China State Shipbuilding Corporation (CSSC) displayed a model of its 2,600 ton submarine (S26T) at the Defense & Security 2025 show in Bangkok. (My Own Photos)
The Royal Thai Navy (RTN) delegation led by Admiral Narate Wongtrakoon, Assistant Commander-in-Chief of the Royal Thai Navy, visited People's Republic of China for inspection on S26T submarine project progress at Shanghai Marine Diesel Engine Research Institute (SMDERI) in Shanghai, Wuchang Shipbuilding Industry Group Co., Ltd. (WSIG) in Wuhan, China State Shipbuilding Corporation (CSSC) and China Shipbuilding Trading Co., Ltd. (CSTC), during 9-19 December 2025. (Royal Thai Navy)
Submarine Squadron, Royal Thai Fleet (RTF) will be announcement of recruitment for selection examination of submarine crews, instructors and War Staff for 42 positions.
แถลงข่าวสำนักงานโฆษกกองทัพเรือ เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือ
กองทัพเรือขอเรียนให้ประชาชนทราบว่า ระหว่างวันที่ 9 – 19 ธันวาคม 2568 พลเรือเอก นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมคณะ ได้รับมอบหมายจาก พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำ และหารือความร่วมมือทางทหารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คณะได้ตรวจเยี่ยมสถาบัน Shanghai Marine Diesel Engine Research Institute (SMDERI) ณ นครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นหน่วยงานออกแบบและวิจัยระบบขับเคลื่อนเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำ โดยได้รับฟังการบรรยายด้านเทคโนโลยีจากผู้แทนบริษัท China State Shipbuilding Corporation (CSSC) และสถาบันระบบขับเคลื่อนแบบไม่ใช้อากาศ (AIP) สะท้อนถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยีของฝ่ายผู้ผลิต
ต่อมา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 คณะได้เดินทางไปยังอู่ต่อเรือ Wuchang Shipbuilding Industry Group Co., Ltd. (WSIG) เมืองอู่ฮั่น เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดสร้างเรือดำน้ำแบบ S26T โดยได้รับการยืนยันถึงแผนการดำเนินงาน การควบคุมคุณภาพ และกรอบระยะเวลาของโครงการจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัท China Shipbuilding Trading Co., Ltd. (CSTC) และ WSIG
นอกจากนี้ คณะยังได้เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยวิศวกรรมทหารเรือ ณ เมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านการพัฒนากำลังพลเรือดำน้ำ โดยได้ชมการสาธิตการฝึกหนีภัยออกจากเรือดำน้ำ การฝึกป้องกันความเสียหายของเรือผิวน้ำ ระบบเครื่องฝึกจำลองการนำเรือดำน้ำ และการเรียนการสอนในหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้แสดงความพร้อมในการรองรับกำลังพลกองทัพเรือไทยเข้ารับการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากล
กองทัพเรือยืนยันว่า โครงการจัดหาเรือดำน้ำเป็นโครงการสำคัญด้านความมั่นคงของประเทศ ดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ การติดตามความก้าวหน้าในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือในการผลักดันโครงการให้เป็นไปตามแผน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลของชาติอย่างยั่งยืน
ประกาศ เร็ว ๆ นี้
กองเรือยุทธการจะประกาศรับสมัครสอบคัดเลือกเป็นกำลังพลประจำเรือดำน้ำ ครูฝึก และ ฝ่ายเสนาธิการรบ (ที่ว่าง) จำนวน 42 ตำแหน่งอัตรา
สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์กองเรือยุทธการ และเว็บไซต์กองเรือดำน้ำ
ตามที่ China State Shipbuilding Corporation(CSSC) กลุ่มรัฐวิสาหกิจผู้สร้างเรือของจีนได้ยืนยันกำหนดการส่งมอบเรือดำน้ำ S26T ระยะที่๑ ลำแรกภายในสิ้นปี พ.ศ.๒๕๗๑(2028) หลังจากที่มีลงนามข้อตกลงจ้างสร้างเรือดำน้ำ S26T ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๖๘(2025) การขยายยะเวลาการส่งมอบไปอีกราว ๔๐เดือนนั้น(https://aagth1.blogspot.com/2025/10/blog-post.html)
ล่าสุดระหว่าวันที่ ๙-๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ คณะตัวแทนกองทัพเรือไทยนำโดยพลเรือเอก นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ S26T ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำ S26T และหารือความร่วมมือทางทหารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนรวมถึง
การตรวจเยี่ยมสถาบันวิจัยเครื่องยนต์ดีเซลทางเรือ Shanghai Marine Diesel Engine Research Institute(SMDERI) ในมหานคร Shanghai น่าจะเกี่ยวข้องกับการฝึกศึกษาเครื่องยนต์ดีเซลขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า CHD620V16H6 ของจีน(https://aagth1.blogspot.com/2025/08/chd620-s26t.html) และสถาบันระบบขับเคลื่อนแบบไม่ใช้อากาศ AIP(Air-independent Propulsion) แบบวัฏจักร Stirling
