A NEW ERA OF AIR POWER. THAILAND TAKES FLIGHT INTO A NEW ERA. (Royal Thai Air
Force/Defense & Security 2025)
Thailand mulls Saab 340 AEW aircraft upgrade
The Royal Thai Air Force held a press conference on its readiness to procure
fighter jets, confirming that the Gripen E/F is a worthwhile fighter jet,
confident that it will use public taxes transparently and generate maximum
benefits.
On Wednesday, June 4, 2025 at 1:45 p.m., the Royal Thai Air Force held a press
conference on its readiness to procure 4 Gripen E/F fighter jets in Phase 1,
worth 19.5 billion baht, at the Royal Thai Air Force Lecture Hall,
chaired by Air Chief Marshal Panpakdee Phatthanakul, Commander-in-Chief of the
Royal Thai Air Force. Senior military officers and relevant personnel also
attended the press conference, including:
- FMV representative Mr. Joakim Wallin, Head of Export
- SAAB representative Mr. Lars Tossman, Head of Business Area Aeronautics SAAB
- Mr. Mark Gooding OBE became HM Ambassador to the Kingdom of Thailand in July
2021
- Mrs. Anna Hammargren, Swedish Ambassador to Thailand
This project is not just about procuring aircraft, but also about investing in
national security and the ability to defend air sovereignty in the long term.
The Gripen E/F aircraft has state-of-the-art performance, AESA radar system,
electronic warfare system and Meteor BVR missile, which are systems that meet
future combat needs.
The main reason for procuring a new fighter jet is to replace the F-16, which
has been in service for over 37 years, and will be gradually decommissioned
between 2028-2035. If this is not done, it will affect the readiness to defend
the country.
The Royal Thai Air Force has followed a strict, transparent and careful
process, with a committee of many parties set up to consider the suitability
in terms of capability, value for money and price. The results of the
consideration concluded that the Gripen E/F aircraft is the type that most
meets the Royal Thai Air Force's needs.
In addition, there is the transfer of Tactical Data Link (Link-T) technology,
the development of personnel and the domestic defense industry, as well as
cooperation in education and research with Sweden.
The Royal Thai Air Force plans to sign a contract with the Swedish government
by August 2025 and will train personnel, including pilots. Technical Engineers
are on hand to ensure they can immediately begin operations when the Gripen
E/F aircraft enters service.
งานแถลงข่าว โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
เมื่อวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568 พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล
ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานการจัดงานแถลงข่าว
โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน โดยมี พลอากาศเอก เสกสรร คันธา
ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (สายงานยุทธบริการ), พลอากาศเอก คิดควร สดับ
ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ (สายงานกิจการพิเศษ), พลอากาศเอก วชิระพล
เมืองน้อย เสนาธิการทหารอากาศ,
พลอากาศตรี พูนศักดิ์ ปิยะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน
กรมยุทธการทหารอากาศ, Mrs. Anna Hammargren เอกอัครราชทูตสวีเดน
ประจำประเทศไทย, Mr.Joakim Wallin ผู้แทน FMV
(องค์การบริหารจัดการยุทธภัณฑ์ทางทหารสวีเดน) และ Mr.Lars Tossman ผู้แทน SAAB
ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องบรรยายกองบัญชาการกองทัพอากาศ
เนื่องด้วย
กองทัพอากาศต้องดำรงความพร้อมของเครื่องบินขับไล่โจมตีสมรรถนะสูงขั้นต่ำ จำนวน
3 ฝูงบิน โดยปัจจุบันพบว่าเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ที่ประจำการ ณ กองบิน 1
มีอายุการใช้งานกว่า 37 ปี มีขีดความสามารถจำกัด และมีแผนทยอยปลดประจำการ
ระหว่างปี 71 - 78
ส่งผลให้ในอนาคตกองทัพอากาศจะเหลือเครื่องบินขับไล่โจมตีหลักเพียง 2
ฝูงบิน
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความพร้อมและขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ
กองทัพอากาศจึงวางแผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
ให้สอดคล้องกับแผนการปลดประจำการ โดยวางแผนจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
จำนวน 12 เครื่อง ในระยะเวลา 10 ปี
การจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนระยะที่ 1 (ปี 68 - 72)
มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน F-16 จำนวน 4 เครื่อง
พร้อมอุปกรณ์ อะไหล่ ระบบสนับสนุนการฝึก การฝึกอบรม และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น
สำหรับรองรับภารกิจการบินรบในอากาศ และการโจมตีทางอากาศ
สามารถใช้งานร่วมกับระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีของกองทัพอากาศ
รวมถึงบูรณาการความร่วมมือกับเหล่าทัพอื่น ในการป้องกันประเทศ
และรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ
ทั้งนี้ กองทัพอากาศได้กำหนดหลักการและข้อพิจารณาสำคัญในการดำเนินโครงการ
ได้แก่
เครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ต้องมีสมรรถนะที่ดีกว่าเครื่องบินขับไล่ที่กองทัพอากาศใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
มีความเหมาะสมในด้านคุณสมบัติร่วม และความต่อเนื่อง (Commonality &
Continuity) รวมทั้งมีการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Defence Offset)
ตามนโยบายรัฐบาลและนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เพื่อพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เสริมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยกองทัพอากาศได้ดำเนินการพิจารณาตามขั้นตอนและเกณฑ์การเลือกแบบด้วยความละเอียดรอบคอบ
ซึ่งเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการของกองทัพอากาศในปัจจุบัน
ได้แก่ “เครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ Gripen E/F”
พร้อมทั้งได้กำหนดวิธีการจัดหาโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ G to G
ซึ่งรัฐบาลสวีเดนมอบให้องค์การบริหารจัดการยุทธภัณฑ์ทางทหารสวีเดน หรือ FMV
รับผิดชอบในการเสนอขายเครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ Gripen E/F
ให้กับกองทัพอากาศ
พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้กล่าวว่า
โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญซึ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กองทัพอากาศ
ตามวิสัยทัศน์การพัฒนาสู่ “กองทัพอากาศที่แข็งแกร่งและ
มีประสิทธิภาพ หรือ UNBEATABLE AIR FORCE”
ให้มีความพร้อมสำหรับการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
บนพื้นฐานประสิทธิภาพและคุณภาพเหนือปริมาณ
โดยกองทัพอากาศได้กำหนดหลักการและข้อพิจารณาสำคัญในการดำเนินโครงการ ได้แก่
เครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ต้องมีสมรรถนะที่ดีกว่าเครื่องบินขับไล่ที่กองทัพอากาศใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาลได้เจรจากับทาง FMV
ในเรื่องขอบเขตของข้อเสนอหลักหรือ Main Package จนได้ข้อยุติแล้ว
และคณะกรรมการบริหารการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ ได้เจรจากับบริษัท SAAB
ในเรื่องข้อเสนอ Defence Offset เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสด
ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นหัวข้อสำคัญ MIDSR ดังนี้
M – Main Package ในการจัดหาทั้ง 3 ระยะของโครงการนั้น
กองทัพอากาศจะได้รับเครื่องบิน GRIPEN E/F รวมจำนวน 12 เครื่อง
อาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศระยะไกลเกินสายตาแบบ METEOR นอกจากนี้ บริษัท SAAB
จะดำเนินการปรับปรุงเครื่องบินแจ้งเตือนทางอากาศ SAAB 340 AEW
ให้เป็นรุ่น SAAB AEW&C ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการบัญชาการ
และควบคุมการรบจากบนเครื่องบิน SAAB 340
I - Indirect Offset และ D – Direct Offset บริษัท SAAB
เสนอการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ในภาพ รวมจำนวนทั้งสิ้น 14 รายการ แบ่งเป็น
Indirect Offset 7 รายการ และ Direct Offset 7 รายการ
S – Synchronization (ความต่อเนื่องสอดคล้องของโครงการ)
R – Risk (การบริหารความเสี่ยง)
กองทัพอากาศวางแผนและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ
ให้เกิดความสอดคล้องประสานกันของโครงการทั้ง 3 ระยะ ทั้งการส่งมอบเครื่องบิน
การฝึกอบรม การเตรียมความพร้อมด้านกำลังพล ระบบการซ่อมบำรุง
และโครงสร้างพื้นฐาน
ตลอดจนความสอดคล้องของข้อเสนอที่ได้รับจากการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์
รวมทั้งประเมินและวางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาในการดำเนินโครงการ
ทั้งนี้ ข้อเสนอการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Offset) ของบริษัท SAAB
ได้เสนอการชดเชยทางตรง (Direct Offset) จำนวน 7 รายการ ดังนี้
1. บริษัท SAAB จัดตั้งหน่วยงานวิจัยและพัฒนา (SAAB R&D Office)
