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข๑๖ บ้านจันทเขลม อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๘ ด้วยครับ

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

ATIL และ DTI ไทยสาธิตเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับ DP9A UAV แบบใหม่








Aero Technology Industry Company Limited (ATIL) and DTI (Defence Technology Institute) demonstrated its DP18A Unmanned Combat Aerial Vehicle (UCAV) and DP9A tandem rotary Vertical Take-Off and Landing (VTOL) Unmanned Aerial Vehicle (UAV); with hygroscopic flare pod for rain making, dry ice dispenser for reducing dust pollution, and fire extinguishing chemicals bomb to Mr.Phumtham Wechayachai, Deputy Prime Minister and Minister of Defence of Thailand during visited its facility at Saengtawan Airport, Khlong Si Subdistrict, Khlong Luang District, Pathum Thani Province on 23 April 2025. (Defence Technology Institute)



รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมการสาธิตการทำงานของกระเปาะโปรยน้ำแข็งแห้งที่จะช่วยลดฝุ่น กระเปาะทำฝนเทียม นวัตกรรมใหม่ฝีมือคนไทย และสาธิตการใช้ UAV ในการดับเพลิง ของ บริษัท ATIL หนึ่งในบริษัทร่วมทุน DTI

วันพุธที่ 23 เมษายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมการสาธิตการทำงานของกระเปาะโปรยน้ำแข็งแห้งที่จะช่วยลดฝุ่น กระเปาะทำฝนเทียม และสาธิตการใช้ UAV ดับเพลิง ของ บริษัท แอร์โร เทคโนโลยี อินดัสทรี จำกัด (Aero Technology Industry Co.,Ltd. หรือ ATIL) หนึ่งในบริษัทร่วมทุนของ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ DTI 
พร้อมทั้งรับฟังบรรยายสรุปขีดความสามารถของบริษัทฯ ที่สามารถดำเนินกิจการเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งในหน่วยงานด้านความมั่นคงของภาครัฐและภาคพลเรือน โดยมี พลเอก บำรุง สายทอง ประธานกรรมการบริษัทฯ คุณพสิษฐ์ จิตจรูญ ประธานบริษัทฯ พลอากาศเอก ดร.ปรีชา ประดับมุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ 
พร้อมด้วย พลเอก ดร.ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และคณะผู้บริหารของ DTI และ บริษัท ATIL ร่วมให้การต้อนรับ ณ สนามบินแสงตะวัน ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

โดยในวันนี้ บริษัท ATIL ได้ทำการบินสาธิตการทำงานของกระเปาะโปรยน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice Dispenser) ที่ช่วยลดฝุ่น ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นโดยฝีมือคนไทย (Air Show) และการสาธิตกระเปาะทำฝนเทียมที่บรรจุสารดูดความชื้น 
(Static Show) ที่มีประสิทธิภาพสูงเท่ากับสารโซเดียมคลอไรด์ โดยกระเปาะทั้ง 2 สามารถนำไปบรรจุบนอากาศยานไร้คนขับ หรือ UAV แบบ DP18A เพื่อทำการบินในชั้นบรรยากาศที่จะช่วยบรรเทาภาวะมลพิษของผงฝุ่นละอองและทำให้เกิดฝนเทียม ทั้งนี้ UAV แบบ DP18A เป็นอากาศยานไร้คนขับเครื่องแรกที่บริษัทฯ สามารถผลิตได้เองภายในประเทศและด้วยฝีมือคนไทย 
สามารถบินได้สูง บินได้ไกล บินได้นาน และบรรทุกน้ำหนักได้มาก รวมถึงมีระยะวงเลี้ยวที่แคบกว่าอากาศยานปกติ และมีการควบคุมการบินอัตโนมัติที่มีความแม่นยำสูง จึงสามารถปฏิบัติการในการบินได้ทุกระยะ จึงมีความเหมาะสมในการทำการบินในชั้นบรรยากาศที่สูง โดยจะช่วยเปิดช่องระบายให้ฝุ่นขนาดเล็กลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้านบน ช่วยให้ฝุ่นระบายออกและลดความหนาแน่นลงได้ 
และจากที่ UAV แบบ DP18A มีเพดานบินที่สูง และไม่จำเป็นต้องมีนักบินขึ้นไปอยู่บนอากาศยาน จึงมีความปลอดภัยต่อการทำการบินในชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิผกผันสูงในการลดภาวะมลพิษของฝุ่นผงและทำฝนเทียมอีกด้วย 
อีกหนึ่งคุณสมบัติของ UAV แบบ DP18A คือสามารถปฏิบัติภารกิจในการช่วยบรรเทาสาธารณภัยในภาคพลเรือน และยังสามารถติดอาวุธ สำหรับปฏิบัติภารกิจในการโจมตีเป้าหมาย หรือการลาดตระเวน และอื่น ๆ ของหน่วยงานด้านความมั่นคงได้อีกด้วย

