วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

Boeing สหรัฐฯจะปิดสายการผลิตเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ AH-6i หลังเสร็จสิ้นการส่งมอบให้กองทัพบกไทย

IMH 2025: Boeing to cease AH-6i production



An AH-6i for Thailand, seen during flight testing near its Mesa production facility in Arizona, the AH-6i is to shortly be discontinued. (Boeing)


Thailand's acquisition of eight AH-6i Little Bird light attack helicopters will allow the service to replace its obsolete AH-1IF Cobra helicopters. (Royal Thai Army)

บริษัท Boeing สหรัฐฯจะปิดสายการผลิตเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ ฮ.ลว./อว.๖ AH-6i Little Bird ของตนเมื่อคำสั่งซื้อสำหรับลูกค้ารายล่าสุดของเฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้คือไทยได้เสร็จสิ้นลง
ผู้อำนายการอาวุโสฝ่ายการพัฒนาธุรกิจสำหรับระบบขึ้นลงทางดิ่งของ Boeing สหรัฐฯ Mark Ballew กล่าวกับ Janes และสื่อกลาโหมอื่นๆเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๘(2025) ว่า

สายการผลิตของเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบาและลาดตระเวน AH-6i Little Bird ของบริษัท Boeing ในโรงงานอากาศยาน Mesa มลรัฐ Arizona จะถูกปิดตัวลงเร็วๆนี้ตามที่เฮลิคอปเตอร์ ๘เครื่องที่ถูกสั่งจัดหาสำหรับกองทัพบกไทย(RTA: Royal Thai Army) ได้ถูกสร้างแล้ว
"เราจะยุติการผลิตของเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบาและลาดตระเวน AH-6i เมื่อเราได้ส่งมอบให้แก่ประเทศไทยตามคำสั่งที่ได้รับแล้ว "ตอนนี้เว้นแต่ว่าจะมีประเทศอื่นที่เข้ามาโดยทันทีและพูดว่า 'เฮ้เราต้องการเฮลิคอปเตอร์ AH-6i วันนี้' มันจะยุติลง" 

Ballew กล่าว ณ งานสัมมนาเฮลิคอปเตอร์ทางทหารนานาชาติ IQPC International Military Helicopter(IMH) 2025 ที่จัดขึ้นในกรุง London สหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๘(2025)
Ballew ไม่ได้ขยายความว่าทำไมการตัดสินใจได้มีขึ้น ณ เวลานี้ แต่โดยมีเพียงกองกำลังรักษาดินแดนซาอุดีอาระเบีย(Saudi Arabian National Guard) และกองทัพบกไทย(https://aagth1.blogspot.com/2024/10/boeing-ah-6i.html)

ที่จัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบาและลาดตระเวน AH-6i Little Bird ไปรวมทั้งหมด ๓๒เครื่อง ดูเหมือนว่าบริษัท Boeing จะได้ตัดสินใจแล้วว่า(https://aagth1.blogspot.com/2024/06/ah-6i.html)
ตลาดสำหรับคำสั่งซื้อเพิ่มเติมที่ยั่งยืนสำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบาและลาดตระเวน AH-6i Little Bird ไม่มีอยู่อีกต่อไป(https://aagth1.blogspot.com/2024/01/ah-6i-apkws.html, https://aagth1.blogspot.com/2023/06/korean-air-ah-6i.html

เปิดตัวในปี พ.ศ.๒๕๕๒(2009) ตามรอบโครงการเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ ARH(Armed Reconnaissance Helicopter) ที่ถูกยกเลิกไปของกองทัพบกสหรัฐฯ(US Army)
ฮ.ลว./อว.๖ AH-6i ได้รับการออกแบบโดย Boeing ให้ตรงตามความต้องการของประเทศเหล่านี้ที่ไม่สามารถจะจัดซื้อหรือไม่ต้องการขีดความสามารถของเฮลิคอปเตอร์โจมตีแท้เช่นเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64 Apache ของบริษัทได้(https://aagth1.blogspot.com/2024/08/ah-64e-apache-36.html)

ในโฉมหน้าของเครื่องในฐานะเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบา/หนัก, รักษาความปลอดภัยและคุ้มกัน, ส่งกำลังพลเข้าพื้นที่(troop insertion), ลาดตระเวน และค้นหาและกู้ภัยในพื้นที่การรบ(CSAR: Combat Search-and-Rescue)
ฮ.ลว./อว.๖ AH-6i ได้รับการติดตั้งด้วยระบบตรวจจับกล้อง Electro-Optic/Infrared(EO/IR) และถูกปรับแต่งให้สามารถติดอาวุธอากาศสู่พื้นนำวิถีและไม่นำวิถีได้หลายแบบ รวมถึงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้นความแม่นยำสูง Lockheed Martin AGM-114 Hellfire

กองทัพบกไทยได้สั่งจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ ฮ.ลว./อว.๖ AH-6i จำนวน ๘เครื่องภายในสัญญามูลค่าวงเงินราว $103.8 million(ประมาณ ๓,๓๔๒,๕๘๙,๐๑๔บาท) ซึ่งคาดว่าจะได้รับมอบครบทั้งหมดภายในปี พ.ศ.๒๕๖๘ นี้(https://aagth1.blogspot.com/2022/02/ah-6i.html)
ภายใต้โครงการรูปแบบการขาย Foreign Military Sales(FMS) โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้อนุมัติการขายให้ไทยในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๖๒(2019)(https://aagth1.blogspot.com/2019/09/ah-6i.html)