2. การได้รับสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Right) ของ
Link-T
3. การพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Link-T Development)
4. การพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการบินในการปรับปรุงอากาศยาน
5. การส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินและการสร้างห่วงโซ่อุปทาน Gripen E/F
ในประเทศ
6. การพัฒนาขีดความสามารถในการส่งกำลังซ่อมบำรุงระดับประเทศ
7. การพัฒนาขีดความสามารถการซ่อมบำรุง ณ กองบิน 1
ส่วนข้อเสนอการชดเชยทางอ้อม (Indirect Offset) จำนวน 7 รายการ ดังนี้
1. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment)
2. การพัฒนาเทคโนโลยีด้านไซเบอร์
3. การก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมในประเทศไทย
4. การส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตร
5. การศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพ
6. ความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย
7. การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษโดย British Council
นอกจากนี้
เอกอัครราชทูตสวีเดนยังได้กล่าวถึงความรู้สึกในความภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวของกองทัพอากาศในวันนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออันลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยความไว้วางใจระหว่างสวีเดนและไทย
ซึ่งสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ทางการทูต ค่านิยมร่วมกัน
และความเคารพซึ่งกันและกันกว่า 157 ปี
ความร่วมมือด้านเครื่องบิน Gripen E/F และโครงการชดเชยทางอุตสาหกรรมของบริษัท
SAAB จะไม่เพียงเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศของไทยเท่านั้น
แต่ยังจะช่วยกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในด้านการค้า นวัตกรรม
และการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินการต่อไปของโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนนั้น
กองทัพอากาศวางแผนเสนอเรื่องโครงการจัดหาฯ
และข้อเสนอการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ให้กองบัญชาการกองทัพไทย
ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568
และคาดว่ากองบัญชาการกองทัพไทยจะเสนอเรื่องต่อให้กระทรวงกลาโหมประมาณห้วงกลางเดือนมิถุนายน
2568
ซึ่งกองทัพอากาศจะดำเนินการควบคู่กันไปกับการส่งร่างสัญญาของโครงการจัดหาฯ
และข้อเสนอการชดเชยฯ ให้สำนักงานอัยการสูงสุด รวมทั้งกรมสนธิสัญญาและกฏหมาย
กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องทางกฏหมาย
ภายในเดือนมิถุนายน 2568 รวมทั้งส่งเรื่องไปสำนักงบประมาณ
เพื่อตรวจสอบด้านงบประมาณในห้วงเดียวกัน
กองทัพอากาศคาดว่ากระทรวงกลาโหมจะเสนอเรื่องต่อไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเข้าคณะรัฐมนตรี
ภายใน 15 กรกฎาคม 2568
ภายหลังจาก
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กองทัพอากาศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและลงนามในสัญญาตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอหรือได้รับมอบอำนาจแล้ว
ทั้งสองฝ่ายจะร่วมลงนามในสัญญาร่วมกันประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2568
พร้อมกับแผนของกระทรวงการต่างประเทศ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
จะเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการ
เพื่อร่วมพิธีลงนามใน Joint Plan of Actions เพื่อเป็น Strategic Partnership
ของทั้งสองประเทศต่อไป
กองทัพอากาศขอให้ความเชื่อมั่นว่า โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบ GRIPEN E/F
ดำเนินการด้วยความรอบคอบมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้
ตลอดจนสนับสนุนการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Defence Offset)
ตามนโยบายของรัฐบาล
เกิดความคุ้มค่าสูงสุดต่องบประมาณที่ได้รับจากภาษีของพี่น้องประชาชน
นำมาซึ่งยุทโธปกรณ์ที่มีสมรรถนะสูงเพื่อใช้ในการปกป้องอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติ
สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามตามสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
การแถลงข่าวโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๑๙/ก
บ.ข.๑๙/ก F-16A/B ADF ฝูงบิน๑๐๒ กองบิน๑ โคราช ด้วยเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ข/ค
บ.ข.๒๐ข/ค Saab Gripen E/F ระยะที่๑ จำนวน ๔เครื่อง วงเงินราว
๑๙,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($562,665,012) ของกองทัพอากาศไทยเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน
พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศไทยนั้น
นอกจากผู้บัญชาการทหารอากาศไทย พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล,
ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอก เสกสรร คันธา,
ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอก คิดควร สดับ, เสนาธิการทหารอากาศ
พลอากาศเอก วชิระพล เมืองน้อย และผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน
กรมยุทธการทหารอากาศ พลอากาศตรี พูนศักดิ์ ปิยะรัตน์
เป็นผู้แถลงฝ่ายกองทัพอากาศไทยแล้วผู้แถลงฝ่ายสวีเดนมี
Mr.Joakim Walin หัวหน้าฝ่ายส่งออกสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์กลาโหมสวีเดน(Defence
Material Administration, FMV: Försvarets materielverk) และ Mr.Lars Tossman
หัวหน้าภาคส่วนธุรกิจแผนกอากาศยาน Saab Aeronautics บริษัท Saab สวีเดน
รวมถึงเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย Mrs.Anna Hammargren
และเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย Mr.Mark Gooding
ยังรวมถึงคณะนายทหารจากกองทัพไทยรวม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทย พลเอก ทรงวิทย์
หนุนภักดี, กองทัพบกไทย และกองทัพเรือไทย และภาคส่วนหน่วยงานรัฐและเอกชนเช่น
บริษัทอุตสาหกรรมการบินจำกัด(TAI: Thai Aviation Industries) ไทย
และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สทป.(DTI: Defence Technology Institute)
แสดงถึงความร่วมมือทั้งระดับภายในประเทศและระดับนานาชาติของโครงการ
ในการตอบคำถามจากสื่อไทยและต่างประเทศช่วงท้ายการแถลงมีเช่น การจัดหาระยะที่๑
เครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ข บ.ข.๒๐ข Gripen E ที่นั่งเดี่ยวจำนวน ๓เครื่อง
และเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ค บ.ข.๒๐ค Gripen F สองที่นั่งจำนวน
๑เครื่องที่จะส่งมอบในปี พ.ศ.๒๕๗๒(2029) Saab สวีเดนยืนยันว่าตนสามารถส่งมอบรุ่น
Gripen F แก่ไทยได้ตามกำหนดเช่นเดียวกับที่บราซิลสั่งจัดหาพร้อมการประกอบในประเทศ
ในส่วนความกังวลเรื่องนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump
ที่อาจขัดขวางการส่งออกชิ้นส่วนที่เป็นสิทธิบัตรของสหรัฐฯรวมถึงเครื่องยนต์ไอพ่น
General Electric F414-GE-39E(GKN RM16)
กองทัพอากาศไทยยืนยันว่าทางตัวแทนสหรัฐฯในไทยได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจแก่ไทยแล้วว่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
ซึ่งการจัดหารูปแบบข้อตกลงรัฐต่อรัฐ G-to-G จะสร้างความมั่นใจได้
นอกจากการปรับปรุงกองบิน๑ ให้รองรับการปฏิบัติการแล้ว
ข้อตกลงยังรวมถึงการปรับปรุงขีดความสามารถเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศแบบที่๑
บ.ค.๑ Saab 340 ERIEYE AEW เป็น AEW&C ฝูงบิน๗๐๒ กองบิน๗ สุราษฎร์ธานี ทั้ง
๒เครื่อง, อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ MBDA Meteor
ไม่ระบุจำนวน(มากกว่าสิบนัด), สิทธิใน Tactical Data Link(TDL) Link-T
และการถ่ายทอดวิทยาการต่างๆจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามขณะที่ขั้นตอนการจัดหาเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๒๐ข/ค Gripen E/F
ระยะที่๑ จะส่งเรื่อเข้ากระทรวงกลาโหมไทยและสำนักงบประมาณไทยในเดือนมิถุนายน
พ.ศ.๒๕๖๘ เข้าสู่การพิจารณาในคณะรัฐมนตรีไทยและรัฐสภาไทยภายในวันที่ ๑๕ กรกฏาคม
พ.ศ.๒๕๖๘ และลงนามสัญญาได้ในปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๘
และตามมาด้วยการจัดหารระยะที่๒ และระยะที่๓ ระยะละ ๔เครื่องจนครบ ๑๒เครื่องนี้
แต่จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ นี้ กระทรวงกลาโหมไทย
และคณะรัฐมนตรีไทยก็ยังไม่มีการนำเรื่องเข้าพิจารณาและอนุมัติเห็นชอบแต่อย่างใด
ความล่าช้าที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณางบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ
พ.ศ.๒๕๖๙(2026) ที่จำเป็นต้องเสร็จสิ้นก่อนการเริ่มบังคับใช้ในวันที่ ๑ ตุลาคม
พ.ศ.๒๕๖๘
โดยเฉพาะความวุ่นวายทางการเมืองในรัฐสภาล่าสุดอาจจะส่งผลต่อโครงการในภาพรวมครับ
Two of U.S. Air Force (USAF) F-35A Lightning II Demonstration Team displayed at Wing 6 Don Muang RTAF base, Bangkok, Thailand during Royal Thai Air Force 88th Anniversary Air Show on 7-8 March 2025. (My Own Photos)
Lockheed Martin F-16A Fighting Falcon "10312" of 103rd Squadron, Wing 1 Korat; Royal Thai Air Force (RTAF) displayed at Wing 6 Don Muang RTAF base, Bangkok, Thailand during Royal Thai Air Force 88th Anniversary Air Show on 7-8 March 2025. (My Own Photos)
Royal Thai Air Force (RTAF) White Paper 2025 published in June 2025.