การเยี่ยมอู่เรือ Wuchang Shipbuilding Industry Group Company Ltd(WSIG) ในนคร Wuhan สถานที่สร้างเรือดำน้ำ S26T เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ และการรับฟังการบรรยายจาก China Shipbuilding Trading Co., Ltd.(CSTC) และ China Shipbuilding & Offshore International Co Ltd(CSOC) กิจการการค้าและส่งออกของ CSSC จีน และมหาวิทยาลัยวิศวกรรมทหารเรือใน Wuhan ด้านการฝึกศึกษากำลังพล
แม้ว่าในชุดภาพที่เผยแพร่โดยสำนักงานโฆษกกองทัพเรือไทยจะไม่มีภาพถ่ายที่เปิดเผยถึงความคืบหน้าของเรือดำน้ำ S26T ลำแรกของกองทัพเรือไทยที่กำลังต่อที่อู่เรือ Wuchang ใน Shuangliu นคร Wuhan จีน แต่จากที่มีการพูดคุยกับสื่อในไทยเบื้องต้นคือมีความคืบหน้าเร็วกว่าที่คาดไว้มาก และพิธีการปล่อยเรือลงน้ำอาจจะมีตามมาในอนาคตอันใกล้นี้ถ้าดูจากขีดความสามารถในการต่อเรือดำน้ำของจีนที่มีความเร็วมาก
ซึ่งก่อนหน้านี้อู่เรือ WSIG จีนก็ได้เสร็จสิ้นการสร้างและทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำของเรือดำน้ำชั้น Hangor ๔ลำแรกจากทั้งหมด ๘ลำสำหรับกองทัพเรือปากีสถาน(PN: Pakistan Navy) ที่มีพื้นฐานเป็นรุ่นส่งออกของเรือดำน้ำชั้น Type 039B(NATO กำหนดรหัสชั้น Yuan) ที่ประจำการในกองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีน(PLAN: People’s Liberation Army Navy) เช่นเดียวกับเรือดำน้ำ S26T ของไทย
โดยที่เรือดำน้ำชั้น Hangor ปากีสถาน ๔ลำแรกที่ถูกปล่อยลงน้ำครบหมดแล้วคือลำแรกเรือดำน้ำ PNS Hangor เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๗(2024), ลำที่สองเรือดำน้ำ PNS Shushuk เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๘, ลำที่สามเรือดำน้ำ PNS Mangro เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๘ และลำที่สี่เรือดำน้ำ PNS Ghazi เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๘(https://aagth1.blogspot.com/2025/12/hangor-pns-ghazi.html)
ขณะที่เรือดำน้ำชั้น Hangor ๔ลำหลังกำลังถูกสร้างที่อู่เรือ Karachi Shipyard & Engineering Works Ltd(KS&EW) ในปากีสถานภายใต้ข้อตกลงการถ่ายทอดวิทยาการ นี่แสดงให้เห็นว่าเฉพาะในปี พ.ศ.๒๕๖๘(2025) นี้อู่เรือ Wuchang ได้สามารถจะปล่อยเรือดำน้ำได้ต่อเนื่องถึง ๓ลำในระยะห่างเพียง ๓ ถึง ๕เดือนเท่านั้น ซึ่งขณะนี้เรือดำน้ำชั้น Hangor สี่ลำแรกกำลังอยู่ในขั้นการทดลองเรือในทะเล(sea trials)
นั่นทำให้เป็นไปมากว่ากองทัพเรือปากีสถานจะได้รับมอบเรือดำน้ำชั้น Hangor ๔ลำแรกของตนภายในปี พ.ศ.๒๕๖๙(2026) ซึ่งล่าช้าจากกำหนดเดิมที่มีกำหนดส่งมอบในช่วงปี พ.ศ.๒๕๖๕-พ.ศ.๒๕๖๖(2022-2023) โดยปากีสถานได้ยอมรับการติดตั้งเครื่องยนต์ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า CHD620 แทนเครื่องยนต์ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า MTU 396 ที่เยอรมนีปฏิเสธที่จะส่งออกให้จีนและปิดสายการผลิตไปตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๖๓(2020)
เรือดำน้ำชั้น Hangor ทั้ง ๘ลำของปากีสถาน และเรือดำน้ำ S26T ของกองทัพเรือไทยนั้นแต่ละลำจะติดตั้งเครื่องยนต์ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า CHD620 สามเครื่องต่อลำ นี่เป็นข้อบ่งชี้ว่าตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ อู่เรือ Wuchang ได้เสร็จสิ้นงานสร้างเรือดำน้ำสำหรับปากีสถานทั้งหมดแล้ว และสามารถจะใช้แรงงานทรัพยากรและเวลาในการสร้างเรือดำน้ำ S26T ของไทยได้มากขึ้นถ้าไม่ติดปัญหาอื่นเช่นการชำระค่าใช้จ่าย
ต่อมากองเรือดำน้ำ กดน.(Submarine Squadron) กองเรือยุทธการ กร.(RTF: Royal Thai Fleet) กองทัพเรือไทยได้เผยแพร่ประกาศข่าวผ่าน website และสื่อสังคม online ทางการของตนว่า เร็วๆนี้จะมีการประกาศรับสมัครสอบคัดเลือกเป็นกำลังพลประจำเรือดำน้ำ ครูฝึก และ ฝ่ายเสนาธิการรบ(ที่ว่าง) จำนวน ๔๒ตำแหน่งอัตรา ซึ่งนี่เป็นเครื่องหมายถึงการเริ่มต้นที่จะมีการคัดเลือกกำลังพลชุดรับเรือของเรือดำน้ำ S26T
ตามสัญญาเดิมเรือดำน้ำ S26T ระยะที่๑ ลำแรกควรจะถูกส่งมอบได้ในสิ้นปี พ.ศ.๒๕๖๖(2023) การแก้ไขล่าสุดจะทำการให้การส่งมอบเรือดำน้ำ S26T แก่กองทัพเรือไทยจะเป็นภายในราวปี พ.ศ.๒๕๗๑ ซึ่งเรืออาจจะเดินทางมาถึงไทยได้ราวเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๗๒(2029) ซึ่งในช่วงที่เรือดำน้ำ S26T ลำแรกของกองทัพเรือไทยถูกปล่อยลงน้ำแล้วก็ควรจะตามมาด้วยการส่งกำลังพลชุดรับเรือและครูฝึกไปฝึกศึกษาที่จีนครับ
Marsun displayed the model of its products include M58 patrol gun boat, M36 patrol boat, and M21 patrol boat at the Defense & Security 2025 show in Bangkok. (My Own Photos)
Thailand's shipyard Marsun is developing new multirole patrol boat that size larger than its M58 patrol gun boat (PGB-561 HTMS Laemsing) but smaller than Pattani-class and Krabi-class offshore patrol vessels (OPV) (around displacement 500-1,500 tonnes, length 60-90m).
New Marsun's multirole patrol boat to be modular design for Royal Thai Navy requirements to replace its ageing PGBs and anti-submarine Corvettes and retired FACs with adaptable mission module capabilities, as well as for foreign export.