นอกจากนั้น ในกรณีที่มีเพลิงไหม้ในพื้นที่ที่หน่วยดับเพลิงไม่สามารถเข้าถึง หรือเข้าถึงได้ยาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ UAV บรรทุกลูกระเบิดที่บรรจุสารเคมีที่ช่วยในการดับเพลิง UAV จึงเป็นอากาศยานที่ไม่มีขีดจำกัดในการเข้าพื้นที่ดังกล่าว 
ดังนั้น วันนี้นอกจากจะมีการสาธิตการทำงานของกระเปาะโปรยน้ำแข็งแห้งเพื่อช่วยลดฝุ่นจาก UAV แบบ DP18A แล้ว ยังมีการบินสาธิตการทิ้งลูกระเบิดที่บรรจุสารเคมีที่ช่วยในการดับเพลิงจาก UAV แบบ DP9A ที่บริเวณสนามบินแสงตะวันอีกด้วย

จากการสาธิตอากาศยานไร้คนขับที่ผลิตด้วยฝีมือคนไทยของบริษัท ATIL ในวันนี้ แสดงให้เห็นว่าบริษัทเอกชนในประเทศไทยที่เกิดจากพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 มีขีดความสามารถที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถใช้งานได้ทั้งภาคพลเรือนและหน่วยงานด้านความมั่นคงของภาครัฐ 
อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมของไทยตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (S-Curve 11) ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างครบวงจร เปลี่ยนสถานะประเทศไทยจากการเป็นผู้ซื้อให้กลายเป็นผู้ผลิตและผู้ขาย เพื่อเป็นการยกระดับเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ต่อไป

บริษัท Aero Technology Industry Company Limited(ATIL) ไทย กลุ่มร่วมทุนระหว่างบริษัท Beihang UAS Technology จีนที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ NORINCO รัฐวิสาหกิจผู้ผลิตอาวุธของจีน กับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สทป. DTI(Defence Technology Institute) ไทยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมไทย และบริษัท PYN INTERNATIONAL ไทย
ได้สาธิตการปฏิบัติงานของอากาศยานรบไร้คนขับ(UCAV: Unmanned Combat Aerial Vehicle) แบบ DP18A และอากาศยานไร้คนขับปีกหมุนขึ้นลงทางดิ่ง(VTOL UAV: Vertical Take-Off and Landing Unmanned Aerial Vehicle) แบบใหม่ เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับ DP9A ในการใช้กระเปาะบรรจุสารดูดความชื้นทำฝนเทียม, กระเปาะโปรยน้ำแข็งแห้งเพื่อลดภาวะมลพิษฝุ่น, และลูกระเบิดบรรจุสารเคมีดับเพลิง
ให้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ขณะเดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่ประกอบการของบริษัท ATIL ไทย ณ สนามบินแสงตะวัน ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ที่ผ่านมา ในฐานะส่วนหนึ่งของการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในแผนนโยบาย S-Curve 11

ATIL ไทยได้เปิดตัวอากาศยานรบไร้คนขับ DP18A UCAV ครั้งแรกในงานนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ Defense & Security 2023 ระหว่างวันที่ ๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๖(2023)(https://aagth1.blogspot.com/2023/11/defense-security-2023-atil-dp18a-ucav.html) ตามมาจากการพัฒนาอากาศยานรบไร้คนขับ DP16 UCAV(https://aagth1.blogspot.com/2023/07/atil-dp16-uav.html)
ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับ DP9A VTOL UAV เปิดตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกงานแสดงการบินนานาชาติเนื่องในโอกาสครบรอบ ๘๘ปีกองทัพอากาศไทย RTAF88 ระหว่างวันที่ ๗-๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ณ ท่าอากาศยานทหาร๒ กองบิน๖ ดอนเมือง(https://aagth1.blogspot.com/2025/03/airbus-a330-mrtt.html) ซึ่งตัวแทนของ ATIL กล่าวกับผู้เขียนว่าได้มีการบินทดสอบเครื่องต้นแบบแล้ว
DP9A เป็นอากาศยานปีกหมุนไร้คนขับใบพัดสองชุดเรียงกันหน้าหลัง(tandem rotor) มีน้ำหนักตัวเครื่องที่ 520kg รับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุดถึง 250kg ทำความเร็วได้สูงสุด 170km/h เพดานบินสูงสุด 6,000m(20,000ft) ระยะเวลาบินนานสุด ๓ชั่วโมงเมื่อบรรทุกหนัก 200kg และมีรัศมีการปฏิบัติการที่ 100km ติดกล้องตรวจจับความร้อนสามารถใช้ในภารกิจดับไฟป่า ส่งกลับผู้ป่วยทางอากาศ และบรรเทาสาธารณภัยต่างๆครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568