สมุดปกขาวของกองทัพอากาศ พ.ศ.๒๕๖๘ RTAF White Paper 2025 ที่กองทัพอากาศไทยเผยแพร่ออกมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ หลังการการแถลงแผนการจัดหา บ.ข.๒๐ข/ค Gripen E/F มีขึ้นเพียงราวหนึ่งปีกว่าจากสมุดปกขาวของกองทัพอากาศ พ.ศ.๒๕๖๗ RTAF White Paper 2024 ที่เปิดตัวในการสัมมนาเชิงวิชาการ RTAF Symposium 2024 เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๗(2024)
คำชี้แจงที่ให้ในสมุดปกขาวกองทัพอากาศ RTAF White Paper 2025 ล่าสุดให้ข้อสังเกตว่าเหตุผลหลักที่มีการปรับแก้และออกสมุดปกขาวใหม่มาจากข้อจำกัดของงบประมาณแผ่นดินในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๗-พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ผ่านมา จึงจำเป็นต้องมีการทบทวนแผนงานตามกรอบงบประมาณที่ได้รับ ซึ่งจะเห็นได้ยังคงหลากหลายโครงการหลักที่สำคัญ เพิ่มโครงการใหม่บางส่วน และแก้ไขรายละเอียดบางโครงการ
กองทัพไทยยังคงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยผ่านการสนับสนุนการวิจัย พัฒนา ปรับปรุง และผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ภายในประเทศเป็นจำนวนมากตั้งแต่ การจัดหาอะไหล่และอาวุธปืนที่ผลิตในประเทศ, การผลิตกระสุนปืนกลอากาศ .50cal และกระสุนปืนใหญ่อากาศ 20mm, ลูกระเบิดอากาศอเนกประสงค์ขนาด 500lbs ,เป้าลวง Decoy Flare, ระบบเป้าอากาศอัตโนมัติ,
โครงการพัฒนาการป้องกันฐานที่ตั้งทางทหารของกองทัพอากาศ (IADS: Integrated Air Defence System) ปี ๒๕๖๘-๒๕๗๑(2025-2028) จัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศพิสัยกลาง(MRAD: Medium Air Defence System) จำนวน ๑ระบบที่ใช้อาวุธนำวิถีพื้นสู่อากาศ(SAM: Surface-to-Air Missile) ที่มีระยะยิงพิสัยได้ไกลไม่น้อยกว่า 30 nautical miles(55.56km)
โครงการวิจัยและพัฒนาระบบอาวุธนำวิถีด้วย Laser พื้นสู่อากาศระยะยิงพิสัยใกล้(SRAD: Short Range Air Defence), ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับอัตตาจร(Mobile Anti Drone) จำนวน ๒ระบบ และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับและระบบป้องกันภัยทางอากาศพิสัยใกล้/กลาง/ไกล (Short/Medium/Long GBAD: Ground Based Air Defence)
และระบบอากาศยานไร้คนขับ(UAV: Unmanned Aerial Vehicle) หลากหลายรูปแบบ โครงการจัดหาระบบอากาศยานต่างๆยังมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดหรือเพิ่มเติมเข้ามารวมถึงโครงการจัดหาเครื่องบินรับ-ส่งบุคคลสำคัญทดแทนเครื่องบินลำเลียง บ.ล.๑๙ Airbus A340-500 ที่น่าจะเป็นการจัดหาเครื่องบินลำเลียงและเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ Airbus A330 MRTT,
การทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบที่๑๘ข/ค บ.ข.๑๘ข/ค Northrop F-5E/F TH Super Tigris ฝูงบิน๒๑๑ กองบิน๒๑ อุบลราชธานี หรือเครื่องบินโจมตีแบบที่๗ บ.จ.๗ Alpha Jet TH ฝูงบิน๒๓๑ กองบิน๒๓ อุดรธานี ด้วยเครื่องบินโจมตีใหม่เช่นเครื่องบินโจมตี บ.จ.๘ AT-6TH Wolverine หรืออากาศยานรบไร้คนขับ(UCAV: Unmanned Combat Aerial Vehicle),
การทดแทนเครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๙/ก F-16AM/BM EMLU ฝูงบิน๔๐๓ กองบิน๔ ตาคลี ปี ๒๕๘๐-๒๕๘๙(2037-2046) ถูกระบะชัดเจนว่าจะเป็นเครื่องบินขับไล่โจมตียุคที่๕(5th Generation Fighter) ซึ่งนอกจากเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35A Lightning II ที่กองทัพอากาศแสดงความต้องการมาก่อนแต่สหรัฐฯยังไม่อนุมัติขายให้ ก็ยังมีตัวเลือกที่เป็นไปได้อีกหลายแบบในห้วงเวลาดังกล่าว,
การจัดหาเครื่องบินขับไล่และฝึก บ.ขฝ.๒ T-50TH ฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ เพิ่มเติม ๒เครื่อง, การจัดหาเครื่องบินฝึก บ.ฝ.๒๒ T-6TH Texan II โรงเรียนการบินกำแพงแสน เพิ่มเติม ๒เครื่อง, เครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธีอเนกประสงค์ใหม่ทดแทนเครื่องบินลำเลียง บ.ล.๘ C-130H ฝูงบิน๖๐๑ กองบิน๖, เครื่องบินลำเลียงใหม่ทดแทนเครื่องบินลำเลียง บ.ล.๒ก BT-67 ฝูงบิน๔๖๑ กองบิน๔๖ เป็นต้นครับ
Lockheed Martin F-16AM EMLU "40310" of 403rd Squadron, Wing 4 Takhli were displayed at Wing 6 Don Muang RTAF base, Bangkok, Thailand for Royal Thai Air Force 88th Anniversary Air Show on 7-8 March 2025. (Tanapol Arunwong)
RTAF F-16s intercepted Myanmar Air Force two advanced fighter aircrafts and one Y-12 transport/bomber aircraft at western Thailand-Myanmar border near Phob Phra District, Tak Provine on 3 June 2025.
ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว การบินขึ้นสกัดกั้นของเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ในวันนี้ (3 มิ.ย.68) นั้น
กองทัพอากาศ ได้ดำเนินการปฏิบัติภารกิจ การบินสกัดกั้น ตามขั้นตอน จำนวน 2 เที่ยวบิน
เวลา 1346 ส่ง 2 F-16MLU ขึ้นสกัดกั้น บ.สมรรถนะสูงจำนวน 2 เครื่อง เข้าใกล้เขตแดนบริเวณ อ.พบพระ จว.ตาก
เวลา 1656 ส่ง 2 F-16MLU ขึ้นสกัดกั้น บ.สมรรถนะสูง จำนวน 2 เครื่อง บ.ลำเลียงระเบิด จำนวน 1 เครื่อง เข้าใกล้เขตแดน บริเวณ อ.พบพระ จว.ตาก
ผลการปฏิบัติทั้ง 2 เที่ยวบิน สามารถพิสูจน์ฝ่ายและป้องปรามการลุกล้ำเข้าเขตแดนไทย ตามขั้นตอน และมาตรการปฏิบัติของกองทัพอากาศ
ทั้งนี้กองทัพอากาศขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจได้ว่า ระบบการป้องกันภัยทางอากาศจะดำเนินการปกป้องอธิปไตยของชาติ ตลอด 24 ชั่วโมง
เครื่องบินขับไล่ บ.ข.๑๙/ก F-16AM/BM EMLU ฝูงบิน๔๐๓ กองบิน๔ ตาคลี ยังคงปฏิบัติภารกิจบินขึ้นสกัดกั้น(scramble)ตามแนวชายแดนไทย-พม่าทางตะวันตกของประเทศต่อเนื่องจากที่มีความถี่มากขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ผ่านมา โดยวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ใก้อำเภอพบพระ จังหวัดตากได้สกัดกั้นเครื่องบินขับไล่โจมตีสมรรถนะสูง ๒เครื่อง และเครื่องบินลำเลียงทิ้งระเบิด ๑เครื่องในสองเที่ยวบิน
ซึ่งในประจำการกองทัพอากาศพม่า(Myanmar Air Force) เครื่องบินสมรรถนะสูงสามารถรวมถึงเครื่องขับไล่ Su-30SME(https://aagth1.blogspot.com/2023/12/su-30sme.html), เครื่องบินขับไล่ JF-17(https://aagth1.blogspot.com/2019/11/yak-130-jf-17.html) และเครื่องบินขับไล่ MiG-29SM(https://aagth1.blogspot.com/2022/07/mig-29.html)
ขณะที่เครื่องบินลำเลียงทิ้งระเบิดมีรายงานว่ากองทัพอากาศพม่าได้ดัดแปลงเครื่องบินลำเลียงเบา Y-12(https://aagth1.blogspot.com/2020/12/y-12-beechcraft-1900-g-120tp.html) เครื่องบินลำเลียง Y-8F-200W(https://aagth1.blogspot.com/2022/12/su-30sme-ka-28-ftc-2000g.html) ให้ทิ้งลูกระเบิดอากาศโจมตีกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าที่มีการสู้รบอย่างรุนแรงอยู่ครับ
Royal Thai Air Foce (RTAF) and Indonesian Air Force concluded the exercise ELANG THAINESIA XX/2025 at Wing 1 Korat RTAF Base, Thailand on 9-19 June 2025.