ผู้บัญชาการกองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ เยี่ยมชมกิจการ บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน)
ในวันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2568 พลเรือตรี สุชาติ อุดมนาค ผู้บัญชาการกองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ พร้อมคณะฯ เยี่ยมชมกิจการ บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถเกี่ยวกับเรือตรวจการณ์เอนกประสงค์ ที่จะได้รับการจัดหาทดแทนเรือที่ปลดประจำการในโอกาสต่อไป
พร้อมทั้งแนวทางการพัฒนาปรับปรุงเรือในกองเรือยามฝั่ง ที่ได้รับการต่อเรือจาก บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน)
ระหว่างนิทรรศการแสดงยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ Defense & Security 2025 ที่อาคาร Challenger Hall 1-2 ศูนย์จัดแสดงสินค้า IMPACT เมืองทองธานี นนทบุรี ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๘ ที่นอกจากที่บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน)(Marsun Public Company Limited) ไทย ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาธุรกิจของตนที่จะมุ่งไปสู่ตลาดส่งออกต่างประเทศมากขึ้น
บริษัท Marsun ไทยยังให้ข้อมูลกับผู้เขียนว่าตนกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาออกแบบ "เรือตรวจการณ์เอนกประสงค์"(multirole patrol boat) แบบใหม่สำหรับความต้องการของกองทัพเรือไทยที่มียุทธศาสตร์การพัฒนากำลังทางเรือในอนาคตที่จะลดชุดเรือ(ship class) และลดประเภทเรือ(ship type) ของตนลงรวมถึงสำรวจความเป็นไปได้ในการส่งออก แต่ไม่ได้ให้รายละเอียด
การพัฒนาเรือตรวจการณ์เอนกประสงค์โดย Marsun ไทยได้ถูกกล่าวถึงอย่างชัดเจนว่ามีจริง ตามที่ กองเรือยามฝั่ง กยฝ.(CGS: Coast Guard Squadron) กองเรือยุทธการ กร.(RTF: Royal Thai Fleet) กองทัพเรือไทย เยี่ยมชมกิจการบริษัท Marsun เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถเกี่ยวกับเรือตรวจการณ์เอนกประสงค์ ที่จะได้รับการจัดหาทดแทนเรือที่ปลดประจำการ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘
ปัจจุบันกำลังทางเรือหลักของ กองเรือยามฝั่ง กยฝ.ในปัจจุบันทั้งหมดล้วนเป็นเรือที่ต่อในไทยและเกือบทั้งหมดต่อโดยใช้แบบเรือของ Marsun ไทย ยกเว้นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.81 ๓ลำ(เรือ ต.81, ต.82 และ ต.83) รวมถึง เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.111 ๓ลำ(เรือ ต.111, ต.112 และ ต.113) ,เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.114 ๒ลำ(เรือ ต.114 และ ต.115)(M36 Partrol Boat),
เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.991 ๓ลำ(เรือ ต.991, ต.992 และ ต.993), เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.994 ๓ลำ(เรือ ต.994, ต.995 และ ต.996) และเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.997(เรือ ต.997 และ ต.998)(https://aagth1.blogspot.com/2025/02/em-sentinel-30-997.html), เรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.227 ๑ลำ(เรือ ต.227), เรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.228 ๓ลำ(เรือ ต.228, ต.229 และ ต.230),
เรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.232 ๖ลำ(เรือ ต.232, ต.233, ต.234, ต.235, ต.236 และ ต.237), เรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.261 ๔ลำ(เรือ ต.261, ต.262, ต.263 และ ต.264), เรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.265 ๕ลำ(เรือ ต.265, ต.266, ต.267, ต.268 และ ต.269) และเรือตรวจการณ์ชายฝั่งชุดเรือ ต.270 ๕ลำ(เรือ ต.270, ต.271, ต.272, ต.273 และ ต.274)(M21 Partrol Boat)
โดยที่ขณะนี้ กองเรือยามฝั่ง กยฝ.น่าจะมีเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ตกช.และเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ตกฝ.ครบตามจำนวนที่ต้องการใช้งานแล้ว กองเรือตรวจอ่าว กตอ.(PS: Patrol Squadron) เป็นอีกกำลังรบทางเรือหลักของกองเรือยุทธการ กร.ที่กำลังเผชิญกับการปลดประจำการไปแล้วและใกล้จะปลดประจำการเรือรบประเภทต่างๆของตนลงเป็นจำนวนมากในช่วงหลายปีมานี้ ซึ่งเรือต่างๆเหล่านี้รวมถึง
เรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชุดเรือหลวงปราบปรปักษ์ ๓ลำ(ร.ล.ปราบปรปักษ์ 311, เรือหลวงหาญหักศัตรู 312, และเรือหลวงสู้ไพรินทร์ 313) และเรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชุดเรือหลวงราชฤทธิ์ ๓ลำ(ร.ล.ราชฤทธิ์ 321, เรือหลวงวิทยาคม 322, และเรือหลวงอุดมเดช 323) โดยเรือประเภทเรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถี รจอ.ถูกปลดประจำการลงทั้งหมดแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2021/10/exocet.html)
เรือประเภทเรือเร็วโจมตีปืน รจป.คือ เรือเร็วโจมตีปืนชุดเรือหลวงชลบุรี ๓ลำ(ร.ล.ชลบุรี 331, เรือหลวงสงขลา 332 และเรือหลวงภูเก็ต 333) ล่าสุด ร.ล.ภูเก็ต ได้ถูกปลดประจำการลงแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๘(https://aagth1.blogspot.com/2025/10/blog-post.html) โดย ร.ล.ชลบุรี และ ร.ล.สงขลา น่าจะถูกทยอยปลดประจำการตามาในปีต่อไปเป็นการสิ้นสุดการใช้งานเรือประเภทเรือเร็วโจมตีในกองทัพเรือไทย
เรือประเภทเรือตรวจการณ์ปืน ตกป.ยังเป็นเรืออีกแบบในสังกัดกองเรือตรวจอ่าว กตอ.ที่ทั้งหมดต่อในไทย นอกจากเรือตรวจการณ์ปืนชุดเรือหลวงแหลมสิงห์ ๑ลำ(M58 patrol gun boat) ที่ต่อโดยอู่เรือ Marsun ไทย และเรือตรวจการณ์ปืนชุดเรือหลวงหัวหิน ๓ลำ(ร.ล.หัวหิน 541, เรือหลวงแกลง 542 และเรือหลวงศรีราชา 543) ที่เข้าประจำการในปี พ.ศ.๒๕๕๙(2016) และ พ.ศ.๒๕๔๔(2001) ตามลำดับ