Marsun ไทยทำพิธีตัดเหล็กแผ่นแรกเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง LCM ๔ลำสำหรับกองทัพเรือโอมานที่จะส่งมอบในปี ๒๕๗๐









Marsun Public Company and Ministry of Defence of Sultanate of Oman Hold Steel-Cutting Ceremony for New Landing Craft Mechanized Project
Samut Prakan, Thailand – April 25, 2025 – Marsun Public Company Limited holds the first steel-cutting ceremony marking the commencement of construction for four new Landing Craft Mechanized (LCM) vessels ordered by the Ministry of Defence of the Sultanate of Oman. 
The ceremony is presided over by H.E. Dr. Mohammed Al Zaabi, Secretary-General of Oman's Ministry of Defence.
This ceremony represents a pivotal milestone in the agreement signed on December 10, 2024, between Marsun and the Ministry of Defence of Oman. The contract covers the design, construction, and delivery of four advanced landing craft mechanized vessels aimed at significantly enhancing the operational capabilities of the Royal Navy of Oman (RNO). 
This initiative is part of Oman's broader military modernization program aimed at enhancing national security and maritime capabilities. Additionally, this project includes a localization program designed to promote technology transfer, skill development, and self-sufficiency within Oman's defense sector.
Distinguished guests attending the ceremony include Rear Admiral Saif bin Nasser AL Rahbi – Commander of the Royal Navy of Oman and senior representatives from the Ministry of Defence of Oman, H.E. Issa Abdulla bin Al Alawi, Ambassador of the Sultanate of Oman to the Kingdom of Thailand, 
and senior representatives from the Ministry of Defence and the Royal Navy of Oman. The delegates attended the ceremony from Thailand include Admiral Pasukree Wilairak, Representative of the Commander-in-Chief, Royal Thai Navy; General Wattana Chatrattanasaeng, 
Director of the Defence Industry and Energy Centre and Representative of the Office of The Permanent Secretary for Defence, Miss Sasirit Tangulrat, Director-General, Department of South Asian, Middle East and African Affairs, amongst other esteemed senior officials and delegates. 
This event underscores the robust bilateral relations between Thailand and Oman and highlights Marsun's dedication to providing world-class maritime solutions.
Founded in 1980, Marsun Public Company has successfully delivered over 355 vessels globally, including Fast Assault Boats, High-Speed Patrol Boats, Fast Attack Missile Crafts, Landing Craft Utility (LCU), Patrol Gun Boats, Crew Boats for Offshore Oil & Gas Exploration, Crew Transfer Vessels for Offshore Windfarms, Tug Boats, Sailing Yachts and many more. 
Strategically located near Bangkok at the mouth of the Chao Phraya River, Marsun efficiently serves international maritime clients with high-quality vessel construction and design.
Marsun has been accredited for many global certifications, including ISO 9001:2015 – Quality Management System, ISO 14001:2015 – Environmental Management System, and ISO 45001:2018 – Occupational Health and Safety Management System.
The company takes great pride in being Thailand’s top shipbuilder for specialized and high-performance vessels and being one of the top shipyards in the global arena. 
The proven track record and success demonstrate its capability to consistently meet or exceed contractual specifications, adhere to strict delivery schedules, and ensure that each vessel performs its mission with excellence.