20th iteration of the bilateral exercise ELANG THAINESIA participated with RTAF Korea Aerospace Industries (KAI) T-50TH Golden Eagle of 401st Squadron, Wing 4 Takhli and Lockheed Matin F-16A/B Block 15 OCU/ADF of 103st Squdron Wing 1 Korat; and Indonesian Air Force KAI T-50i of 15th Air Squadron (Skadron Udara 15), Iswahyudi Air Force Base. (Royal Thai Air Foce)
นภานุภาพของ 2 ประเทศ เหนือน่านฟ้าอีสานใต้
ภาพแห่งความร่วมมือของกำลังทางอากาศที่เข้มแข็งของไทย-อินโดนีเซีย ผ่านการฝึกผสม ElangThaiNesia XX/25 ในพื้นที่การบินบริเวณภาคอีสานตอนใต้ โดยใช้ ฐานบิน กองบิน 1 จว.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 9 - 19 มิ.ย.68
นับว่าการฝึกผสานกำลังทางอากาศที่เข้มแข็งครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติทางอากาศร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้ในภารกิจปกป้องอธิไตยของชาติ อย่างเข้มแข็งต่อไป
กองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศอินโดนีเซีย(Indonesian Air Force, TNI-AU: Tentara Nasional Indonesia-Angkatan Udara) ได้เสร็จสิ้นการฝึกผสมทางอากาศ ELANG THAINESIA XX/2025 ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ณ กองบิน๑ โคราช จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย ซึ่งการฝึกครั้งที่๒๐ นี้ได้กลับมานำอากาศยานวางกำลังเข้าร่วมการฝึกอีกครั้งหลังจากว่างเว้นมาหลายปี
การฝึกผสม ELANG THAINESIA 2025 ปีนี้เป็นครั้งแรกที่กองทัพอากาศอินโดนีเซียได้นำเครื่องบินฝึกไอพ่นและโจมตีเบา T-50i จากฝูงบินที่15(15th Air Squadron, Skadron Udara 15) ฐานทัพอากาศ Iswahyudi มาวางกำลังฝึกที่ไทยกับเครื่องบินขับไล่และฝึก บ.ขฝ.๒ T-50TH ฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ ตาคลี และเครื่องขับไล่ บ.ข.๑๙/ก F-16A/B ฝูงบิน๑๐๓ กองบิน๑ โคราช
ระหว่างวันที่ ๒๙ มิถุนายน-๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๘ นี้ กองทัพอากาศไทยยังจะเป็นเจ้าภาพในการฝึกผสมทางอากาศ AIR THAMAL 33/2025 กับกองทัพอากาศมาเลเซีย(RMAF: Royal Malaysian Air Force, TUDM: Tentera Udara Diraja Malaysia) ซึ่งได้ส่งเครื่องบินขับไล่ Su-30MKM และเครื่องบินขับไล่ F/A-18D Hornet มาวางกำลังฝึกในไทยที่กองบิน๑ หลังไม่ได้นำอากาศยานเข้าร่วมการฝึกมาหลายปีเช่นกันครับ
(โดยที่พื้นที่การฝึกส่วนใหญ่อยู่ในห้วงอากาศทางภาคอีสานของไทย แต่การฝึกผสมทางอากาศกับมิตรประเทศเหล่านี้เป็นการฝึกที่มีมานานและได้ถูกวางแผนมาล่วงหน้านานแล้ว จึงไม่มีการเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัญหาข้อพิพาททางชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนโต๊ด จังหวัดสุรินทร์ ที่มีขึ้นในห้วงเดือนมิถุนายน ๒๕๖๘ แต่อย่างใด)
Royal Thai Navy (RTN) Naval Research and Development Office (NRDO) new domestic MARCUS-KK (Kamikaze/Kill) loitering munition/aerial target conducted communication relaying in Humanitarian Assistance and Disaster Relief (HADR) training as part of RTN annual exercise Fiscal Year 2025 at Khanom District, Nakhon Si Thammarat Province on 5 June 2025.
สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ (สวพ.ทร.)
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568
พลเรือตรี ชัย เกตุวัฒนกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ (ผอ.สวพ.ทร.) พร้อมด้วย นาวาเอก วีรมนต์ นิลแก้ง รอง ผอ.สวพ.ทร.(2) ตรวจความพร้อม
การนำอากาศยานไร้คนขับ “Marcus KK” เข้าร่วมปฏิบัติการในบทบาทสำคัญด้านการสื่อสารและการรายงานภาพสถานการณ์แบบเรียลไทม์สาธิตการต่อระยะการติดต่อสื่อสารโดยใช้ UAV ในการฝึกการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance and Disaster Relief - HADR) ที่อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราชกองทัพเรือ ประจำปี 2568
สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ (สวพ.ทร.)
Drone Marcus KK ของกองทัพเรือ กับบทบาทในการบินเชื่อมสัญญาณภาพภารกิจในการฝึก HADR ขนอม นครศรีธรรมราช
ในการฝึกการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance and Disaster Relief - HADR) ที่อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช กองทัพเรือไทยได้นำ อากาศยานไร้คนขับ “Marcus KK” เข้าร่วมปฏิบัติการในบทบาทสำคัญด้านการสื่อสารและการรายงานภาพสถานการณ์แบบเรียลไทม์
บทบาทของ Drone Marcus KK ในการฝึก HADR:
1. เชื่อมสัญญาณภาพจากพื้นที่ประสบภัย
Marcus KK ถูกใช้เป็น “แพลตฟอร์มบินถ่ายทอดสัญญาณภาพ” จากพื้นที่จำลองสถานการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือดินถล่ม ไปยังศูนย์บัญชาการภาคสนามและศูนย์ควบคุมส่วนกลาง ด้วยระบบกล้องความละเอียดสูงและระบบส่งสัญญาณที่มีประสิทธิภาพ
2. สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บัญชาการภาคสนาม
ภาพจาก Marcus KK ช่วยให้ผู้บังคับบัญชามีข้อมูลสถานการณ์ล่าสุด ทำให้สามารถวางแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น เช่น การกำหนดจุดปล่อยทีมกู้ภัย จุดลำเลียงผู้ประสบภัย หรือพื้นที่เสี่ยงซ้ำซ้อน
3. การบินในพื้นที่เข้าถึงยาก
Marcus KK มีขนาดกะทัดรัด บินได้ในพื้นที่จำกัด เช่น ป่าเขา หรือเมืองที่ถูกตัดขาดจากถนน จึงสามารถเข้าไปสำรวจและส่งข้อมูลกลับได้โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเจ้าหน้าที่
4. สาธิตเทคโนโลยีความร่วมมือระหว่างพลเรือนกับทหาร
การนำ Marcus KK มาใช้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยีของกองทัพเรือ และความร่วมมือกับภาคเอกชนหรือหน่วยงานพลเรือน ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม UAV สำหรับภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
Drone Marcus KK ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็นกำลังสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของกองทัพเรือในภารกิจช่วยเหลือประชาชนในภาวะวิกฤต การฝึก HADR ที่ขนอมในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการเทคโนโลยีกับภารกิจเพื่อมนุษยธรรมอย่างแท้จริง
สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือ สวพ.ทร.(NRDO: Naval Research and Development Office) ได้ทดสอบขีดความสามารถของเป้าอากาศ/อากาศยานไร้คนขับพลีชีพ MARCUS-KK (Kamikaze/Kill) แบบใหม่ในตระกูลอากาศยานไร้คนขับ MARCUS ของตนเพิ่มเติม โดยการใช้ในการติดต่อสื่อสารและและการรายงานภาพสถานการณ์แบบเวลาจริง(Real Time)
ระหว่างการฝึกการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัย(HADR: Humanitarian Assistance and Disaster Relief) ที่อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ หลังจากที่ได้ใช้ในการทดสอบเป็นเป้าบินไปก่อนหน้านี้(https://aagth1.blogspot.com/2025/06/blog-post.html)
ณ สนามฝึกยิงอาวุธ เขาลำปี-ท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา พื้นที่ทัพเรือภาคที่๓ ทร.๓(3rd NAC: Third Naval Area Command) เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป้าอากาศ/อากาศยานไร้คนขับพลีชีพ MARCUS-KK นี้มีความอเนกประสงค์สามารถใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์ อีกทั้งยังเป็นผลงานที่พัฒนาและผลิตในไทยด้วยครับ
The Hangor-class submarine for Pakistan Navy on sea trials at China in June 2025. (Weibo)