เรือตรวจการณ์ปืนชุดเรือหลวงสัตหีบ ๖ลำ(ร.ล.สัตหีบ 521, เรือหลวงคลองใหญ่ 522, เรือหลวงตากใบ 523, เรือหลวงกันตัง 524, เรือหลวงเทพา 525 และเรือหลวงท้ายเหมือง 526) นั้นเข้าประจำการตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖-๒๕๒๙(1983-1986) นี่อาจจะรวมถึงเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชุดเรือหลวงคำรณสินธุ์ ๓ลำ(ร.ล.คำรณสินธุ์ 531, เรือหลวงทยานชล 532 และเรือหลวงล่องลม 533) ที่ประจำการในปี พ.ศ.๒๕๓๕(1992) ในสังกัดกองเรือฟริเกตที่๑ กฟก.๑(1st FS: 1st Frigate Squadron) ด้วย
ในการทดแทนเรือเหล่านี้ เรือตรวจการณ์อเนกประสงค์ใหม่จะมีขนาดใหญ่กว่าเรือตรวจการณ์ปืน ตกป.แต่เล็กกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ตกก.เช่น เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี ๒ลำ(ร.ล.ปัตตานี 511 และเรือหลวงนราธิวาส 512) และเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงกระบี่ ๒ลำ(ร.ล.กระบี่ 551 และเรือหลวงประจวบคีรีขันธ์ 552) มีการออกแบบเรือแบบ modular มีขีดความสามารถรองรับการติดตั้ง mission module ที่ปรับเปลี่ยนภารกิจได้หลากหลายรูปแบบทั้งยามสงบและยามสงครามรวมถึงยานผิวน้ำไร้คนขับ(USV: Unmanned Surface Vehicle) ครับ
Royal Thai Navy (RTN) Naval Research and Development Office (NRDO) displayed its domestic Unmanned Surface Vessel (USV) for Coastal Martime Operation at the Defense & Security 2025 show in Bangkok. (My Own Photos)
Royal Thai Navy (RTN) Naval Research and Development Office (NRDO) planned to developing Unmanned Surface Target Ship for enhancing naval tactical training, seen in computer graphic concept. (Royal Thai Navy)
การประชุมหารือแนวทางการพัฒนาเรือเป้าพื้นน้ำไร้คนขับ เพื่อยกระดับการฝึกยุทธวิธีทางเรือ
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๓๓๐ – ๑๖๐๐ นาวาเอก ปริญญา เจริญยิ่ง รอง ผอ.สวพ. (๑) ได้นำข้าราชการ สวพ.ทร. เข้าร่วมการประชุมหารือแนวทางการพัฒนา “เรือเป้าพื้นน้ำไร้คนขับ” ณ ห้องประชุม สวพ.ทร. ชั้น ๕ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาอุปกรณ์สนับสนุนการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธีให้มีความทันสมัย ปลอดภัย และตอบสนองภารกิจของกองทัพเรือในอนาคต
การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนายุทโธปกรณ์ที่ผลิตได้ภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นการออกแบบเรือเป้าที่สามารถควบคุมระยะไกล เคลื่อนที่ได้คล่องตัว และทนทานต่อสภาพแวดล้อมทางทะเล เพื่อใช้เป็นสื่อฝึกที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยเพิ่มความแม่นยำและสมจริงในการฝึกยิงของกำลังพลทุกระดับ
นอกจากนี้ การหารือยังครอบคลุมถึงแนวคิดการวิจัยและทดสอบต้นแบบ การประเมินประสิทธิผลในการใช้งานจริง และการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถต่อยอดไปสู่ระบบไร้คนขับแบบอื่น ๆ ในอนาคต อันสะท้อนถึงบทบาทของ สวพ.ทร. ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและยกระดับขีดความสามารถของกองทัพเรืออย่างต่อเนื่อง
การประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการเริ่มต้นของโครงการใหม่ หากยังเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ากองทัพเรือเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ พร้อมรองรับการปฏิบัติการทางทะเลยุคใหม่อย่างแท้จริง.
สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ สวพ.ทร.(NRDO: Naval Research and Development Office) กองทัพเรือไทยมีแผนที่จะพัฒนา "เรือเป้าพื้นน้ำไร้คนขับ"(Unmanned Surface Target Ship) เพื่อใช้ในการฝึกการใช้อาวุธทางยุทธวิธี โดยการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ได้เห็นภาพวาดสร้างจาก computer ที่แสดงแนวคิดรูปแบบของเรือเป้าพื้นน้ำไร้คนขับ
สวพ.ทร.มีผลงานวิจัยพัฒนาระบบไร้คนขับต่างๆของกองทัพเรือไทยซึ่งได้ถูกนำมาใช้จริงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลงงานกลุ่มยานผิวน้ำไร้คนขับ(USV: Unmanned Surface Vehicle) ต่างๆ เช่น เรือไร้คนขับสำหรับปฏิบัติการทางทะเลบริเวณชายฝั่ง ที่ถูกนำมาจัดแสดงในงาน Defense & Security 2025 ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ผ่านมาซึ่งได้มีการนำทดสอบการใช้งานแล้ว
เดิมในการฝึกใช้อาวุธด้วยกระสุนจริงจะเป็นการนำเรือที่ปลดประจำการไปแล้วมาใช้เป็นเรือเป้า ต่อมามีการสร้างเป้าลอยน้ำแบบประจำที่เพื่อใช้ในการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น การพัฒนาเรือเป้าพื้นน้ำไร้คนขับจึงเป็นแนวทางเดียวกับนำอากาศยานไร้คนขับ MARCUS-KK มาใช้เป็นเป้าบินที่เป็นอีกผลงานของ สวพ.ทร. ที่จะเพิ่มความสมจริงในการฝึกยิงกับเป้าหมายทางเรือที่มีการเคลื่อนที่ได้คล่องแคล่ว อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาและสร้างในไทยแทนการจัดหาจากต่างประเทศด้วยครับ
Formation of CVH-911 HTMS Chakri Naruebet helicopter carrier; FFG-471 HTMS Bhumibol Adulyadej guided missile frigate; FFG-422 HTMS Taksin, the Naresuan-class guided-missile frigates, FFG-458 HTMS Saiburi, the Chao Phraya-class frigate ; FSG-441 HTMS Ratanakosin guided-missile corvette; and FS-531 HTMS Kamronsin, the Khamronsin-class anti-submarine corvette; as part of Royal Thai Navy (RTN) individual and tactical training of Royal Thai Fleet (RTF) for Fiscal Year 2026 at Gulf of Thailand during 22-23 December 2025. (Royal Thai Navy)