อู่ต่อเรือ บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) และ กระทรวงกลาโหมแห่งรัฐสุลต่านโอมาน ร่วมจัดพิธีตัดเหล็กแผ่นแรกเรือ Landing Craft Mechanized 
เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) ได้จัดพิธีตัดเหล็กแผ่นแรก (First Steel-Cutting Ceremony) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเริ่มต้นโครงการต่อสร้างเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง (Landing Craft Mechanized – LCM) จำนวน 4 ลำ ของกระทรวงกลาโหมแห่งรัฐสุลต่านโอมาน โดยมี H.E. Dr. Mohammed Al Zaabi (ปลัดกระทรวงกลาโหมแห่งรัฐสุลต่านโอมาน) ร่วมให้เกียรติเป็นประธานในพิธี
พิธีนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญภายใต้ข้อตกลงในสัญญาจ้างที่ลงนามเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ระหว่างบริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) และกระทรวงกลาโหมแห่งรัฐสุลต่านโอมาน โดยสัญญาฯ ดังกล่าว ครอบคลุมการออกแบบ ต่อสร้าง และส่งมอบเรือที่มีความทันสมัย ตลอดจนแนวทางในการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะแรงงาน และส่งเสริมศักยภาพการพึ่งพาตนเองในภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ 
เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือของรัฐสุลต่านโอมาน ซึ่งโครงการนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงขีดความสามารถทางการทหารของรัฐสุลต่านโอมาน ที่มุ่งยกระดับความมั่นคงแห่งชาติ และศักยภาพทางทะเลของประเทศอีกด้วย
ในงานนี้ ได้รับเกียรติจากหน่วยงานภาครัฐของทั้งสองประเทศเป็นอย่างดียิ่ง โดยมี Rear Admiral Saif bin Nasser AL Rahbi (ผู้บัญชาการกองทัพเรือของรัฐสุลต่านโอมาน) พร้อมด้วย ผู้แทนอาวุโสจากกระทรวงกลาโหม และ H.E. Issa Abdulla bin Al Alawi (เอกอัครราชฑูตโอมานประจำประเทศไทย) 
โดยผู้แทนจากประเทศไทยได้แก่ พลเรือเอกพาสุกรี วิลัยรักษ์ (ผู้แทนผู้บัญการทหารเรือ), พลเอกวัฒนา ฉัตรรัตนแสง (ผู้อำนวยการศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงาน) พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นางสาวศศิฤทธิ์ ตังกุลรัตน์ (อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) 
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ อย่างคับคั่ง สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ 
บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2523 ปัจจุบันส่งมอบเรือให้กับหน่ายงานภาครัฐ และเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาแล้วกว่า 355 ลำ โดยมีผลงานเรือที่สำคัญ ได้แก่ เรือตรวจการณ์ปืน, เรือตรวจการณ์ความเร็วสูง, เรือตรวจการณ์ติดอาวุธนำวิถี, เรือขจัดคราบน้ำมัน, เรือรับส่งลูกเรือและบริการแท่นขุดเจาะน้ำมัน, เรือรับส่งลูกเรือสำหรับกิจการกังหันลมในทะเล 
โดยทางบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพจากหน่วยงานในระดับสากล มากมาย เช่น ISO 9001:2015 – Quality Management System, ISO 14001:2015 – Environmental Management System และ ISO 45001:2018 – Occupational Health and Safety Management System 
บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ต่อเรือที่มีมาตรฐานระดับโลก โดยจากผลงานที่ผ่านมา ล้วนเป็นที่ประจักษ์ว่า อู่ต่อเรือของคนไทยมีขีดความสามารถ และมีความพร้อมในฐานะผู้ต่อเรือในระดับสากล

การหารืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ไทย - โอมาน
กระทรวงกลาโหม โดย พลเรือเอก สุพพัต ยุทธวงศ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พลเอกวัฒนา ฉัตรรัตนแสง ผู้อำนวยการศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ต้อนรับคณะ H.E. Dr. Mohammed Bin Nasser Bin Ali Al-Za’Abi ปลัดกระทรวงกลาโหมรัฐสุลต่านโอมาน และ H.E. Mr. Issa Al Alawi เอกอัครราชทูตรัฐสุลต่านโอมานประจำประเทศไทยและคณะ 
ในการหารืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ไทย - โอมาน ในระหว่างการเยือนไทยเพื่อประกอบพิธีการตัดเหล็กแผ่นแรกของเรือระบายพลขนาดกลาง (Landing Craft Mechanized Vessel) ที่ว่าจ้าง บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ต่อเรือ จำนวน 4 ลำ ที่ต่อในประเทศและส่งมอบให้แก่ราชนาวีโอมาน ภายในปี 2570
การหารือได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการจำนวนมาก สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กลุ่มงานความมั่นคงระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และสมาคมอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ ในการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ ได้รับการบรรจุใช้ในกองทัพ หน่วยงานความมั่นคง และส่วนราชการของไทย
อีกทั้งบางส่วนสามารถส่งไปยังต่างประเทศแล้ว โดยฝ่ายไทยได้เน้นย้ำถึงขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ความต้องการที่จะทำงานร่วมกัน การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการจัดซื้อ การลงทุน อีกทั้งกระทรวงกลาโหมยืนยันถึงมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานโดยกองทัพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ หน่วยงานไทยพร้อมส่งเสริมการดำเนินโครงการตามนโยบาย offset ของทางโอมาน อาทิ
รถหุ้มเกราะ FirstWin 4x4 ของ บริษัทชัยเสรีเมทอลแอนด์รับเบอร์ จำกัด ที่สามารถส่งออกไปยังภูฏาน(https://aagth1.blogspot.com/2024/05/first-win-4x4-atv-mi-47-mi-9.html) ปากีสถาน(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/chaiseri-hisaar-4x4.html, https://aagth1.blogspot.com/2024/10/first-win-4x4-100.html) และมาเลเซีย รวมทั้งใช้ในกองทัพบก และกระทรวงยุติธรรม
นอกจากนี้ยังมีรถเกราะสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ AWAV 8x8 ให้แก่หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน(https://aagth1.blogspot.com/2025/03/awav-8x8-cobra-gold-2025.html, https://aagth1.blogspot.com/2024/12/awav-8x8.html, https://aagth1.blogspot.com/2024/09/awav-8x8.html, https://aagth1.blogspot.com/2024/09/awav-8x8-chaiseri.html)
ปืนเล็กยาว 5.56 มม. และ 9 มม. ของศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธที่มีการใช้งานในกระทรวงกลาโหม กรมป่าไม้(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/nin9.html) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมการปกครอง 
นอกจากนี้ยังผลิตกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มม. และ 155 มม. และลูกระเบิดยิงจากเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด 60 - 120 มม.(https://aagth1.blogspot.com/2023/11/defense-security-2023-m758-atmg-155mm.html) กระสุนปืนขนาดต่างๆ ตั้งแต่ .22 จนถึง 11 มม. และกระสุนปืนเล็กยาว NATO ทั้ง 5.56 มม. และ 7.62 มม. ของ บริษัท เนแรค อาร์มส อินดัสตรี จำกัด
การให้บริการซ่อมบำรุงระดับโรงงาน Modernization และ Upgrade อากาศยานและเฮลิคอปเตอร์ โดยบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด ที่ให้บริการทั้งสามเหล่าทัพ ส่วนราชการ และสายการบินต่างๆ จำนวนมาก(https://aagth1.blogspot.com/2025/02/tai-saab-gripen-ef.html)
อากาศยานไร้นักบินตรวจการณ์ขนาดกลาง - ใหญ่ ที่มีสมรรถภาพสูงของบริษัท RV CONNEX ที่มีการใช้งานในกองทัพอากาศ(https://aagth1.blogspot.com/2023/11/defense-security-2023-rv-connex-sky.html
และ UAV บรรทุกผู้ป่วยและส่งกลับสายการแพทย์ของ บริษัท Pulse Science ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาใช้งานของกรมแพทย์ทหารบก(https://aagth1.blogspot.com/2022/09/defense-security-2022-pulse-science.html)
ปลัดกระทรวงกลาโหมโอมาน ได้ขอบคุณฝ่ายไทยที่จัดการบรรยายขีดความสามารถของไทย และได้เชิญชวนให้ฝ่ายไทย เชิญชวนให้จัด Workshop ในโอมานโดยนำผู้ประกอบการเอกชนที่มีศักยภาพไปนำเสนอและสร้างความร่วมมือในการผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี 
อีกทั้งเชิญชวนผู้ประกอบการลงทะเบียนเป็นคู่ค้ากับทางโอมาน และผลักดันให้จัดทำบันทึกความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างกลาโหมทั้งสองประเทศต่อไป
การส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยกับโอมาน สามารถสร้างมูลค่าในปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท คาดว่าจะมีการขยายตัว คาดว่าจะยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี พร้อมทั้งขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมในทุกมิติเพิ่มมากขึ้นในอนาคต 

บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน)(Marsun Public Company Limited) ไทยได้ทำพิธีตัดเหล็กแผ่นแรกของเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง(LCM: Landing Craft Mechanized) จำนวน ๔ลำสำหรับกองทัพเรือโอมาน(RNO: Royal Navy of Oman) ภายใต้โครงการ Sawari Project ณ อู่ต่อเรือบริษัท Marsun ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๘(2025)
พิธีตัดเหล็กแผ่นแรกของเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง LCM มีขึ้นตามมาให้หลังราว ๔เดือนหลังจากที่กระทรวงกลาโหมโอมานและบริษัท Marsun ไทยได้ลงนามสัญญาสร้างเรือ ณ กรุง Muscat รัฐสุลต่านโอมาน เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗(2024) นับเป็นความสำเร็จในการส่งออกเรือแบบนี้เป็นครั้งแรกของไทยแก่ต่างประเทศ(https://aagth1.blogspot.com/2024/12/marsun.html)