ความคืบหน้าเกี่ยวกับการส่งออกเรือดำน้ำของจีนในห้วงเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ มีที่น่าสนใจสองเรื่องคือ จีนได้เสนอเรือดำน้ำโจมตีดีเซล-ไฟฟ้าตามแบบชั้น Type 039A จำนวน ๓ลำที่เคยประจำการในกองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนให้แก่กองทัพเรืออินโดนีเซีย(https://aagth1.blogspot.com/2025/06/type-039a-3.html) ที่ได้รับการเปิดเผยระหว่างงาน Indo Defece 2025 วันที่ ๑๑-๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๘
ตามความต้องการโครงการเรือดำน้ำชั้นความพร้อมคั่นระยะ(IRSC: Interim Readiness Submarine Class) ในการอุดช่องว่างขีดความสามารถสงครามใต้น้ำชั่วคราวด้วยเรือดำน้ำมือสอง ซึ่งเป็นความต้องการขั้นต่ำในการทดแทนเรือดำน้ำชั้น Cakra(Type 209/1300) เยอรมนีที่เข้าประจำการในปี 1981 โดยสูญเสียลำที่สอง KRI Nanggala(402) ไปในปี 2021 เหลือประจำการอยู่ ๑ลำคือเรือดำน้ำ KRI Cakra(401) ลำแรก
ก่อหน้านี้ในปี พ.ศ.๒๕๖๗ จีนได้เจรจากับอินโดนีเซียถึงสองครั้งที่จะเสนอเรือดำน้ำ S26T แบบเดียวกับที่สร้างให้กองทัพเรือไทยพร้อมกับเรือพิฆาตชั้น Type 052D รุ่นส่งออก(https://aagth1.blogspot.com/2024/07/s26t-type-052d.html, https://aagth1.blogspot.com/2024/07/s26t.html) นี่ยังรวมถึงการเสนออาวุธอื่นเช่นเครื่องบินขับไล่ J-10CE เช่นเดียวกับปากีสถานแก่อินโดนีเซียในงาน Indo Defence 2025 ด้วย
ต่อมาในช่วงวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ สื่อสังคม online จีนได้เผยแพร่ชุดภาพการทดลองเรือในทะเลของเรือดำน้ำชั้น Hangor สำหรับกองทัพเรือปากีสถาน ซึ่งไม่มีได้มีการให้รายละเอียดว่าเป็นเรือลำแรก เรือดำน้ำ PNS Hangor ที่ถูกปล่อยลงน้ำในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๖๗(https://aagth1.blogspot.com/2024/04/hangor.html) ซึ่งคาดว่าจะมีกำหนดส่งมอบภายในปี พ.ศ.๒๕๖๘ นี้
หรือลำที่สองเรือดำน้ำ PNS Shushuk ที่ถูกปล่อยลงน้ำในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๖๘(https://aagth1.blogspot.com/2025/03/hangor-pns-shushuk.html) ภายใต้ข้อตกลงการจัดหาเรือดำน้ำชั้น Hangor ทั้งหมด ๘ลำที่จะส่งมอบครบภายในปี 2028-2030 เรือดำน้ำ ๔ลำแรกได้ถูกสร้างที่อู่เรือ Wuchang ใน Shuangliu นคร Wuhan สาธารณรัฐประชาชนจีน
ขณะที่เรือดำน้ำ ๔ลำหลังกำลังถูกสร้างที่อู่เรือ Karachi ในปากีสถาน(https://aagth1.blogspot.com/2024/02/hangor.html) โดยปากีสถานได้ยอมรับการติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า CHD620 จีนแทนเครื่องยนต์ดีเซลกำเนิดพลังงานไฟฟ้า MTU 396 เยอรมนีที่ปฏิเสธการส่งออกให้จีนและปิดสายผลิตไปแล้ว ทำให้เรือดำน้ำสร้างตัวเรือเสร็จถูกปล่อยลงน้ำได้และนำมาสู่การทดลองเรือในทะเลได้ตามมา
ซึ่งก็เป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่าขณะที่กองทัพเรือไทยก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ.๒๕๖๖(2023) ได้ร้องขอการชดเชยความล่าช้าในโครงการเรือดำน้ำ S26T จากจีนด้วยการขอเรือดำน้่ำชั้น Type 039A มือสองจากจีนมาใช้ แต่จีนดูเหมือนจะปฏิเสธว่ากองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีนยังไม่มีเรือดำน้ำชั้น Type 039A ที่ปลดประจำการพร้อมมอบให้ไทย(https://aagth1.blogspot.com/2024/08/2024-s26t.html)
ถ้าจะให้ก็จะเป็นรุ่นเก่ากว่าอย่างเรือดำน้ำชั้น Type 035 Ming ที่ให้บังคลาเทศและพม่า(https://aagth1.blogspot.com/2022/07/sea-shield-2022.html, https://aagth1.blogspot.com/2021/12/type-035-ums-minye-kyaw-htin.html) หรือเรือดำน้ำชั้น Type 039 Song เป็นอย่างมาก แต่ข่าวล่าสุดนี้กลับเป็นว่าจีนมีเรือดำน้ำชั้น Type 039A Yuan มือสองถึง ๓ ลำที่พร้อเสนอให้อินโดนีเซียไป
เรื่องการเจรจานี่ก็ตั้งแต่ปี ๒๕๖๖ แล้วที่ China Shipbuilding & Offshore International Company Ltd(CSOC)หน่วยงานด้านการส่งออกของ China State Shipbuilding Corporation(CSSC) กลุ่มรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมต่อเรือจีนปฏิเสธที่จะตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับปัญหาโครงการเรือดำน้ำ S26T ของไทย โดยกล่าวว่านี่เป็นเรื่องที่ต้องคุยในระดับรัฐบาล
Poly Technologies Inc นั้นถูกระบุว่าเป็นรัฐวิสาหกิจทำหน้าที่เป็นตัวแทนดำเนินการนำเข้าและส่งออกยุทโธปกรณ์ต่างๆในจีน ซึ่งในกรณีนี้คือการนำยุทโธปกรณ์ที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนปลดประจำการแล้วมาขายต่อต่างประเทศ ทำให้มองได้ว่าถ้าไทยสนใจเรือดำน้ำ Type 039A มือสองเช่นที่เสนอให้อินโดนีเซีย ก็ต้องทำสัญญาใหม่กับอีกตัวแทนส่งออกที่แยกออกไปจากสัญญาเรือดำน้ำ S26T เดิมกับ CSOC จีน
กองทัพเรือไทยได้ยอมรับการเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ CHD620 จีนแทนเครื่องยนต์ MTU 396 เยอรมนีสำหรับเรือดำน้ำ S26T ของตนที่สร้างไปเสร็จมากกว่าร้อละ๘๘ ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗ ไปเป็นปีแล้ว แต่การแก้ไขสัญญาแบบรัฐต่อรัฐในโครงการเรือดำน้ำ S26T เป็นประเด็นที่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของฝ่ายบริหารของไทยในระดับรัฐบาลและรัฐสภา ซึ่งถ้าไม่ติดการไม่ยอมตัดสินใจสักทีตรงนี้
เรือดำน้ำ S26T ของไทยก็ควรจะสร้างตัวเรือเสร็จปล่อยลงน้ำได้แบบเรือดำน้ำชั้น Hangor ของปากีสถานที่ลำแรกจะส่งมอบในปี 2025 นี้แล้ว แต่จนถึงสิ้่นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๘ นี้กระทรวงกลาโหมไทยก็ไม่ได้ทำการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับปัญหาเรือดำน้ำ S26T ตามที่เคยมีรายงานก่อนหน้า ซึ่งปัญหาทางการเมืองและการปรับคณะรัฐมนตรีที่จะมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ทำให้เรื่องยังคงถูกเลื่อนออกไปอีกเช่นที่ผ่านมาครับ
Admiral Jirapol Wongwit, the Commander-in-Chief of the Royal Thai Navy (RTN) was an official visited to the Kingdom of Spain as a guest of the Spanish Navy from 17 to 24 June 2025. Royal Thai Navy commander also visited Ferrol Naval Base and Navantia shipyard, and Escribano Mechanical and Engineering (EM&E) in Madrid. (Royal Thai Navy)
ผู้บัญชาการทหารเรือ เยือนราชอาณาจักรสเปนอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกองทัพเรือสเปน
วันที่ 17 - 24 มิถุนายน 2568 พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะ เดินทางไปเยือนราชอาณาจักรสเปนอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกองทัพเรือสเปน
โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ดังนี้
1. การเยี่ยมคำนับ หารือ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ ผบ.ทร.สเปน และคณะ ณ กองบัญชาการกองทัพเรือสเปน
2. การเยี่ยมคำนับเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงมาดริด
3. การเยือนฐานทัพเรือ Ferrol และเยี่ยมชมเรือฟริเกต F102 ซึ่งเป็นเรือฟริเกตชั้น Álvaro de Bazán (ชั้น F100) ที่ต่อโดยอู่ต่อเรือของบริษัท Navantia ของสเปน รวมทั้งได้พบปะนักเรียนนายเรือไทยที่กำลังศึกษาอยู่ ณ โรงเรียนนายเรือสเปน
4. การเยี่ยมชมบริษัท Navantia SEPI ณ เมือง Madrid รับฟังโครงการต่อเรือฟริเกตชั้น Bonifaz (ชั้น F110) ซึ่งเป็นเรือฟริเกตชุดใหม่ที่กำลังต่อให้กับกองทัพเรือสเปน และเยี่ยมชมอู่ต่อเรือ Navantia ณ เมือง Ferrol ซึ่งเป็นอู่ที่ต่อเรือรบประเภทต่าง ๆ ให้กับกองทัพเรือสเปน โดยเฉพาะเรือฟริเกต รวมทั้งเป็นอู่ที่ต่อเรือหลวงจักรีนฤเบศร ให้กับกองทัพเรือ