สำนักงานความร่วมมือความมั่นคงกลาโหมสหรัฐฯ(DSCA: Defense Security Cooperation Agency) กล่าวว่าเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ ฮ.ลว./อว.๖ AH-6i จะทำให้กองทัพบกไทยสามารถปลดประจำการเฮลิคอปเตอร์โจมตี ฮ.จ.๑ Bell AH-1F Cobra ที่มีอายุการใช้งานมานานของตนได้
เฮลิคอปเตอร์โจมตี ฮ.จ.๑ AH-1F Cobra ถูกสั่งจัดหาโดยกองทัพบกไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๓(1990) โดยปัจจุบันมีประจำการ ณ กองพันบินที่๓(3rd Aviation Battalion), กรมบิน(Aviation Regiment), ศูนย์การบินทหารบก ศบบ.(AAC: Army Aviation Center) จำนวน ๗เครื่องครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

Hanwha Ocean และ Hyundai HD HHI สองอู่เรือใหญ่เกาหลีใต้ร่วมมือในตลาดส่งออกเรือรบ

Korean Shipbuilding Giants Join Forces in Naval Export Market


Hanwha Ocean Geoje Shipyard, South Korea. (Hanwha photo)

Hyundai Heavy Industries Ulsan Shipyard, South Korea. (HHI picture)

Won-ho Joo, Head of the Naval & Special Ship Business Unit (NSSBU), Seok Jong-geon, Minister of the Defense Acquisition Program Administration (DAPA), and Eo Seong-cheol, President of Hanwha Ocean, shake hands to celebrate the signing of the 'One Team' partnership. (DAPA Photo)

สองผู้สร้างเรือหลักรายใหญ่ของสาธารณรัฐเกาหลี บริษัท HD Hyundai Heavy Industries(HHI) สาธารณรัฐเกาหลี และบริษัท Hanwha Ocean สาธารณรัฐเกาหลีได้ร่วมเป็นหุ้นส่วนในฐานะ "ทีมเดียว"(One Team) ในตลาดส่งออกเรือ(https://aagth1.blogspot.com/2024/06/hyundai-ff-06-brp-miguel-malvar.html)
สำนักงานโครงการจัดหากลาโหม(DAPA: Defense Acquisition Program Administration) สาธารณรัฐเกาหลี, บริษัท Hanwha Ocean และบริษัท HD HHI ได้ลงนามลงนามบันทึกความเข้าใจ(MOU: Memorandum of Understanding) เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 เพื่อจัดตั้ง "One Team" สำหรับโครงการส่งออกเรือสำหรับกองทัพเรือทั่วโลก

ในช่วงล่าสุดนี้ภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสาธารณรัฐเกาหลีได้รับการยอมรับอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโลก และสาธารณรัฐเกาหลียังเป็นที่รับทราบในฐานะผู้นำขุมกำลังการสร้างเรือในภาคส่วนเรือสำหรับกองทัพ ตามที่ความมั่นคงทางทะเลได้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นทั่วโลก และหลากหลายชาติมุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งกองกำลังทางเรือของพวกตน 
มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรือรบคุณภาพสูงของสาธารณรัฐเกาหลีที่จะขยายเข้าสู่ตลาดโลก เพื่อบรรลุผลในเรื่องนี้ การสื่อสารและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกลุ่มผู้สร้างเรือเป็นสิ่งสำคัญ ในการตอบสนองนี้ DAPA และสองผู้นำการสร้างเรือแห่งชาติได้กำลังทำงานเพื่อจัดตั้งกรอบความร่วมมืออย่างเป็นระบบที่ได้รับการสนับสนุนและประสานงานจากรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีอย่างสูงสุด

ข้อตกลง MOU นี้ระบุว่าเมื่อมีการส่วนร่วมในโครงการส่งออกเรือรบต่างๆ รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีและเหล่าบริษัทผู้สร้างเรือจะจัดตั้ง "One Team" และมุ่งเน้นที่จุดเข็งของพวกตน ภายใต้ข้อตกลงนี้ บริษัท HD HHI จะรับหน้าที่ผู้นำโครงการส่งออกเรือรบผิวน้ำ(https://aagth1.blogspot.com/2025/01/ffx-batch-iv.html, https://aagth1.blogspot.com/2025/01/kdx-ii-cms.html)
ขณะที่บริษัท Hanwha Ocean จะรับหน้าที่ด้านโครงการส่งออกเรือดำน้ำ(https://aagth1.blogspot.com/2024/12/hanwha-ocean.html, https://aagth1.blogspot.com/2024/08/jang-bogo.html) โดยทั้งสองบริษัทจะให้การสนับสนุนอีกฝ่ายซึ่งกันและกัน(https://aagth1.blogspot.com/2024/11/kdx-iii-batch-2-ddg-995-roks-jeongjo.html)

การเข้าถึงนี้มุ่งเป้าที่จะสร้างความแข็งแกร่งของแต่ละบริษัทอย่างสูงสุดขณะที่เพิ่มขยายประสิทธิภาพผ่านการจัดสรรทรัพยากรและและการแบ่งปันวิทยาการ นอกเหนือจากความร่วมมือการส่งออกเรือรบความเป็นหุ้นส่วนนี้ยังคาดว่าจะขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตผ่านโครงการการพัฒนาร่วมต่างๆที่กำลังดำเนินอยู่ด้วย
นอกจากนี้ MOU นี้จะได้เห็นในฐานะก้าวย่างแรกที่สำคัญในการประสานงานร่วมกันอย่างสูงสุดในภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสาธารณรัฐเกาหลีผ่านการแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ขณะที่สามารถให้รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีรวบรวมการสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระหว่างขั้นตอนการลงนาม MOU DAPA ได้อำนวยความสะดวกการสื่อสารที่ราบลื่นระหว่างสองบริษัทและมอบการช่วยเหลือที่จำเป็น 