Marsun ไทยมีประสบการณ์ในการออกแบบและสร้างเรือระบายพลขนาดใหญ่ M55 Landing Craft Utility(LCU) ของตนที่ได้รับสัญญาจ้างสร้างจากกองทัพเรือ(RTN: Royal Thai Navy) ไทยภายใต้โครงการเรือส่งกำลังบำรุงขนาดเล็ก(small supply support vessel) เข้าประจำการในชื่อเรือระบายพลขนาดใหญ่ชุดเรือหลวงมัตโพน จำนวน ๒ลำคือ ร.ล.มัตโพน และเรือหลวงราวี ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓(2010)
เรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง LCM ที่อู่เรือ Marsun ไทยกำลังสร้างใหม่ ๔ลำน่าจะถูกนำมาทดแทนเรือประเภทเรือยกพลขึ้นบก เรือขนส่ง และเรือส่งกำลังบำรุงต่างๆของกองทัพเรือโอมานที่มีเพียง ๓ลำที่มีอายุการใช้งานมานานและบางลำก็ปลดประจำการไปแล้ว โดย Marsun ไทยมีกำหนดจะส่งมอบเรือ LCM ทั้ง ๔ลำแก่โอมานในปี พ.ศ.๒๕๗๐(2027) หรือราว ๒ปีข้างหน้า ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดและมูลค่าของโครงการ

Marsun ไทยยังเคยมีประสบการณ์การส่งออกแบบเรือรบของตนให้กองทัพต่างประเทศมาก่อนแล้วคือเรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชั้น Jurrat ๒ลำ(M39) แก่กองทัพเรือปากีสถาน(PN: Pakistan Navy) ทั้งนี้ตามที่ H.E. Dr. Mohammed Bin Nasser Bin Ali Al-Za’Abi ปลัดกระทรวงกลาโหมโอมานได้เดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมพิธีตัดเหล็กแผ่นแรกของเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง LCM ที่โอมานสั่งจัดหา 
ไทยยังได้มองที่จะขยายความร่วมมือและโอกาสเพิ่มเติมที่จะส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พัฒนาสร้างในไทยแก่ประเทศในกลุ่มชาติอ่าว Persia ตั้งแต่รถเกราะล้อยางตระกูล First Win 4x4 และรถหุ้มเกราะล้อยางลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก AWAV 8x8 ของบริษัท Chaiseri ไทยที่ผลิตส่งออกจริงเป็นจำนวนมาก อากาศยานไร้คนขับ UAV(Unmanned Aerial Vehicle) รูปแบบต่างๆ จนถึงการบริการซ่อมบำรุงอากาศยานครับ

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2568

Saab สวีเดนตั้งเป้าได้รับสัญญาจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F กับไทยและโคลอมเบียในปี 2025 นี้

Saab targets Gripen E/F contracts with Thailand and Colombia this year



Saab has already supplied operational Gripen Es to the Brazilian air force. Source: Brazilian air force

บริษัท Saab สวีเดนหวังที่จะบรรลุผลเสร็จสิ้นการได้รับสัญญาในปี 2025 นี้แก่ลูกค้าสองรายของตนสำหรับเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen E/F ตามข้อมูลจากผู้อำนวยการบริหาร Saab สวีเดน Micael Johansson
โดยที่เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว F-39E Gripen E ได้ประจำการในบราซิลแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/gripen-ef-9.html) และใกล้จะเข้าประจำการในสวีเดนบ้านเกิด(https://aagth1.blogspot.com/2025/04/saab-gripen.html)

บริษัท Saab ผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F กำลังมองที่จะบรรลุการข้อตกลงที่รอคอยกับโคลอมเบีย(https://aagth1.blogspot.com/2025/04/gripen-ef-kfir.html) และไทย

"ปีที่แล้ว(2024) เราได้รับเลือกเพื่อจะเจรจาสัญญากับไทย เรากำลังอยู่ในกระบวนการของการทำสิ่งที่นั้นตามที่เราพูด และหวังว่าจะบรรลุผลเสร็จสิ้นนั้นโดยเร็ว ความคาดหวังของผมคือเราจะบรรลุผลสัญญานี้ในปีนี้(2025)
Johansson กล่าวระหว่างการแถลงการประชุมผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ของบริษัท Saab เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๘(2025)(https://aagth1.blogspot.com/2024/10/saab-gripen-ef.html)