กองเรือฟริเกตที่ ๑ กองเรือยุทธการ ฝึกยุทธวิธีร่วมกองเรือ
ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๘ หมู่เรือฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือฟริเกตที่ ๑ กองเรือยุทธการ ประกอบด้วย เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เรือหลวงรัตนโกสินทร์ และเรือหลวงคำรณสินธุ ออกเรือฝึกยุทธวิธีร่วมกองเรือ ในการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙
การฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๙ ที่มีพิธีเปิดมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ในห้วงเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ได้รวมถึงการฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ของกองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ, กองเรือทุ่นระเบิด, กองการบินทหารเรือ, หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ, และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘
และการฝึกหมู่เรือฝึกยุทธวิธีร่วมกองเรือ กองเรือยุทธการ ซึ่งประกอบด้วยเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ เรือหลวงจักรีนฤเบศร, เรือฟริเกต เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช, เรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร เรือหลวงตากสิน, เรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงสายบุรี, เรือคอร์เวต เรือหลวงรัตนโกสินทร์ และเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ เรือหลวงคำรณสินธุ ในอ่าวไทยระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่า ร.ล.จักรีนฤเบศร และ ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช ยังคงต่างมีความพร้อมในการออกเรือปฏิบัติการเมื่อได้รับคำสั่ง ไม่ได้จอดเทียบท่าที่ฐานทัพเรือสัตหีบเฉยๆ
ระหว่างการปะทะตามแนวชายแดนตะวันออกนอกชายฝั่งจังหวัดตราดอ่าวไทยช่วงวันที่ ๗-๒๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน มชด.(Border Patrol Flotilla) ที่ประกอบด้วยเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงกระบี่ เรือหลวงประจวบคีรีขันธ์, เรือคอร์เวต ร.ล.รัตนโกสินทร์ และเรือตรวจการณ์ปืนชุดเรือสัตหีบ เรือหลวงเทพา ได้มีส่วนร่วมในการยิงสนับสนุนกำลังหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินเพื่อทำลายเป้าหมายภัยคุกคามของกองทัพประเทศตรงข้ามครับ
The Barak MX is a modular and scalable networked air/missile defence system that links sensors, launchers, and Barak effectors into a single architecture. (Israel Aerospace Industries)
เขี้ยวเล็บใหม่ทอ. BARAK MX จาก IAI อิสราเอล …กองทัพอากาศได้ประกาศผู้ชนะ ในโครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ (Integrated Air Defence System: IADS)โดยเลือกระบบ BARAK MX จากบริษัท Israel Aerospace Industries Ltd. (IAI) รัฐอิสราเอล
โดยจะมีการจัดซื้อระบบป้องกันภัยทางอากาศระดับสูงถึงปานกลาง (High to Medium Air Defense: HIMAD) แบบ “BARAK MX” จำนวน 1 ระบบ จำนวนเงิน 3,440.37 ล้านบาท ซึ่ง BARAK MX จะเป็นระบบอาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัยที่สุดของกองกองทัพไทย …
BARAK MX เพื่อกำจัดภัยคุกคามทางอากาศ รวมถึงโดรนและขีปนาวุธพิสัยไกล มีขีดความสามารถสกัดกั้นขั้นสูง ความที่เหนือชั้นทางเทคโนโลยีเหล่านี้ขยายขอบเขตการป้องกันทางอากาศได้อย่างมากเมื่อเทียบกับระบบเดิม โดยเป็นเกราะป้องกันแบบหลายชั้นตั้งแต่ 35 - 70 กม. และครอบคลุมถึง 150 กม. สำหรับภัยคุกคามระยะไกล
ลองนึกภาพยามเย็นอันเงียบสงบที่จู่ๆ ก็พังทลายลงด้วยภาพอันน่าสะพรึงกลัวของขีปนาวุธหลายลูกที่พุ่งผ่านท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่เมืองที่พลุกพล่าน ฐานทัพ หรือสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ สถานการณ์อันน่าหวาดเสียวนี้คือสิ่งที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมรับมือ โดยมักพบว่าระบบป้องกันตนเองไม่เพียงพอต่อภัยคุกคามทางอากาศที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
กองทัพอากาศซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการรักษาความมั่นคงบนท้องฟ้า ซึ่งช่วยเสริมสร้างความรู้สึกปลอดภัยบนพื้นดิน จึงต้องมีความเตรียมพร้อมถึงภัยคุกคามเหล่านี้ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการจัดหาระบบอาวุธที่ทันสมัยเพื่อเสริมระบบป้องกันภัยทางอากาศ ซึ่งยังมีขีดจำกัดที่ในการรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธ BARAK MX ซึ่งพัฒนาโดย IAI ประเทศอิสราเอล เป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามหลากหลายรูปแบบ ทั้งอากาศยาน โดรน ขีปนาวุธข้ามทวีป และขีปนาวุธร่อน
ระบบนี้มีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศแบบหลายชั้น และได้รับการยอมรับในด้านความยืดหยุ่นและขีดความสามารถที่แข็งแกร่ง อีกทั้งได้รับการพิสูจน์ขีดความสามารถให้เห็นผลสำเร็จประสิทธิภาพและสมรรถนะในสนามรบมาแล้ว ในการสกัดกั้นขีปนาวุธของอิหร่าน ในปฏิบัติการ Rising Lion เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้
ระบบ BARAK MX เป็นแท่นยิงแบบ 8 ท่อยิง สามารถใส่ลูกอาวุธนำวิถี 3 แบบ ได้แก่ ระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะกลาง BARAK (MRAD) ที่ใช้มอเตอร์จรวดพัลส์ตัวเดียว มีระยะทำการไกลสุด 35 กม. ในขณะที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะไกล BARAK (LRAD) ที่ใช้มอเตอร์จรวดพัลส์คู่ มีระยะทำการไกลสุด 70 กม. ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้ มีระยะยิงเป้าหมายในระดับความสูงสุด 20 กม.