ทั้งสองบริษัทอยู่ภายใต้เป้าหมายร่วมกันของการเข้าสู่ตลาดเรือรบโลก ที่เป็นลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ของชาติของสาธารณรัฐเกาหลีและการส่งเสริมความมั่นคงทางทะเลทั่วโลกอย่างสันติ "ผมหวังว่าการลงนาม MOU วันนี้ได้วางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างสมบูรณ์ภายในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเกาหลีใต้
และทำหน้าที่ในฐานะจุดเปลี่ยนใหม่สำหรับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าในเวลาที่ระดับโลก รัฐบาลจะสนับสนุนการริเริ่ม 'One Team' อย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการส่งออกเรือรบเกาหลี K-ship และสนับสนุนความมั่นคงทางทะเลทั่วโลก" Seok Jong-geon รัฐมนตรีสำนักงานโครงการจัดหากลาโหม DAPA สาธารณรัฐเกาหลีกล่าว

บริษัท HD Hyundai Heavy Industries และบริษัท Hanwha Ocean ซึ่งกำลังมีส่วนร่วมในการแข่งขันอย่างเข็มข้นต่อสัญญาโครงการเรือพิฆาตยุคอนาคต KDDX(Korean Destroyer Next Generation) สำหรับกองทัพเรือสาธารณรัฐเกาหลี(RoKN: Republic of Korea Navy)(https://aagth1.blogspot.com/2023/06/hd-hhi.html)
นอกเหนือจากการมีส่วนร่วมในโครงการเรือฟริเกตอนาคต SEA 3000 ของออสเตรเลีย(https://aagth1.blogspot.com/2024/02/hunter-6.html) ขณะเดียวกันผู้สร้างเรือจากญี่ปุ่นและเยอรมนีซึ่งแข่งขันในฐานะทีมแห่งชาติที่เป็นเอกภาพได้ประสบความสำเร็จในการมีรายชื่อที่ถูกคัดเลือก นี่เป็นการ "ปลุกให้ตื่น" สำหรับการสร้างเรือรบของสาธารณรัฐเกาหลี

หลายปัจจัยที่มีส่วนต่อความล้มเหลวของสาธารณรัฐเกาหลีในการแข่งขันรวมถึงการขาดความเป็นเอกภาพการเข้าถึง "One Team Korea" โดยการให้การสนับสนุนจากรัฐบาลและความไม่สอดคล้องกันของข้อเสนอต่างๆของสาธารณรัฐเกาหลีด้วยความต้องการเฉพาะของกองทัพเรือออสเตรเลีย(RAN: Royal Australian Navy)
อย่างไรก็ตามการวิพากษ์วิจารณ์หลักจากสาธารณชนทั่วไปเป็นความล้มเหลวของผู้สร้างเรือในเกาหลีใต้ที่จะจัดตั้งทีมที่เหนียวแน่นในการแข่งขัน กระตุ้นให้ DAPA รับดำเนินหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อป้องกันการแข่งขันที่มากเกินไประหว่างบริษัทต่างๆจากปัจจัยเสี่ยงต่อโอกาสสำคัญต่างๆสำหรับภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสาธารณรัฐเกาหลี

ด้วยข้อตกลง MOU ใหม่ บริษัท HD Hyundai Heavy Industries และบริษัท Hanwha Ocean คาดว่าจะแสดงความแข็งแกร่งของพวกตนโดยความร่วมมือในการรส่งออกเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำตามลำดับ ความร่วมมือของพวกเขาถูกคาดการณ์เป็นพิเศษในโครงการนานาชาติต่างๆที่กำลังจะมีขึ้น
เช่นโครงการเรือดำน้ำ Orka ของโปแลนด์(https://aagth1.blogspot.com/2023/09/hanwha-ocean-kss-iii.html) และโครงการเรือดำน้ำลาดตระเวน CPSP(Canadian Patrol Submarine Project) ของแคนาดา(https://aagth1.blogspot.com/2023/12/hd-hhi.html) การเข้าถึง "Korea One Team" ที่เป็นเอกภาพสามารถจะเพิ่มขยายขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีระดับโลกได้ครับ

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

อิสราเอลเริ่มการสร้างเรือคอร์เวตชั้น Reshef ใหม่ 5ลำ

Israel Shipyards Begin Construction of Reshef-class Corvettes

Israel Shipyards Begin Production of New Warships for the Israeli Navy with a steel cutting ceremony. Photo by Israeli MoD.

The latest rendering of the Reshef class corvette of the Israeli Navy. Image by Israeli MoD.

The new Reshef class corvettes are expected to replace the old Sa’ar 4.5 class. Photo by Israeli MoD.

กระทรวงกลาโหมอิสราเอล, กองทัพเรืออิสราเอล(Israeli Navy) และอู่เรือบริษัท Israel Shipyards อิสราเอล ได้เริ่มต้นขั้นตอนการสร้างของเรือคอร์เวตชั้น Reshef ในพิธีตัดแผ่นเหล็กตามธรรมเนียมเป็นเครื่องหมายถึงการเริ่มต้นการสร้างเรือรบขั้นก้าวหน้าใหม่จำนวน 5ลำ
พิธีได้เชิญรักษาการรองอธิบดีกระทรวงกลาโหมอิสราเอล Itamar Graf, ผู้บัญชาการกองทัพเรืออิสราเอล พลเรือโท David Saar Salama, รองอธิบดีและประธานกรมการจัดซื้อจัดจ้างกลาโหมอิสราเอล(DOPP: Defense Procurement Directorate) Ze’ev Landau,
หัวหน้ากองการเงินกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต(CPA: Certified Public Accountant) Dekel Cohen, เจ้าของบริษัท Israel Shipyards Industries อิสราเอล Shlomi Fogel, Assi Shmeltzer และ Sami Katzav, ผู้อำนวยการบริหาร Israel Shipyards อิสราเอล Eitan Zucker และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นๆ

ในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่นำโดยอธิบดีกระทรวงกลาโหมอิสราเอลคนปัจจุบัน พลตรี(เกษียณแล้ว) Eyal Zamir อู่เรือ Israel Shipyards จะมอบเรือคอร์เวตชั้น Reshef จำนวน 5ลำแก่กองทัพเรืออิสราเอลที่วงเงินประมาณ 2.8 billion New Israeli Shekel($780 million)
เรือคอร์เวตชั้น Reshef ขั้นก้าวหน้าใหม่เป็นที่คาดว่าจะทดแทนเรือรบ Saar เก่า(เรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชั้น Sa’ar 4.5 หรือชั้นย่อย Nirit) ซึ่งจะถูกปลดประจำการลงหลังเข้าประจำการมาเป็นระยะเวลาเกือบสี่ทศวรรษ
เรือคอร์เวตชั้น Reshef เป็นเรือรบอเนกประสงค์ที่พัฒนาในความร่วมมือกับกองทัพเรืออิสราเอลและกระทรวงกลาโหมอิสราเอล บูรณาการด้วยระบบอาวุธล้ำยุคและวิทยาการขั้นก้าวหน้าต่างๆจากภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิสราเอล

เรือคอร์เวตชั้น Reshef ลำแรกคาดว่าจะส่งมอบให้กองทัพอิสราเอล(IDF: Israel Defense Forces) ในราวสามปีครึ่งข้างหน้า โครงการนี้นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งความเป็นอิสรภาพการผลิตทางกลาโหมของอิสราเอล
สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงกลาโหมอิสราเอลที่จะขยายภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิสราเอลและส่งเสริมโครงการ "Blue and White"(Made in Israel) การสร้างเรือที่อู่เรือ Israel Shipyards หลังจากหลายทศวรรษที่จัดซื้อเรือที่สร้างจากที่นี่
ดำรงการรักษาองค์ความรู้การผลิตทางยุทธศาสตร์และขีดความสามารถในมิติทางทะเล โดยยังเสริมความแข็งความต่อเนื่องการผลิตทางกลาโหมและเป็นที่คาดว่าจะมอบงานหลายร้อยตำแหน่งแก่แรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาอยู่ในตอนเหนือของอิสราเอล

หลังจากเป็นเวลามากกว่า 20ปี กระทรวงกลาโหมอิสราเอลและกองทัพอิสราเอลได้กลับมาสร้างเรือรบในประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหมอิสราเอลที่เพิ่มขยายความเป็นเอกเทศการผลิต นโยบายของอิสราเอลคือความก้าวหน้าตลอดทั้งหลายภาคส่วนที่สำคัญของความมั่นคงแห่งชาติ
การเริ่มต้นการสร้างเรือคอร์เวตชั้น Reshef เป็นเครื่องหมายถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาศตร์ ไม่เพียงแต่กับกองทัพเรืออิสราเอลซึ่งจะทดแทนเรือเรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชั้น Sa’ar 4.5 ที่มีอายุการใช้งานมานานและได้รับการดัดแปลงอย่างมากหลังประจำการมาสี่ทศวรรษ แต่ยังสำหรับภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิสราเอลด้วย
เป็นครั้งแรกในหลายทศวรรษที่เรือรบที่มีขนาดและความซับซ้อนเช่นนี้ได้รับการสร้างภายในอิสราเอลทั้งหมด แสดงถึงจิตวิญญาณ "สร้างในอิสราเอล" และเป็นการประกาศยุคใหม่ของขีดความสามารถทางเรือและการป้องกันประเทศของอิสราเอล

การริเริ่มการสร้างความแข็งแกร่งนาวิกานุภาพของอิสราเอลและรักษาสายการผลิตทางยุทธศาสตร์เดียวของเรือรบของตน ขณะที่ยังสร้างงาน, ส่งเสริมนวัตกรรมในประเทศ, และวางตำแหน่งอิสราเอลในฐานะผู้เล่นที่โดดเด่นในตลาดทางเรือสากล
โดยการดึงดูดลูกค้านานาชาติต่างๆและทำให้กองทัพเรือต่างประเทศต่างๆจะสามารถจัดหาเรือรบขั้นก้าวหน้าที่สร้างโดยอิสราเอล โครงการยังเพิ่มบทบาทที่แข็งแกร่งของอิสราเอลในฐานะผู้นำในวิทยาการทางเรืออันล้ำยุค
เรือคอร์เวตชั้น Reshef มีพื้นฐานจากรุ่นเพิ่มขยายของแบบเรือ Sa’ar-72 ของบริษัท Israel Shipyards จะมีขนาดใหญ่กว่าเรือรุ่นก่อนหน้าอย่างมาก ด้วยระวางขับน้ำเป็นสองเท่าของรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชั้น Sa’ar 4.5 และความยาวเรือมากกว่าประมาณ 15m

เรือคอร์เวตชั้น Reshef ขั้นก้าวหน้าเหล่านี้จะมีคุณลักษณะการเพิ่มขยายขีดความสามารถการตรวจจับได้ยาก stealth ต่างๆเพื่อลดภาคตัดขวาง radar(RCS: Radar Cross-Section), ระบบป้องกันภับทางอากาศที่ได้รับการปรับปรุง และวิทยาการสงครามหลากมิติอันล้ำยุค
ได้รับการออกแบบเพื่อต่อต้านภัยคุกคามที่มีพัฒนาการขึ้น เรือคอร์เวตชั้น Reshef จะถูกติดตั้งด้วยระบบอาวุธขั้นก้าวหน้าที่ซับซ้อนและระบบ electronic ล้ำยุค เสริมสร้างอำนาจแก่อิสราเอลเพื่อให้มีประสิทธิภาพตรงตามความท้าทายสมัยใหม่ที่หลากหลายรูปแบบ
ระบบอาวุธน่าจะรวมถึงปืนหลักปืนเรือ Leonardo OTO 76/62 SR แท่นยิงปืนกล Rafael Typhoon RWS(Remote Weapon Station) ขนาด 25-30mm อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ Gabriel V แปดนัด และระบบป้องกันเป็นจุด(point-defense) อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ Rafael C-Dome สิบท่อยิงสี่แท่นยิง 40นัดครับ