5. การเยี่ยมชมบริษัท Escribano ณ เมือง Madrid ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายปืนกล 30 มม.Sentinel 30 ที่กองทัพเรือได้ทำสัญญาเพื่อติดตั้งให้กับ เรือ ต.997 เรือ ต.998 และ ร.ล.ช้าง
การเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรสเปนในครั้งนี้ เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือทั้งสองประเทศ และทำให้ได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากกองทัพเรือสเปน รวมทั้งเทคโนโลยีด้านการทหาร ระบบอาวุธ และการต่อเรือ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนากองทัพเรือต่อไป
การเดินทางเยือนสเปนอย่างเป็นทางการของพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือและคณะระหว่างวันที่ ๑๗-๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ ได้ร่วมถึงการเยี่ยมชมกองทัพเรือสเปน(Spanish Navy, Armada) ทั้งกองบัญชาการกองทัพเรือสเปน, ฐานทัพเรือ Ferrol โดยได้เยี่ยมชมเรือฟริเกตชั้น Álvaro de Bazán(F100) เรือฟริเกต F102 Almirante Juan de Borbón
การเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของบริษัท Navantia สเปนในกรุง Madrid และอู่เรือของบริษัทที่เมือง Ferrol โดยได้รับฟังการบรรยายโครงการเรือฟริเกตชั้น Bonifaz(F110) ที่กำลังต่อเรืออยู่ และเยี่ยมชมบริษัท EM&E Group สเปน ที่ได้รับสัญญาจัดส่งแท่นยิงปืนกล SENTINEL 30 สำหรับเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.997 ทั้งสองลำ เรือ ต.997 และเรือ ต.998(https://aagth1.blogspot.com/2025/02/em-sentinel-30-997.html)
ทำให้มองได้ว่านอกจากโครงการเพิ่มขีดความสามารถระบบการรบสำหรับเรือยกพลขึ้นบกอู่ลอย เรือหลวงช้าง(ลำที่๓)(https://aagth1.blogspot.com/2025/04/navantia-type-071et-lpd.html, https://aagth1.blogspot.com/2025/02/navantia-type-071et-lpd.html) บริษัท Navantia สเปนยังน่าจะสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงใหม่กองทัพเรือไทยด้วย
บริษัทต่างๆที่แสดงความสนใจแล้วรวมถึง บริษัท Hanwha Ocean สาธารณรัฐเกาหลีที่เสนอแบบเรือฟริเกต Frigate 4000 ที่ปรับปรุงจากเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช(https://aagth1.blogspot.com/2025/05/hanwha-ocean-frigate-4000.html), บริษัท tkMS เยอรมนีร่วมกับบริษัท Marsun ไทยที่เสนอแบบเรือฟริเกต MEKO A-100(https://aagth1.blogspot.com/2023/11/defense-security-2023-marsun-tkms-meko.html),
บริษัท Babcock International สหราชอาณาจักรที่เสนอแบบเรือฟริเกต Arrowhead 140 และบริษัท Damen เนเธอร์แลนด์ที่เสนอแบบเรือฟริเกต SIGMA ซึ่งต่างมองหาหุ้นส่วนในไทย(https://aagth1.blogspot.com/2023/11/defense-security-2023-babcock-damen.html) และ ASFAT ตุรกีร่วมกับบริษัท United Defense Technology ไทยที่เสนอเรือฟริเกตชั้น Istanbul และเรือคอร์เวตชั้น ADA โครงการ MILGEM เป็นต้น(https://aagth1.blogspot.com/2025/03/blog-post.html)
คาดว่าการสรุปข้อกำหนดคุณลักษณะของเรือฟริเกตใหม่จะเสร็จสิ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๘ แต่ตามการชี้แจ้งคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณประจำปี พ.ศ.๒๕๖๙ งบประมาณกลาโหมในส่วนกองทัพเรือวงเงินราว ๔๓,๔๙๑,๐๐๐,๐๐๐บาท($1,337,094,69) ได้จัดสรรวงเงินที่ราว ๑,๗๕๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($53,796,496) สำหรับเรือฟริเกตใหม่ระยะที่๑ เพียง ๑ลำขณะที่กองทัพเรือไทยต้องการ ๒ลำที่จะสร้างในไทยครับ
Royal Thai Navy (RTN) and Indian Navy concluded 39th INDO-THAI CORPAT 2025 at Andaman sea from 9 to 15 June 2025, included RTN Krabi-class offshore patrol vessels (OPV), OPV-551 HTMS Krabi and Donier and Do 228 with Indian Navy P54 INS Saryu offshore patrol vessel and INS L54 landing craft utility (LCU). (Royal Thai Navy)
พิธีส่งหน่วยเรือเข้าร่วมการลาดตระเวนร่วม กองทัพเรือไทย - กองทัพเรืออินเดีย (INDO - THAI CORPAT 2025) ครั้งที่ 39
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 พลเรือโท สุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 เป็นประธานในพิธีส่งหน่วยเรือเข้าร่วมการลาดตระเวนร่วม กองทัพเรือไทย - กองทัพเรืออินเดีย (INDO - THAI CORPAT 2025) ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 9-15 มิถุนายน 2568 โดยมี นาวาเอก สถาพร วาจรัตน์ รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 3 เป็นผู้บังคับหมู่เรือหน่วยเรือฝึกผสมและลาดตระเวนร่วม ทัพเรือภาคที่ 3
โดยจัด เรือหลวงกระบี่ และ เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเล แบบที่ 1 Donier (Do-228) จำนวน 1 เครื่อง เข้าร่วมการลาดตระเวนร่วมกองทัพเรือไทย - กองทัพเรืออินเดีย
ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ “กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ” และ “เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา”
“Welcome to Thailand “
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 พลเรือโท สุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 มอบหมายให้ พลเรือตรี ภุชงค์ รอดนิกร รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ให้การต้อนรับหมู่เรือเรือลาดตระเวนร่วม กองทัพเรือไทย - กองทัพเรืออินเดีย (INDO - THAI CORPAT 2025) ครั้งที่ 39 จำนวน 2 ลำ ประกอบด้วย INS SARYU และ LCU(L54) ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรืออินเดีย ระหว่างวันที่ 12 – 15 มิถุนายน 2568 โดยจอดเรือ ณ ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย
1. การเยี่ยมคำนับผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3
2. การประชุมสรุปผลการลาดตระเวนร่วม กองทัพเรือไทย – กองทัพเรืออินเดีย
3. งานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำอย่างเป็นทางการของทัพเรือภาคที่ 3
4. การแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทัพเรือภาคที่ 3 และหมู่เรือลาดตระเวนร่วมฯ
5. งานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำอย่างเป็นทางการบนเรือ INS SARYU
“Bon voyage” เดินทางโดยสวัสดิภาพ
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 พลเรือโท สุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 มอบหมายให้ พลเรือตรี ภุชงค์ รอดนิกร รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 พร้อมด้วยฝ่ายอำนวยการและกำลังพลทัพเรือภาคที่ 3 ร่วมส่งเรือกองทัพเรืออินเดีย เดินทางออกจากประเทศไทย
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการฝึกของหมู่เรือลาดตระเวนร่วม กองทัพเรือไทย - กองทัพเรืออินเดีย (INDO - THAI CORPAT 2025) ครั้งที่ 39 ห้วงวันที่ 12 – 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
Royal Thai Navy (RTN) and Royal Malaysian Navy (RMN) concluded the exercise SEAEX THAMAL 71/2025 at RTN Third Naval Area Command (3rd NAC) in Phuket, Thailand on 15-18 June 2025,
participated with RMN F136 KD Laksamana Muhammad Amin, the Laksamana-class corvette; KD Mahamiru (11) minesweeper; Malaysian Maritime Enforcement Agency (MMEA) KM Tanggol and Marine Police Force, Royal Malaysia Police (MPF, RMP) PA 50 patrol craft. (Royal Thai Navy)
“Welcome to Thailand “
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 พลเรือโท สุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 มอบหมายให้ พลเรือตรี ภุชงค์ รอดนิกร รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ให้การต้อนรับหมู่เรือฝึกผสม SEAEX THAMAL ครั้งที่ 71/2025 ด้านสตูล - เปอร์ลิส