"ในเดือนมีนาคม 2025 เราได้รับเลือกที่จะเจรจาสัญญากับโคลอมเบียและหวังว่าเราสามารถเร่งเรื่องนั้นได้ในหลายเดือนข้างหน้า" Johansson เสริม อ้างอิงจากรายงานล่าสุดของสื่อโคลอมเบียเกี่ยวกับข้อตกลงที่คาดไว้กับรัฐบาลโคลอมเบียในนครหลวง Bogota
เขากล่าวว่าข้อเสนอของ Saab สวีเดนได้รับสนับสนุนข้อเสนอทางการเงินโดยบริษัทสินเชื่อส่งออกสวีเดน(Swedish Export Credit Corporation, SEK: Svensk Exportkredit) และสำนักงานสินเชื่อส่งออกสวีเดน(Swedish Export Credit Agency, EKN: Exportkreditnämnden)

"โคลอมเบียสามารถใช้แบบแผนทางการเงินเพื่อเลื่อนการชำระค่าใช้จ่ายลงเล็กน้อยในอนาคต...แต่เราในฐานะบริษัท เราจะได้รับการชำระค่าใช้จ่ายเมื่อเราส่งมอบ(เครื่องบินขับไล่ Gripen E/F) แก่โคลอมเบียตามแผนนั้น
เรากำลังทำงานอย่างหนักในทั้งสองการรณรงค์(กับไทยและโคลอมเบีย) และนี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายประจำปีนี้ของเครื่องบินขับไล่ Gripen ที่เรามี" Johansson เน้นย้ำ

เป็นที่คาดว่ารัฐบาลไทยในกรุงเทพฯจะจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ข/ค บ.ข.๒๐ข/ค Saab JAS 39 Gripen E/F สำหรับกองทัพอากาศไทย(RTAF: Royal Thai Air Force) จำนวน ๑๒เครื่อง ที่จะเข้าประจำการ ณ ฝูงบิน๑๐๒ กองบิน๑ โคราช
โดยกองทัพอากาศมีประจำการด้วยครื่องบินขับไล่ บ.ข.๒๐/ก Gripen C/D จำนวน ๑๑เครื่อง ประจำการ ณ ฝูงบิน๗๐๑ กองบิน๗ สุราษฎร์ธานี แล้ว(แบ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว บ.ข.๒๐ Gripen C จำนวน ๗เครื่อง และเครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง บ.ข.๒๐ก Gripen D จำนวน ๔เครื่อง)

โคลอมเบียไม่ได้ระบุว่าจะมีเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F จำนวนกี่เครื่องที่ตนจะจัดซื้อ แต่กองทัพอากาศโคลอมเบีย(Colombian Air Force, FAC: Fuerza Aérea Colombiana) ได้ร่างเค้าโครงก่อนหน้านี้ว่า
มีความต้องการสำหรับเครื่องบินขับไล่ใหม่จำนวน 16-24เครื่อง เพื่อทดแทนฝูงเครื่องบินขับไล่ Israeli Aircraft Industries(IAI) Kfir อิสราเอล ที่ปัจจุบันกองทัพอากาศโคลอมเบียมีประจำการด้วยเครื่องบินขับไล่ Kfir C10 จำนวน 16เครื่อง

Johansson กล่าวว่าการประสบความสำเร็จการบรรลุผลข้อตกลงกับชาติต่างๆจะเป็นการแสดงถึง "ก้าวใหญ่ในการได้รับลูกค้าจำนวนมากขึ้นของเครื่องบินขับไล่ Gripen E ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ยอดเยี่ยมด้วยค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานที่ประหยัดและสมรรถนะที่สูง" 
โอกาสการขายในระยะใกล้อื่นๆอีกยังมีอยู่ในประเทศอื่นๆในภูมิภาค Latin America "เรากำลังทำการรณรงค์เพื่อจะได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดในเปรูเช่นเดียวกัน เราได้มอบข้อเสนอแก่พวกเขาและพวกเขากำลังประเมินตามที่เราพูด ผมคิดว่าเราน่าจะได้รับโอกาสที่ดี"

"เรากำลังรักษาการยึดถือการรณรงค์นั้นว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อเรา แน่นอนมันช่วยเราทั้งในบราซิลและการเจรจาในโคลอมเบีย ดังนั้นเราจึงสร้างศูนย์กลางและรากฐานที่ดีใน Latin America เราหวังว่าเราจะประสบความสำเร็จ เรากำลังเสนอสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี" Johansson เสริม 
จนถึงตอนนี้ Saab สวีเดนได้รับสัญญาที่จะส่งมอบเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียว F-39E Gripen E จำนวน 28เครื่อง และเครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง F-39F Gripen F จำนวน 8เครื่อง รวม 36เครื่องแก่บราซิล และเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียว JAS 39E Gripen E จำนวน 60เครื่องแก่สวีเดนครับ