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

Saab สวีเดนทำพิธีปล่อยลงน้ำใหม่เรือดำน้ำชั้น Gotland ลำที่สามและลำสุดท้าย HSwMS Halland หลังการปรับปรุง MLU

Saab relaunches third and final Gotland-class submarine after MLU




HSwMS Halland is the final Gotland-class submarine to receive an MLU that aims to keep the class of three boats in service out to at least 2030. (Saab/Royal Swedish Navy)

บริษัท Saab สวีเดนได้ทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำใหม่ของเรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้าโจมตี(SSK) ชั้น Gotland(Type A19) ลำที่สามของกองทัพเรือสวีเดน(RSwN: Royal Swedish Navy, Svenska marinen)
เรือดำน้ำ HSwMS Halland ตามการเสร็จสิ้นโครงการปรับปรุงครึ่งอายุ(MLU: Mid-Lfe Ugrade) ของเรือ บริษัท Saab ประกาศเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา

เรือดำน้ำ HSwMS Halland เป็นเรือดำน้ำชั้น A19 Gotland ลำสุดท้ายที่ได้รับการปรับปรุงครึ่งอายุ MLU ซึ่งได้รับการดำเนินการโดยอู่เรือ Saab Kockums ใน Karlskrona สวีเดน
ภายใต้การประกาศสัญญาวงเงิน 1.1 billion Swedish Krona($116 million ณ เวลานั้น) ในเดือนมีนาคม 2022 โดยสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์กลาโหมสวีเดน(Defence Material Administration, FMV: Försvarets materielverk)

งานการปรับปรุงครึ่งอายุ MLU ซึ่งรวมถึงการซ่อมทำใหญ่(overhaul) และการปรับปรุงระบบหลักของระบบการรบ จะทำให้เรือดำน้ำ HSwMS Halland จะสามารถยังคงอยู่ในประจำการได้จนถึงราวปี 2030
เรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้าโจมตีชั้น Gotland ทั้งสามลำของกองทัพเรือสวีเดนได้ถูกสร้างโดยอู่เรือ Kockums ระหว่างปี 1990-1997(https://aagth1.blogspot.com/2021/09/saab-a26.html)

เรือดำน้ำชั้น Gotland ลำแรกเรือดำน้ำ HSwMS Gotland และลำที่สองเรือดำน้ำ HSwMS Uppland ได้เสร็จสิ้นการซ่อมทำใหญ่ของพวกเธอแล้ว ภายใต้สัญญาวงเงิน 2.1billion Swedish Krona ที่ประกาศแก่บริษัท Saab ในเดือนมิถุนายน 2015
เรือดำน้ำ HSwMS Halland ได้รับการซ่อมบำรุงเล็ก(refit) ในช่วงปี 2014-2015 เพื่อจะจะทำให้เรือมีความพร้อมขณะที่เรือดำน้ำชั้่น Gotland อื่นได้รับการปรับปรุงครึ่งอายุ MLU ของพวกเธอ

เรือดำน้ำ HSwMS Gotland ได้ถูกเริ่มการซ่อมบำรุงเล็กของเธอในปลายปี 2015 ถูกปล่อยเรือลงน้ำใหม่ในเดือนมิถุนายน 2018 และกลับเข้าประจำการใหม่ในครึ่งหลังของปี 2019
เรือดำน้ำ HSwMS Uppland ได้ถูกเริ่มการซ่อมบำรุงเล็กของเธอในปี 2016 ถูกปล่อยเรือลงน้ำใหม่ในเดือนมิถุนายน 2019 และกลับเข้าประจำการใหม่ในปี 2020 คาดว่าเรือดำน้ำ HSwMS Halland จะกลับเข้าประจำการใหม่ได้ในปี 2026

ระหว่างการปรับปรุงครึ่งอายุ MLU ระบบส่วนกลางต่างๆมากกว่า 20ระบบของเรือดำน้ำ HSwMS Halland ได้ถูกเปลี่ยนใหม่รวมถึงระบบตรวจจับและระบบบัญชาการต่างๆ
ระบบต่างๆเหล่านี้เป็นแบบเดียวกับที่จะถูกใช้ในเรือดำน้ำชั้น Blekinge(Type A26) ทั้งสองลำคือ เรือดำน้ำ HMS Blekinge และเรือดำน้ำ HMS Skåne ที่กำลังถูกสร้างโดยอู่เรือ Saab Kockums และคาดว่าจะถูกส่งมอบได้ในปี 2027-2028 ครับ

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

กองทัพเรือสหรัฐฯเปิดเผยภาพวาดอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260 JATM ใหม่

AIM-260A missile design unveiled by NAVAIR in new rendering

A F/A-18E Super Hornet VFA-113 and VFA-192 onboard CVN-70 USS Carl Vinson loaded with a CATM-174B, a captive training round of AIM-174B long-range air-to-air missile, during a ship tour for the exercise RIMPAC 2024. Credit: USN

The PMA-259 Program Office slide showcasing its family of missiles. Credit: NAVAIR

A U.S. Air Force F-22 Raptor firing a notional AIM-260A JATM, similar to the render released by NAVAIR. Credit: USAF

กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ได้เปิดเผยภาพวาดการออกแบบแรกของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยยิงนอกระยะสายตา(BVRAAM: Beyond-Visual-Range Air-to-Air Missile) ยุคอนาคต
อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศทางยุทธวิธีขั้นก้าวหน้าร่วม Lockheed Martin AIM-260A Joint Advanced Tactical Missile(JATM) ที่ได้รับการพัฒนาสำหรับกองทัพสหรัฐฯ ในภาพรวมผลงานของกองบัญชาการระบบอากาศนาวี(NAVAIR: Naval Air Systems Command) กองทัพเรือสหรัฐฯ

อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260A JATM ได้รับการพัฒนาภายใต้โครงการการเข้าถึงพิเศษ(SAP: Special Access Program) ตั้งแต่ปี 2017 ในการตอบสนองต่อความก้าวหน้าของฝ่ายตรงข้ามในวิทยาการอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ
อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260A JATM ได้ถูกเปิดเผยในที่สุดในภาพวาดสร้างจาก computer ในเอกสารเผยแพร่นำเสนอ PMA-259 โดยสำนักงานโครงการอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ(Air-to-Air Missiles Program Office) กองทัพเรือสหรัฐฯ

การออกแบบที่แสดงในภาพวาดสร้างจาก computer ที่ถูกเผยแพร่ในรูปแบบแผ่นภาพนำเสนอโดยกองบัญชาการระบบอากาศนาวี NAVAIR ในการร่างเค้าโครงผลงานของตนในส่วนอาวุธปล่อยนำวิถีที่ได้รับการพัฒนาสำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้รวมถึงอาวุธปล่อยนำวิถีแบบอื่นๆ 
เช่น อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ RTX AIM-174B, อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลาง RTX AIM-120D AMRAAM(Advanced Medium-Range Air-to-Air Missile) และอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ RTX AIM-9X Sidewinder

ภาพวาดสร้างจาก computer ที่เผยแพร่โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ในปี 2022 แสดงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260 JATM ทำการยิงจากเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-22 Raptor จากระยะไกล(https://aagth1.blogspot.com/2021/11/f-22.html)
ภาพวาดที่เผยแพร่โดย NAVAIR เป็นภาพระยะใกล้แรกที่แสดงการออกแบบของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260 JATM และเป็นภาพแรกที่มีรายละเอียดมากกว่าภาพที่เผยแพร่ตั้งแต่ปี 2022 ของเหล่าทัพอื่น ด้วยรายละเอียดในส่วนภายนอกและหัวนำวิถีของจรวด

อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260 JATM เป็นที่คาดว่าจะยังคงมิติขนาดโดยทั่วไปของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-120 AMRAAM เพื่อความเข้ากันได้กับเครื่องบินขับไล่ที่มีอยู่(https://aagth1.blogspot.com/2025/01/aim-120-amraam.html)
อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ JATM ขาดพื้นผิวควบคุมส่วนลำตัวกลางที่พบในอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AMRAAM และน่าจะนำจรวดขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็ง solid rocket motor แบบใหม่สำหรับระยะยิงที่ไกลขึ้น

แม้ว่าอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ JATM จะมอบข้อได้เปรียบเชิงคุณภาพแก่เหล่าผู้ใช้งาน แถลงการณ์ล่าสุดจากรองประธานฝ่ายความต้องการและขีดความสามารถบริษัท RTX Corporation สหรัฐฯ John Norman ในการให้สัมภาษณ์นิตยสาร Air and Space Forces บอกเป็นนัยว่า
อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-120D-3 AMRAAM รุ่นล่าสุดมีระยะยิงใกล้กับเกณฑ์ขั้นต่ำของโครงการอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260A ซึ่งกำหนดที่ 86.9nmi(100miles, 190km) แม้ว่า AIM-260 น่าจะมีระยะยิงไกลเกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้

การทดสอบการบินของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260A JATM ได้เริ่มต้นอย่างเร็วในปี 2020 ต่อการยิงเป้าบินอากาศยานไร้คนขับเครื่องบินขับไล่ QF-16 และดำเนินการคืบหน้าภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
มีรายละเอียดต่างๆน้อยมากที่ถูกมอบให้โดยเหล่าทัพต่างๆเกี่ยวกับสถานะของระบบอาวุธตลอดช่วงต้นปี 2020s ตามข้อมูลจาก Frank Kendall อดีตรัฐมนตรีทบวงกองทัพอากาศสหรัฐฯ อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ JATM ถูกระบุว่าจะเริ่มต้นการผลิตในปี 2023 แม้ว่าสถานะที่แท้จริงยังคงไม่เป็นที่ทราบ

การพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260A JATM ได้เดินหน้าแม้ว่าจะเป็นความลับ และรายละเอียดเพิ่มเติมจากเหล่าทัพต่างๆจะถูกเผยแพร่ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจากบรรดาผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ
Naval News ได้ติดต่อไปยังสำนักงานกิจการพลเรือนของกองทัพเรือสหรัฐฯสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดและความคืบหน้าในปัจจุบันของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-260A JATM ครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

กองทัพเรือไทยประกาศ Navantia สเปนเป็นผู้ชนะโครงการเพิ่มขีดความสามารถเรือยกพลขึ้นบกอู่ลอยเรือหลวงช้าง Type 071ET LPD








Royal Thai Navy (RTN) LPD-792 HTMS Chang(III) the Type 071ET Landing Platform Dock (LPD), LST-722 HTMS Surin the Sichang class landing ship tank (LST), and FFG-456 HTMS Bangpakong the Chao Phraya-class frigate in formation task group on sea phase training of non-commissioned officer (NCO) students of Naval Rating School (NRS), Naval Education Department (NED), RTN for school year 2025 at Gulf of Thailand on 5 February 2024. (Royal Thai Navy)



Royal Thai Navy issued announcement on winner of bidding for procurement Combat Management System (CMS), Surveillance System (search radar), Fire Control System (FCS), Weapon Systems and Gyro system to be fitted on LPD-792 HTMS Chang for 909,500,000 Baht ($27,100,718) on 21 February 2025, is Navantia S.A., S.M.E., a Spanish state-owned shipbuilding company.