ประกอบด้วยเรือกองทัพเรือมาเลเซีย จำนวน 2 ลำ ประกอบด้วย เรือ KD MAHAMIRU และ เรือ KD LAKSAMANA MUHAMMAD AMIN เรือจากหน่วย Malaysian Maritime Enforcement Agency (MMEA) จำนวน 1 ลำ คือ เรือ KM TANGGOL และเรือตำรวจน้ำมาเลเซีย จำนวน 1 ลำ คือ เรือ PA 50 โดยจอดเรือ ณ หลักเทียบเรือ ทัพเรือภาคที่ 3 อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
ทั้งนี้วัตถุประสงค์การฝึกผสม SEAEX THAMAL ครั้งที่ 71/2025 ระหว่างวันที่ 15 - 18 มิถุนายน 2568 เป็นการสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ความมั่นคงทางทะเล ระหว่าง ประเทศไทย และ ประเทศมาเลเซีย ฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการปฏิบัติงานร่วมกันและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างหน่วยงานทั้งสองประเทศ
ก่อให้เกิดการประสานการปฏิบัติในระดับพื้นที่ อันจะทำให้การรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของทั้ง 2 ประเทศมีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“พิธีเปิดการฝึกผสม SEAEX THAMAL ครั้งที่ 71/2025”
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 พลเรือโท สุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และ FAdm Ahmad Shafirudin bin Abu Bakar , COMMANDER NAVAL AREA3 (MJC) ผู้บัญชาการภาคทหารเรือที่ 3 (เกาะลังกาวี) เป็นประธานร่วมฝ่ายมาเลเซีย ในพิธีเปิดการฝึกผสม SEAEX THAMAL ครั้งที่ 71/2025 ด้านสตูล – เปอร์ลิส โดยมีกำลังพลประจำเรือทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายมาเลเซีย ที่เข้าร่วมฝึกเข้าร่วมในพิธีเปิดการฝึกฯ ดังกล่าว ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
"Selamat jalan" "ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ"
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 พลเรือโท สุวัจ ดอนสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 มอบหมายให้ นาวาเอก ณรงค์ อรภักดี ผู้อำนวยการกองข่าว กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 พร้อมด้วยกำลังพลทัพเรือภาคที่ 3 ร่วมส่งเรือกองทัพเรือมาเลเซีย เดินทางออกจากประเทศไทย หลังเสร็จสิ้นฝึกผสม SEAEX THAMAL ครั้งที่ 71/2025 ณ ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
ซึ่งการฝึกผสม SEAEX THAMAL ครั้งที่ 71/2025 เป็นการสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ความมั่นคงทางทะเล ระหว่าง ประเทศไทย และ ประเทศมาเลเซีย ฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการปฏิบัติงานร่วมกันและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานทั้งสองประเทศ
กองทัพเรือไทยยังคงมีการฝึกร่วมกับมิตรประเทศอย่างต่อเนื่องในห้วงเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ รวมถึง การลาดตระเวนร่วมกองทัพเรือไทย-กองทัพเรืออินเดีย ครั้งที่๓๙ INDO-THAI CORPAT 2025 ระหว่างวันที่ ๙-๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ทัพเรือภาคที่๓ ทรภ.๓ ส่งเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง เรือหลวงกระบี่ และเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลแบบที่๑ บ.ลว.๑ Dornier Do 228 ไปฝึกที่ Sri Vijaya Puram(Port Blair) อินเดีย
และต่อมากองทัพเรืออินเดียได้ส่งเรือตรวจการไกลฝั่งชั้น Saryu เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง P54 INS Saryu และเรือระบายพลขนาดใหญ่ L54 LCU เดินทางเยือนท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ไทยระหว่างวันที่ ๑๒-๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ ต่อเนื่องตามมาด้วยการฝึกผสม SEAEX THAMAL 71/2025 ครั้งที่๗๑ ระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือมาเลเซียระหว่างวันที่ ๑๕-๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘
โดยกองทัพเรือมาเลเซียได้ส่งเรือคอร์เวตชั้น Laksamana เรือคอร์เวต F136 KD Laksamana Muhammad Amin ซึ่งเป็นหนึ่งในสองลำที่ยังประจำการอยู่จากเดิม ๔ลำตามที่เพิ่งจะมีการปลดประจำการเรือคอร์เวต F135 KD Laksamana Tun Abdul Jamil และเรือคอร์เวต F137 KD Laksamana Tan Pusmah ไปเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๘ กับเรือล่าทำลายทุ่นระเบิด KD Mahamiru และเรือ KM Tanggol ของหน่วยงานยามฝั่งมาเลเซีย MMEA และเรือ PA50 ตำรวจน้ำมาเลเซียครับ
Signing ceremony of procurement contract between Chaiseri metal & rubber Co. Ltd. and Royal Thai Armed Forces (RTARF) for four First Win 4x4 Armoured Personnel Carrier (APC) and one First Win 4x4 Ambulance for United Nations Mission in South Sudan (UNMISS) peacekeeping mission at South Sudan on 6 June 2025. (Sompong Nondhasa)
พิธีลงนามในสัญญาซื้อขายรถเกราะล้อยาง 4x4 FIRST WIN ของบริษัทชัยเสรีฯ กับกองทัพไทย จำนวน 5 คัน (รถลำเลียงพล 4 คัน รถพยาบาล 1 คัน) เพื่อใช้ในภารกิจสนับสนุนสันติภาพที่ประเทศซูดานใต้ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568...
กองทัพไทยได้สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างต่อเนื่องตามที่ล่าสุดได้ลงนามสัญญาจัดหารถเกราะล้อยางตระกูล First Win 4x4 จำนวน ๕คัน(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/chaiseri-hisaar-4x4.html) ประกอบด้วยรุ่นรถลำเลียงพล (APC: Armoured Personnel Carrier) จำนวน ๔คันและรุ่นรถพยาบาล จำนวน ๑คันกับบริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด(Chaiseri metal & rubber Co. Ltd.) ไทย เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘
สำหรับใช้งานใน กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ(Thai HMEC: Thai Horizontal Military Engineering Company) ภารกิจสหประชาชาติรักษาสันติภาพในเซาท์ซูดาน(UNMISS: United Nations Mission in South Sudan) ซึ่งจะเป็นการทดแทนรถเกราะล้อยาง Cadillac Gage V-150 Commando 4x4 ที่ ร้อย.ช.ฉก.ไทย/เซาท์ซูดาน ใช้มาในห้าผลัดก่อนหน้า(https://aagth1.blogspot.com/2022/09/v-150-4x4.html)
เป็นที่เข้าใจว่ารถเกราะล้อยาง First Win 4x4 ที่กองทัพไทยสั่งจัดหาจากบริษัท Chaiseri ไทยล่าสุดจะมีรูปแบบเดียวกับที่ภูฏานสั่งจัดหาสำหรับภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง(United Nations Mission in the Central African Republic, MINUSCA Peacekeeping)(https://aagth1.blogspot.com/2024/05/first-win-4x4-atv-mi-47-mi-9.html) ครับ
Thailand domestic Chaiseri AWAV 8x8 of Royal Thai Marine Corps (RTMC) and First Win AFV (Armoured Fighting Vehicle) 4x4 of Border Patrol Police (BPP) Royal Thai Police (RTP) with Indonesian company PT Industri Ketahanan Nasional (IKN) on displayed at Indo Defence 2025. (defense-studies.blogspot.com)
บริษัท Chaiseri ไทยยังได้นำผลิตภัณฑ์ต่างๆของตนไปจัดแสดง ณ นิทรรศการและการประชุมการป้องกันประเทศ Indo Defence Expo and Forum 2025 หรือ Indo Defence 2025 ซึ่งจัดขึ้นทุกสองปี ที่ศูนย์จัดแสดง Jakarta International Expo ในนครหลวง Jakarta ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ผ่านมาโดยมีความร่วมมือกับบริษัท PT Industri Ketahanan Nasional(IKN) อินโดนีเซีย