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

Embraer บราซิลเจรจาการพัฒนาโมร็อกโกตามที่ตนมองจะขายเครื่องบินลำเลียง C-390 ให้

Embraer develops Morocco links as it looks to secure KC/C-390 sale





Embraer, which has ambitions to sell its KC/C-390 Millennium tanker-transport aircraft to Morocco, has sent a delegation to the country as part of a wider effort to foster closer defence aerospace ties. (Brazilian Air Force)

บริษัท Embraer บราซิลได้ส่ง "ตัวแทนระดับสูง" ไปยังโมร็อกโกเพื่อประเมินห่วงโซ่อุปทานด้านการบินของโมร็อกโกก่อนหน้าความร่วมมือทวิภาคีในอนาคต บริษัท Embraer กล่าวเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2025
การเยือนมีขึ้นตามการลงนามบันทึกความเข้าใจ(MOU: Memorandum of Understanding) ระหว่างรัฐบาลโมร็อกโกประเทศในแอฟริกาเหนือและ Embraer บราซิลเพื่อจะสำรวจความเป็นไปได้ในโครงการร่วมต่างๆ

และมีขึ้นตามมาหลายเดือนหลังจาก Embraer บราซิลได้เปิดเผยในเดือนเดียวกันว่าโมร็อกโกได้ถูกเชิญเข้าร่วมการสัมมานาผู้ใช้เครื่องบินลำเลียงและเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC/C-390 Millennium(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/embraer-c-390.html)
"Embraer มองเห็นโอกาสอย่างมีนัยสำคัญสำหรับความร่วมมือด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมตามที่ทั้งบราซิลและราชอาณาจักโมร็อกโกแบ่งปันความุ่งมั่นที่แข็งแกร่งที่จะขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันและการลงทุน"

"โอกาสต่างๆเหล่านั้นครอบคลุมทั่วทั้งการบินพาณิชย์, การป้องกันประเทศ, และการเคลื่อนที่ทางอากาศในเขตชุมชน ความร่วมมือสามารถจะยังรวมถึงโครงการการฝึก,
ขีดความสามารถการซ่อมบำรุง, ซ่อมแก้ และซ่อมทำใหญ่(MRO: Maintenance, Repair and Overhaul) และพื้นที่เพิ่มเติมต่างๆสำหรับความร่วมมือที่เป็นไปได้ เช่น การวิจัยและวิทยาการ" บริษัท Embraer กล่าว

ในเดือนตุลาคม 2024 แผ่นภาพนำเสนอของบริษัท Embraer ได้ถูกเผยแพร่ในสื่อสังคม online แสดงถึงว่าโมร็อกโกเป็นหนึ่งใน 10ชาติของการสัมมานาผู้ใช้เครื่องบินลำเลียงและเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC/C-390
เช่นเดียวกับลูกค้าที่เป็นที่ทราบแล้วคือ ออสเตรีย(https://aagth1.blogspot.com/2025/02/embraer-c-390-millennium.html), บราซิล, สาธารณรัฐเช็ก(https://aagth1.blogspot.com/2024/10/c-390-millennium-2.html), 

และสาธารณรัฐเกาหลี(https://aagth1.blogspot.com/2023/12/kc-390.html) slide ยังได้แสดงชิลี, โมร็อกโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE: United Arab Emirates) ในฐานะสามลูกค้าที่ไม่เปิดเผยก่อนหน้าหรือลูกค้าในอนาคตที่เป็นไปได้(https://aagth1.blogspot.com/2024/12/c-390-2.html)

แม้ว่าชิลีได้ลงนามจดหมายแสดงความจำนง(LOI: Letter of Intent) ที่จะจัดหาเครื่องบินลำเลียงและเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC/C-390 ไปก่อนหน้า(https://aagth1.blogspot.com/2024/10/embraer-c-390.html)
ตั้งแต่การประชุมนี้ สวีเดนได้ประกาศความตั้งใจของตนที่จะจัดหาเครื่องบินลำเลียงและเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC/C-390(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/c-390-millennium-c-130h.html

ในการตอบสนองการขอข้อมูลเกี่ยวกับมีส่วนร่วมที่เป็นไปได้ของโมร็อกโกในโครงการ KC/C-390 บริษัท Embraer กล่าวกับ Janes ว่า กองทัพอากาศโมร็อกโก(RMAF: Royal Moroccan Air Force) 
กำลังมองที่จะปรับปรุงขีดความสามารถเครื่องบินลำเลียงและเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศต่างๆของตน โดยวางตำแหน่งเครื่องบินลำเลียงและเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC/C-390 ในฐานะตัวเลือกชั้นนำของตนครับ