หมู่เรือฝึกภาคทะเล นรจ. ประจำปี 68
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ โดย ร.ล.ช้าง มีการฝึก สถานี รับ - ส่ง สิ่งของ
ในทะเล ร่วมกับ ร.ล.สุรินทร์ ภารกิจสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ในห่วงการฝึก

เราจะเป็นเรือรบอายุมากกว่าสามสิบปีที่พร้อมสำหรับทุกภารกิจ
เมื่อเรือช้างมาเจอเรือบางปะกง  และเข้าสถานีฝึกร่วมกัน...ก็เหมือนเรือครูใหม่ใหญ่ประกบเรือครูเก๋าหละงานนี้

เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา ซื้อระบบอำนวยการรบ ระบบตรวจการณ์ ระบบควบคุมการยิง ระบบอาวุธและระบบไยโร พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนที่เกี่ยวข้อง สำหรับโครงการเพิ่มขีดความสามารถระบบการรบสำหรับการปฏิบัติการทางเรือ จำนวน ๑ ระบบ โดยวิธีคัดเลือก

ตามที่ กองทัพเรือ ได้มีหนังสือเชิญชวนสำหรับ ซื้อระบบอำนวยการรบ ระบบตรวจการณ์ ระบบควบคุมการยิง ระบบอาวุธและระบบไยโร พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนที่เกี่ยวข้อง สำหรับโครงการเพิ่มขีดความสามารถระบบการรบสำหรับการปฏิบัติการทางเรือ จำนวน ๑ ระบบ โดยวิธีคัดเลือก นั้น
อาวุธยุทธภัณฑ์ จำนวน ๑ ระบบ ผู้ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ บริษัท Navantia S.A., S.M.E. โดยเสนอราคา เป็นเงินทั้งสิ้น ๙๐๙,๕๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท (เก้าร้อยเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน) รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ค่าขนส่ง ค่าจดทะเบียน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งปวง

ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๖๘

Website ทางการของกองทัพเรือไทย(RTN: Royal Thai Navy) ในส่วนการเผยแพร่โครงการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานได้ออกเอกสารเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๘(2025) เรื่องการประกาศผู้ชนะการเสนอราคาโครงการซื้อระบบอำนวยการรบ ระบบตรวจการณ์ ระบบควบคุมการยิง ระบบอาวุธ และระบบไยโร พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนที่เกี่ยวข้อง 
สำหรับโครงการเพิ่มขีดความสามารถระบบการรบสำหรับการปฏิบัติการทางเรือของเรือยกพลขึ้นบกอู่ลอย เรือหลวงช้าง(ลำที่๓) จำนวน ๑ ระบบ โดยวิธีคัดเลือก วงเงิน ๙๐๙,๕๐๐,๐๐๐บาท($27,100,718) ผู้ได้รับการคัดเลือกคือ บริษัท Navantia S.A., S.M.E รัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมการสร้างเรือของสเปน

การเผยแพร่เอกสารประกาศชนะโครงการเพิ่มขีดความสามารถระบบการรบสำหรับเรือยกพลขึ้นบกอู่ลอยเรือหลวงช้าง(ลำที่๓) สอดคล้องกับรายงานของสื่อไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๗(2024) ว่าบริษัท Navantia สเปนเป็นผู้ชนะ(https://aagth1.blogspot.com/2024/08/navantia-type-071et-lpd.html
ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งใหม่สุดของ Navantia สเปนกับกองทัพเรือไทยในรอบ ๒๘ปี เป็นที่เข้าใจว่าอาวุธยุทธภัณฑ์ จำนวน ๑ระบบที่จะได้รับการจัดหาโดยหลักคือ ระบบอำนวยการรบ(CMS: Combat Management System) แบบ CATIZ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Navantia

ระบบที่เกี่ยวข้องที่น่าจะได้รับการจัดหายังรวมถึง ระบบควบคุมการยิง(FCS: Fire Control System) แบบ DORNA ของ Navantia สเปน, แท่นยิงปืนเรือ Naval Remote Controlled Weapon Station(RCWS) แบบ SENTINEL 30 จำนวน ๒แท่นยิง ของบริษัท EM&E Group สเปน เพื่อเสริมอาวุธที่เรือยกพลขึ้นบกอู่ลอย ร.ล.ช้าง(ลำที่๓) ได้รับการติดตั้งไปแล้ว
คือปืนกลหนัก M2 .50cal ๔กระบอก ที่กราบซ้ายและกราบขวาของเรือ และปืนกล Oerlikon GAM-CO1 20mm ๒แท่นยิงที่กราบซ้ายและขวาหน้าสะพานเดินเรือ โดยบริษัท EM&E Group ได้รับสัญญาจากกองทัพเรือไทยที่จะส่งมอบแท่นยิงปืนเรือ SENTINEL 30 RCWS สำหรับเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.997 ทั้งสองลำคือ เรือ ต.997 และเรือ ต.998(https://aagth1.blogspot.com/2025/02/em-sentinel-30-997.html)

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ได้รับสัญญารองในโครงการเพิ่มขีดความสามารถระบบการรบสำหรับเรือยกพลขึ้นบกอู่ลอย ร.ล.ช้าง(ลำที่๓) จะมีการประกาศตามมาหรือไม่ ที่ได้รวมถึง ระบบพิสูจน์ฝ่าย IFF(Identification Friend or Foe) แบบ TSA3521 และระบบไยโรแบบ TopAxyz ของบริษัท Thales Nedeland B.V. เนเธอร์แลนด์, 
กล้อง Electro-Optronic(EO) แบบ Spectro XR ของบริษัท Elbit Naval Systems อิสราเอล และ Radar ตรวจการณ์สามมิติแบบ Sea Giraffe 1X ของบริษัท SAAB AB สวีเดน ซึ่งมีความเข้ากันได้กับระบบอำนวยการรบ CATIZ CMS ของ Navantia สเปน ในการเชื่อมโยงกันผ่านระบบสถาปัตยกรรมเปิด(Open Architecture)