และ BARAK ER ที่ใช้มอเตอร์จรวดพัลส์คู่และบูสเตอร์เสริม มีระยะทำการไกลสุด 150 กม. มีระยะยิงเป้าหมายในระดับความสูงสุด 30 กม. มีแรงจีถึง 50 จี ที่ยากต่อการหลบหลีกของเป้าหมาย โดยมีการเล็งเป้าหมายที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ พร้อมความทนทานสูงต่อมาตรการตอบโต้ทางอิเล็กทรอนิกส์
ทุกรุ่นมีระบบค้นหาคลื่นความถี่วิทยุขั้นสูงสำหรับพื้นที่หน้าตัดเรดาร์ต่ำและเมื่อค้นหาเป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่ และสามารถบรรทุกหัวรบขนาดใหญ่ได้ เครื่องถูกยิงขึ้นในแนวตั้งเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ 360 องศา BARAK ทั้ง 3 รุ่นถูกรวมเข้าไว้ในระบบการจัดการการรบเดียว พร้อมด้วยเครื่องยิง BARAK บนพื้นดินแบบรวมศูนย์ เครื่องยิงสามารถปฏิบัติการตั้งยิงในเวลาอันรวดเร็วและเก็บเคลื่อนย้ายที่ตั้งยิงได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที
ระบบ BARAK MX ประกอบด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์มัลติมิชชั่นแบบ Phased Array (MMR) แบบบูรณาการดิจิทัลเต็มรูปแบบที่พัฒนาโดย IAI ระบบนี้ติดตั้งเรดาร์แบบ Active Electronically Scanned Array (AESA) ที่พัฒนาโดย ELTA Systems ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ IAI เช่น ELM 2138 MMR และ ELM-2084 MMR ซึ่งสามารถปฏิบัติการแบบเคลื่อนที่ได้
ระบบ BARAK MX ทำงานด้วยสถาปัตยกรรมที่เน้นใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง ให้ความซ้ำซ้อนสูงสุดและรองรับการผสานรวมเซ็นเซอร์และศูนย์จัดการการรบหลายส่วน การออกแบบนี้ช่วยเพิ่มความสามารถของระบบในการประสานงานกับระบบป้องกันอื่นๆ จัดการภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในสถานการณ์การรบตามเวลาจริง
แกนหลักของระบบ BARAK MX อยู่ที่หัวรบสกัดกั้นที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งขยายขอบเขตการป้องกันทางอากาศได้อย่างมากเมื่อเทียบกับระบบเดิม โดยมีเกราะป้องกันแบบหลายชั้นตั้งแต่ 35 ถึง 70 กิโลเมตร ไปจนถึง 150 กิโลเมตรสำหรับภัยคุกคามระยะไกล ความสามารถในการเลือกระบบสกัดกั้น BARAK ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภัยคุกคามทางอากาศช่วยลดภาระด้านโลจิสติกส์และลดต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน
ข้อได้เปรียบสำคัญของระบบสกัดกั้น BARAK MX คือคุณสมบัติด้านสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม หัวรบสกัดกั้นของ BARAK MX ได้รับการออกแบบให้เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ (SAM) ตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยมอเตอร์จรวดแบบพัลส์คู่และเส้นผ่านศูนย์กลางของอาวุธที่ใหญ่ขึ้น ช่วยให้มีเรดาร์ค้นหาและหัวรบที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้
คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้ BARAK MX สามารถรับมือกับภัยคุกคามได้หลากหลายยิ่งขึ้น ด้วยความคล่องตัวที่สูงขึ้น และโอกาสในการสกัดกั้นเป้าหมายที่มีความแม่นยำสูงสุด
ระบบป้องกันภัยทางอากาศ BARAK MX สามารถปฏิบัติการได้ในทุกสภาพอากาศ ทั้งกลางวันและกลางคืน สามารถนำไปใช้งานในภารกิจป้องกันจุดและป้องกันพื้นที่ และสามารถปรับให้เข้ากับสภาพการรบประสานงานของกองกำลังเฉพาะกิจร่วมที่มีเครือข่ายเป็นศูนย์กลางได้ สามารถรับมือกับภัยคุกคามได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งอากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ ระเบิดร่อน อากาศยานไร้คนขับ และขีปนาวุธร่อน รวมถึงขีปนาวุธข้ามทวีป
ในขณะที่ปัจจุบัน ประเทศรอบบ้านอย่างกัมพูชาก็มีอาวุธนำวิถี PHL-03 ระยะยิงไกล 130 กม. ผลิตในจีน และเมียนมา ก็มีขีปนาวุธแบบ Scud ผลิตในเกาหลีเหนือ ระยะยิงไกล 300-700 กม. ซึ่งอาวุธเหล่านี้จะเป็นภัยคุกคามที่สำคัญเมื่อเกิดความขีดแย้งกันระหว่างประเทศ ที่จะนำไปสู่การสู้รบ นอกจากนี้ในอนาคตยังอาจจะมีการใช้ จรวดร่อน โดรนทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กเป็นอาวุธพิฆาต ในการโจมตี
ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่กองทัพอากาศ ต้องมีระบบสกัดกั้นที่ทันสมัย เชื่อถือได้ มาเป็นผู้พิทักษ์ท้องฟ้า รับรองความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ ...นอกจากกองทัพอากาศที่กำลังจะจัดหา BARAK MX แล้ว คาดว่ากองทัพบกและกองทัพเรือก็สนใจเช่นกัน...
โครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ(IADS: Integrated Air Defence System) เพื่อจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศภาคพื้นดิน(GBAD: Ground Based Air Defence) ในปี พ.ศ.๒๕๖๘-พ.ศ.๒๕๗๑(2025-2028) สำหรับการจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศพิสัยกลาง(MRAD: Medium Air Defence System) จำนวน ๑ระบบ กองทัพอากาศไทยได้ประกาศผู้ชนะ
คือบริษัท Israel Aerospace Industries(IAI) อิสราเอล ที่จะจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ Barak MX ระยะที่๑ จำนวน ๑ระบบชุดยิง(battery) เป็นวงเงิน ๓,๔๔๐,๓๗๐,๐๐๐บาท($107 million) สำหรับกรมต่อสู้อากาศยาน(Anti-Aircraft Regiment) หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน(SFC: Security Force Command) โดยมีการประกาศการลงนามสัญญาเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘(2025)
โดยมีความเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด(TAI: Thai Aviation Industries) ไทยในการสนับสนุนการใช้งานในไทย ตามสมุดปกขาว RTAF White Paper 2025(https://aagth1.blogspot.com/2025/06/rtaf-white-paper-2025.html) ยังมีโครงการจัดหาระบบต่อต้านอากาศไร้คนขับ C-UAS(Counter-Unmanned Aircraft System) ต่างๆทั้งระบบที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาเองและจัดหาจากบริษัทของไทยครับ
K200A1 Armoured Personnel Carrier (APC) of Republic of Korea Army (RoKA). (Republic of Korea Armed Forces)
Royal Thai Army (RTA)'s M113A3 armored personnel carriers (APCs) with STK 40 AGL(Automatic Grenade Launcher) 40mm and M2 Flex .50cal heavy machine gun of 2nd Infantry Battalion, 12th Infantry Regiment, 2nd Infantry Division Queen Sirikit's Guard, during field exercise in May 2024. (Royal Thai Army)
Defence Technology Institute (DTI) announced the winner of the bidding of manufacturing Infantry fighting Vehicle (IFV) project , and Refurbishment and Modernization to improved capabilities and weapon systems of M113 armored personnel carrier (APC) family vehicles programme for Royal Thai Army (RTA) is Chaiseri metal & rubber Co. Ltd.
for 74,300,000 Baht ($2,333,836) and 39,900,000 Baht ($1,253,357) respectively, on 14 November 2025.
ประกาศสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างสร้างรถรบทางทหารแบบสายพาน (IFV) สำหรับ ทบ.
ประกาศสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างซ่อมปรับปรุงคืนสภาพเพิ่มขีดความสามารถและปรับปรุงระบบอาวุธของ รสพ. ตระกูล M113 สำหรับ ทบ.
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สปท. DTI(Defence Technology Institute) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมไทย ได้เผยแพร่เอกสารใน Website ทางการของตนเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๘ ประกาศว่าบริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด(Chaiseri metal & rubber Co. Ltd.) ไทย เป็นผู้ชนะสองโครงการสำหรับกองทัพบกไทยคือ
โครงการจ้างสร้างรถรบทางทหารแบบสายพาน(IFV:Infantry fighting Vehicle) วงเงิน ๗๔,๓๐๐,๐๐๐บาท($2,333,836) และโครงการจ้างซ่อมปรับปรุงคืนสภาพเพิ่มขีดความสามารถและปรับปรุงระบบอาวุธของรถสายพานลำเลียงพล รสพ.ตระกูล M113 APC(Armored Personnel Carrier) วงเงิน ๓๙,๙๐๐,๐๐๐บาท($1,253,357) ตามลำดับ
เป็นที่เข้าใจว่ารถรบทางทหารแบบสายพาน IFV สำหรับกองทัพบกไทยน่าจะคือโครงการพัฒนารถรบทหารราบ K200 IFV บริษัท Hanwha Aerospace ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ(MOU: Memorandum of Understanding) กับบริษัท Thai Defense Industry จำกัด(TDI) ไทย ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๘(https://aagth1.blogspot.com/2025/02/hanwha-dti-chaiseri-k200-ifv.html)
TDI ไทยเป็นกิจการร่วมทุน(joint venture) ระหว่าง DTI ไทย และบริษัท Chaiseri ไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของเอกชนแก่ต่างประเทศในรูปแบบข้อตกลงแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ซึ่งมีผลงานส่งออกเป็นจำนวนมากเช่นยานเกราะล้อยาง Hisaar 4x4 MRAP สำหรับกองทัพบกปากีสถาน(PA: Pakistan Army) จำนวน ๑๐๐คัน(https://aagth1.blogspot.com/2025/11/chaiseri.html)
เป็นที่เข้าใจว่า Chaiseri ไทยน่าจะทำการพัฒนาต้นแบบรถรบทางทหารแบบสายพาน IFV สำหรับกองทัพไทยภายใต้ความร่วมมือกับ DTI ไทย แต่ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในขณะนี้ ขณะที่โครงการซ่อมปรับปรุงรถสายพานลำเลียงพล รสพ.M113 จะเป็นการปรับปรุงความทันสมัยเพื่อยืดอายุการใช้งานเพิ่มขีดความสามารถและระบบอาวุธของรถที่มีประจำการในกองทัพบกไทย ซึ่ง Chaiseri ไทยมีความชำนาญอยู่แล้ว
ปัจจุบันกองทัพบกไทยมี รสพ.M113 หลากหลายรุ่นประจำการจำนวนราว ๔๕๐คันที่เข้าประจำการมาตั้งแต่ราวปี พ.ศ.๒๕๑๐(1967) ในกองพันทหารม้าบรรทุกยานเกราะ กองพันทหารม้าลาดตระเวน(สายพาน) กองร้อยยานเกราะของกรมทหารราบ โดย รสพ.M113A3 รุ่นใหม่สุดที่จัดหาในปี พ.ศ.๒๕๔๐(1997) เป็นกำลังหลักของกรมทหารราบที่๑๒ รักษาพระองค์ฯ ร.๑๒ รอ. กองพลทหารราบที่๒ รักษาพระองค์ฯ พล.ร.๒ รอ. ครับ
Japan Ground Self-Defense Force (JGSDF) Central Readiness Regiment provided the Royal Cambodian Army (RCA) with its second round of technical cooperation in the field of close protection from 28 November to 14 December 2025.
Starting with a review of proficiency from the training conducted in June, we provided education on essential skills for close protection, including planning, shooting, and hand-to-hand combat etc.
In addition, during the comprehensive exercise, RCA participants executed a full sequence of close protection actions as the comprehensive exercise and confirmed the results of training.
Furthermore, through these two rounds of cooperation this fiscal year, we were able to build strong relationships with instructors and trainees of the Royal Cambodian Army.
JGSDF continues to promote defense cooperation and exchanges with RCA, contributing to the strengthening bilateral relations between the two countries.
The Royal Thai Army (RTA) seized Chinese-made manportable Poly Technologies GAM‐102LR ATGM systems and Norinco PF-89 disposable rocket launcher after Cambodian troops retreated from contested high grounds Hill 677 and Hill 500 at Chong An Ma in Ubon Ratchathani Province, Thailand on 14 December 2025. (Royal Thai Army)
A Chinese-made Norinco VT4 main battle tank (MBT) of the Royal Thai Army (RTA) suffered damage during fire support for engagement Cambodian military positions in front line on 12 December 2025.
Results complete rupture of VT4 MBT gun barrel, sights of fire control system and the laser warning system also damaged. Three tank crews of RTA VT4 MBT were reported serious injuries. (Royal Thai Army)
A report on two or three of VT4 main battle tanks with their 125mm main tank gun barrels explode during the battle also widespread on Thai social media.
RTN VT4 MBT of 21st Cavalry Battalion boresighting its 125mm tank gun. (Royal Thai Army)
The crews operation manual of VT4 MBT by RTA Cavalry Center states that the service life of the 125mm main tank gun barrel (EFC: Effective Full Charge) is 500 rounds and require for checking process at 200 rounds.