ตามรถหุ้มเกราะล้อยาง Hanoman 4x4 ตระกูล First Win 4x4 ที่หน่วยรบพิเศษกองทัพอินโดนีเซียได้นำเข้าประจำการไปก่อนหน้า ล่าสุด Chaiseri ไทยได้นำเสนอรถหุ้มเกราะล้อยางแบบต่างๆของตนแก่กองทัพอินโดนีเซียรวมถึง รถหุ้มเกราะล้อยางลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบก AWAV 8x8 หนึ่งใน ๗คันที่เข้าประจำการในนาวิกโยธินไทยแล้วแก่นาวิกโยธินอินโดนีเซีย(Indonesian Marine Corps, KORMAR: Korps Marinir)
และรถเกราะล้อยางใช้ต่อสู้ทางยุทธวิธี First Win AFV 4x4 ที่ชุดแรกจาก ๔๖คันถูกนำเข้าประจำการในตํารวจตระเวนชายแดน ตชด.(BPP: Border Patrol Police) สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย ที่ชายแดนภาคใต้ของไทยไปแล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2022/05/first-win-afv-4x4.html) แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถการส่งออกของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยแก่ต่างประเทศเป็นอย่างดีครับ
1st Special Forces Regiment, 1st Special Forces Division, and 31st Infantry Regiment King's Guard, 1st Division King's Guard, Royal Thai Army (RTA); and 1st Special Forces Group (Airborne)-ODA 9115 (Operational Detachment Alpha 9115), US Army concluded the exercise Balance Torch 25–3 in Thailand from 6 to 26 June 2025. (SMART Soldiers Strong Army)
หลังจากห่างหายจากข่าวคราวการฝึกภายใน ทบ. ไปพอสมควร โพสต์นี้แอดมินขอมาอัพเดทอีกหนึ่งการฝึกที่สำคัญระหว่างหน่วยรบพิเศษ ทบ.ไทย และ ทบ.สหรัฐฯ ในรหัสการฝึก Balance Torch ที่กำลังทำการฝึกกันอยู่ในตอนนี้ให้ทราบกันซักหน่อยครับ
ก่อนจะเข้าเรื่อง จะขอแทรกความเป็นมาของการฝึกรหัสนี้ให้ทราบพอสังเขปกันก่อน โดยการฝึกผสม ระหว่าง ทบ.ไทย - ทบ.สหรัฐฯ รหัส Balance นี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2534 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ เทคนิคทางยุทธวิธี การวางแผน การปฏิบัติการร่วม และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปฏิบัติการพิเศษ และเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วม
และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วย รพศ.ไทย และ รพศ.สหรัฐฯ โดย ทบ.สหรัฐฯ ได้ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษ (1st Special Forces Group) มาทำการฝึกในลักษณะหมุนเวียนกรม ภายในหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และหน่วยของกองทัพภาคของ ทบ.ไทย เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างทักษะในการปฏิบัติทางยุทธวิธีด้านการปฏิบัติการพิเศษให้กับกำลังพลของไทย
โดยทำการฝึกในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การฝึกการแสวงข้อตกลงใจทางทหาร หลักสิทธิมนุษยชน การดูแลผู้บาดเจ็บในสนามรบ การรบในพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง การดำรงชีพในป่า การแทรกซึมทางบก การซุ่มโจมตีเป้าหมายเวลากลางคืน การกระโดดร่มมิตรภาพ และการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง โดยดำเนินการฝึกต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
และในปี 68 นี้ การฝึกยังคงดำเนินต่อเนื่องภายใต้ชื่อรหัส Balance Torch 25–3 มีกำหนดการฝึกในห้วง 6 -27 มิ.ย. 68 ณ พื้นที่ฝึก จ.ลพบุรี มีการดำเนินการ และการฝึกที่สำคัญ ได้แก่
- กองทัพบก : จัดกำลังเข้ารับการฝึกจำนวน 138 นาย จาก ร.31 รอ. และ รพศ.1
- กองทัพบกสหรัฐฯ : จัดกำลังจำนวน 12 นาย จาก ชป.รพศ. 1st Special Forces Group (Airborne) - ODA 9115 (Operational Detachment Alpha 9115)
เรื่องที่ทำการฝึกในปีนี้ ได้แก่
การปฐมพยาบาล การยิงปืนทางยุทธวิธี การปฏิบัติของพลซุ่มยิง การปฏิบัติของหน่วยทหารขนาดเล็ก ระเบียบการนำหน่วย การแสวงข้อตกลงใจทางทหาร หลักมนุษยธรรม กฎการใช้กำลัง การดำรงชีพในป่า การทัศนศึกษาสภาพสังคมและวัฒนธรรม การวางแผนงานการปฏิบัติทางยุทธวิธี การฝึกภาคสนาม การกระโดดร่มมิตรภาพ
โดยหน่วยรบพิเศษกองทัพบกไทย พร้อมนำประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกนี้ มาพัฒนาขีดความสามารถและประสิทธิภาพของชุดปฏิบัติการพิเศษ เพื่อตอบสนองต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อนำไปสู่การปกป้องเอกราชอธิปไตยของประเทศชาติอย่างเต็มขีดความสามารถ
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากกองการฝึกร่วม/ผสม สำนักการฝึก กรมยุทธการทหารบกมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
เรียบง่ายสไลต์รบพิเศษ กับภาพพิธีปิดการฝึกผสมระหว่าง ทบ.ไทยและ ทบ.สหรัฐ ในรหัส Balance touch 25-3 โดยมี พ.ท.ขจรพล ปุณยจรัสพงศ์ ผบ.ร.31 พัน.2 รอ. ผู้แทน ผบ.ร.31 รอ. เป็นประธานในพิธีปิด
แม้การฝึกจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มิตรภาพที่เกิดขึ้นจะยั่งยืนต่อไปตราบเท่านาน และเส้นทางการฝึกของพวกเราจะมาบรรจบกันอีกครั้งในโอกาสต่อไป
Field Training Exercise (FTX) Joint Airborne operations Royal Thai Armed Forces (RTARF) and Royal Thai Police (RTP) on 20-22 June 2025. (SMART Soldiers Strong Army)
" ยิ่งฝึกมาก ยิ่งชำนาญมาก "
ฝึกการยุทธ์ส่งทางอากาศร่วมเหล่าทัพ ประจำปี 2568 (กฝร.ทท 68) ในห้วงการฝึกภาคสนาม (FTX) ระหว่างวันที่ 20-22 มิ.ย.68 มีการฝึกการยุทธ์ส่งทางอากาศ, การยุทธ์เคลื่อนที่ทางอากาศ, การแทรกซึมเบื้องสูง และการดำเนินกลยุทธ์ต่อที่หมาย เพื่อเพิ่มความชำนาญในการปฏิบัติภารกิจและแลกเป็นความรู้ในการปฏิบัติระหว่างเหล่าทัพ เพื่อพัฒนาการปฏิบัติภารกิจร่วมให้ดียิ่งขึ้นไป
Bell 412EP helicopter of Royal Thai Armed Forces (RTARF) fast rope Counter Terrorist Operations Center (CTOC) operator during Crisis Management Exercise 2025 (C-MEX 2025) on 27 June 2025. (Sompong Nondhasa)
ภาพการฝึกช่วยเหลือตัวประกันของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากลหรือ Counter Terrorist Operations Center (CTOC) ด้วยการโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ โดยเร่งด่วน แบบ Fast Rope ในการฝึกทดสอบแผนเผชิญเหตุ การตอบโต้ภัยคุกคามในพื้นที่ส่วนหลัง(ในเมือง) ภายใต้กรอบการฝึกบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ (C-MEX 25) ในวันนี้ …Photo Sompong Nondhasa
นอกจากการฝึกผสม Flash Thunder 2025 ระหว่างกองพันจู่โจมรักษาพระองค์ พัน.จจ.รอ กรมรบพิเศษที่๓ รักษาพระองค์ รพศ.๓ กองพลรบพิเศษที่๑ พล.รพศ.๑ กองทัพบกไทย และกองพันคอมมานโดที่๑(1 CDO BN: 1st Commando Battalion) กองทัพบกสิงคโปร์ ที่สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘(https://aagth1.blogspot.com/2025/06/flash-thunder-2025.html)
การฝึกกับมิตรประเทศยังรวมถึงการฝึกผสม Balance Torch 2025–3 ระหว่างกรมรบพิเศษที่๑ รพศ.๑ กองพลรบพิเศษที่๑ พล.รพศ.๑ และกรมทหารราบที่๓๑ รักษาพระองค์ กองพลที่๑ รักษาพระองค์ กองทัพบกไทย กับกรมรบพิเศษที่๑(1st Special Forces Group (Airborne)) กองทัพบกสหรัฐฯ(US Army) ที่ไทย ระหว่างวันที่ ๖-๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘
การฝึกภาคสนาม(FTX: Field Training Exercise) การยุทธ์ส่งทางอากาศร่วมเหล่าทัพ ประจำปี๒๕๖๘ กฝร.ทท.๖๘ กองทัพไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ และการฝึกบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ(C-MEX 2025: Crisis Management Exercise 2025) ของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ศตก.(CTOC: Counter Terrorist Operations Center) เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ ครับ