Unexploded Chinese-made PF-89 disposable anti-tank rocket launcher round on wood and net armoued of Royal Thai Army (RTA)'s M113 armored personnel carrier (APC) after retreated from contested area. (Royal Thai Army)
Royal Thai Marine Corps (RTMC) Task Force Trat's domestic Chaiseri AWAV 8x8 and First Win II 4x4; Chaiseri upgared AAV7A1 RAM/RS; and M758 ATMG 155mm/52calibre wheeled self-propelled howitzers at front line of Trat Province's border on 20 December 2025. (Royal Thai Marine Corps/Nutthapoom Pupakdee)
https://www.facebook.com/rtmc46/posts/pfbid0DikVYgVH3bDJitzC48VvZyPGQdS64Fjkc6CmCEkja11JbFg5uSWUfvDGKReRfryql
การปะทะรอบใหม่เป็นรอบที่สามระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา(Royal Cambodian Armed Forces) ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ ๗-๒๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ และมีการรบเกิดขึ้นตลอดแนวชายแดนของทั้งสองประเทศตั้งแค่จังหวัดชายแดนภาคอีสานตอนล่างในความรับผิดชอบกองทัพภาคที่๒ ทภ.๒(2nd Army Area) และภาคตะวันออกของกองทัพภาคที่๑ ทภ.๑(1st Army Area) กองทัพบกไทย
รวมถึงพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือไทยและนาวิกโยธินไทยใน กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด กปช.จต.(Chanthaburi and Trat Border Defence Command) และ หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน มชด.ในอ่าวไทย ซึ่งได้เห็นการปฏิบัติการร่วมขนาดใหญ่ของกองทัพไทยที่มีการพัฒนาในหลายด้านที่เด่นชัดหลังจากการปะทะครั้งแรกจบลงในปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๘
จนถึงเวลาที่เขียนนี้(๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘) กองทัพไทยและกระทรวงกลาโหมไทยยืนยันว่ามีทหารไทยเสียชีวิตจากการรบหรือโรคประจำตัวแล้ว ๒๗นาย พลเรือนไทยเสียชีวิตจากอาวุธสงครามของฝ่ายตรงข้ามหรือจากโรคประจำตัวแล้ว ๔๒คน(ขณะที่ประเทศฝ่ายตรงข้ามใช้การจ้าง lobbyist และสื่อต่างๆให้ข้อมูลเท็จว่าทหารไทยเสียชีวิตแล้วมากกว่า ๖,๐๐๐นาย และมีประชาชนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บรวมเกิน ๒๐,๐๐๐คน)
ที่สำคัญคือนอกจากการที่ไม่ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกมากนัก การปะทะกับกองทัพกัมพูชาล่าสุดได้แสดงตำแหน่งของไทยในเวทีโลกที่ตอกย้ำความจริงที่ว่า "ไม่มีประเทศใดยอมตายเพื่อพันธมิตรตนเอง" แม้ว่าที่ผ่านมาไทยจะดำเนินนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์อันเป็นมิตรกับทุกประเทศทั่วโลก แต่นอกจากกัมพูชาที่เคยเพื่อนบ้านของไทยจะกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็ไม่มีประเทศใดที่ยืนข้างไทยจริงๆเลย
สหรัฐฯมิตรประเทศมหาอำนาจที่มีความสัมพันธ์ทางทหารอันแข็งแกร่งและยาวนานกับไทยจากการฝึกร่วมและวางกำลังในไทยมาตลอด แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ยังคงพยายามใช้อำนาจของตนเป็นตัวกลางให้ไทยยุติการรบกับกัมพูชาโดยยกภาษีนำเข้า(tariffs)และการค้ามากดดัน ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าหลังการปะทะจบลงสหรัฐฯจะกดดันไทยเพิ่มด้วยลดการสนับสนุนทางทหารของตนต่อกองทัพไทยลง
ประเทศใน ASEAN เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ที่ไทยมีความสัมพันธ์ทหารทหารอันดีและฝึกร่วมกันหลายการฝึกมาตลอดปี พ.ศ.๒๕๖๘ ก็วางตัวเป็นกลางและพยายามเป็นตัวกลางให้ไทยหาทางออกอย่างสันติ จีนที่บอกว่าไทยเป็นประเทศพี่น้องก็ขายอาวุธให้กองทัพไทยเช่นรถถังหลัก VT4 แต่ก็ขายอาวุธจำนวนมากอย่างอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รถถัง GAM‐102 ATGM เครื่องยิงจรวด PF-89 แก่กองทัพกัมพูชาด้วยเช่นกัน
ซึ่งจีนไม่ได้ทำอย่างนี้กับไทยเป็นรายแรกถ้าดูจากหลายกรณีทั่วโลกตัวอย่างที่ใกล้ไทยก็เช่นพม่าและบังคลาเทศที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งกันด้านพื้นที่ชายแดนทางทะเลและผู้อพยพชาว Rohingya จีนก็ขายอาวุธที่ตนผลิตเช่นเครื่องบินขับไล่ F-7 เรือฟริเกตชั้น Type 053H1/H2/H3 และรถถังหลัก Type 59 รถถังหลัก Type 69-II รถถังหลัก VT1A(MBT-2000) แก่กองทัพพม่าและกองทัพบังคลาเทศทั้งคู่
แม้แต่ญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทยยาวนาน กองกำลังป้องกันตนเองทางบกญี่ปุ่น(JGSDF: Japan Ground Self-Defense Force) ที่ร่วมการฝึก Cobra Gold กับไทยทุกปีก็ได้เสร็จสิ้นการฝึกกับกองทัพบกกัมพูชา(RCA: Royal Cambodian Army) ช่วงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน-๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ยังรวมถึงรัสเซียที่ขายทุ่นระเบิดสังหารบุุคคล PMN-2 ให้กัมพูชาและกลุ่มชาติยุโรปที่นิ่งเฉยและปฏิเสธเรื่องการมีผู้รับสัญญาจ้างทางทหาร(military contractor)ที่ทำงานให้กัมพูชาที่เป็นคนสัญชาติตนด้วย("ทหารรับจ้าง" Mercenary เป็นคำศัพท์โบราณตั้งแต่ยุคโบราณถึงยุคกลางที่ใช้ไม่ค่อยได้กับบริบทความขัดแย้งทางทหารในยุคปัจจุบันแล้ว)
และนั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า "ประเทศ" ทุกประเทศทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก ก็หวังว่าหลังการรบนี้สิ้นสุดลงคนไทยเราจะหันมาเลิกเลือกข้างสนับสนุนต่างประเทศชาติใดชาติหนึ่งแล้วหันมาเอาผลประโยชน์ของชาติไทยเราเป็นที่ตั้งเป็นหลัก แล้วพึ่งพาตนเองด้านความมั่นคงให้ได้เป็นส่วนมากมากขึ้นแบบตุรกี สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย หรืออินโดนีเซีย แทนการพึ่งพาเศรษฐกิจด้านการส่งออกและการท่องเที่ยวเสียทีครับ
























