หลังการติดตั้งระบบการรบและอาวุธในการปรับปรุงระยะที่๑ ยังเป็นที่เข้าใจว่าปืนเรือ 76mm จำนวน ๑กระบอกที่น่าจะเป็นปืนเรือในตระกูล Leonardo 76/62 ของบริษัท Leonardo S.p.A อิตาลี รวมถึงเครื่องยิงเป้าลวง ๔ระบบ จะได้รับการอนุมัติการปรับปรุงระยะที่๒ ในปีงบประมาณถัดไปราวปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๙(2026) ขึ้นไปด้วย
ยังมีรายงานว่าระบบอำนวยการรบ CATIZ CMS สเปนยังได้รับเลือกในการปรับปรุงขีดความสามารถเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี จำนวน ๒ลำคือ ร.ล.ปัตตานี และเรือหลวงนราธิวาสด้วย(https://aagth1.blogspot.com/2024/05/opv.html) (แม้ว่าจะมีการเผยแพร่ข่าวลือออกมาในสื่อสังคม online ของไทยในช่วงนี้ว่าโครงการกับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุด ร.ล.ปัตตานีกำลังมีปัญหาภายในก็ตาม)

เรือยกพลขึ้นบกอู่ลอยชั้น Type 071ET LPD(Landing Platform Dock) เรือหลวงช้าง(ลำที่๓) ที่เข้าประจำการในกองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กยพ.(ACSSS: Amphibious and Combat Support Service Squadron) กองเรือยุทธการ กร.(RTF: Royal Thai Fleet) กองทัพเรือไทย เป็นรุ่นส่งออกของเรืออู่ยกพลขึ้นบกชั้น Type 071 ของกองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีน(PLAN: People's Liberation Army Navy)
สร้างโดยอู่เรือ Hudong-Zhonghua Shipbuilding Group(HZ) มหานคร Shanghai ในเครือ China State Shipbuilding Corporation(CSSC) รัฐวิสาหกิจผู้สร้างเรือจีน ถูกส่งมอบให้กองทัพเรือไทยในปี พ.ศ.๒๕๖๖(2023) และถูกใช้ปฏิบัติงานมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือร่วมกับเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ชุดเรือหลวงสีชัง เรือหลวงสุรินทร์ และเรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงบางปะกง ในหมู่เรือฝึกภาคทะเล นักเรียนจ่าทหารเรือ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ(NRS: Naval Rating School) ประจำปีการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๘ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ นี้ครับ

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ภาพเปิดเผยเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-1Z นาวิกโยธินสหรัฐฯติดอาวุธปล่อยนำวิถี LRPF ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

US Navy releases first known public photograph of Long Range Precision Fires munition





A US Marine Corps AH-1Z with a Long Range Precision Fires munition mounted to the outer weapons station of both stub wings. Little is publicly known about the munition, which is likely capable of performing both kinetic and non-kinetic roles. (NAVAIR)

กองบัญชาการระบบอากาศนาวี(NAVAIR: Naval Air Systems Command) กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ได้เผยแพร่ภาพถ่ายของอาวุธแบบใหม่ที่เคยพบเห็นมาก่อน
ถูกติดตั้งกับเฮลิคอปเตอร์โจมตี Bell AH-1Z นาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) อาวุธปล่อยนำวิถีความแม่นยำสูงพิสัยไกล L3Harris Long Range Precision Fires(LRPF) เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025

แม้ว่าการมีอยู่ของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น LRPF ที่ยังถูกเรียกว่าอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีพิสัยไกล Long Range Attack Missile หรืออาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีความแม่นยำสูง Precision Attack Strike Missile
ได้เป็นที่รับทราบต่อทางสาธารณะ ภาพถ่ายล่าสุดนี้เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงว่าอาวุธปล่อยนำวิถี LRPF ได้ถูกพบเห็นและเผยแพร่ต่อสาธารณะ(https://aagth1.blogspot.com/2024/08/ah-1z-viper-12.html)

ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่โดยกองบัญชาการระบบอากาศนาวีกองทัพเรือสหรัฐฯ NAVAIR อธิบายว่าการทดสอบยิงของอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น LRPF มีการดำเนินการขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024
ณ สถานีทดสอบอาวุธ Yuma Proving Ground มลรัฐ Arizona ซึ่ง "เกินเกณฑ์ข้อกำหนดขั้นต่ำที่วางไว้ที่เกี่ยวข้องกับ ตำแหน่ง, การนำร่อง, และระยะเวลา"(https://aagth1.blogspot.com/2024/02/ah-1z-al-kobra-z.html)

การยิงอาวุธปล่อยนำวิถี LRPF ถูกอธิบายเพิ่มเติมว่าดำเนินการผ่านระบบอุปกรณ์ Marine Air-Ground Tablet ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ทำให้เหล่านาวิกโยธินสหรัฐฯในแนวหน้าสามารถสั่งการโจมตีทางอากาศแบบ digital ได้
สื่อประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่าจากบริษัท L3Harris สหรัฐฯเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 กล่าวว่าการทดสอบเป็นเครื่องหมายถึง "การประสบความสำเร็จครั้งแรกในการโจมตีเป้าหมายจากระบบ(อากาศยานขึ้นลงทางดิ่ง)ที่ระยะที่ไม่สามารถสัมผัสได้ก่อนหน้า"

อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น LRPF ได้รับการพัฒนาภายใต้โครงการที่นำโดยทีมการพัฒนาขั้นก้าวหน้าการบินทางทะเลโพ้นทะเล(Expeditionary Maritime Aviation-Advanced Development Team)
ของสำนักงานภายใต้รัฐมนตรีกลาโหมด้านการวิจัยและวิศวกรรม(OUSD-R&E: Office of the Under Secretary of Defense for Research and Engineering) ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะ "ประเมินค่าประสิทธิภาพต่อราคา, ผลกระทบต่างๆที่แตกต่างกันในระยะไกลในสภาพแวดล้อมโพ้นทะเลและทางทะเล" NAVAIR กล่าวกับ Janes เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2025
"โครงการ(อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น LRPF) มีแผนที่จะเสร็จสิ้นในปี 2025 โดยความต้องการต่างๆในอนาคตและแผนต่างๆกำลังอยู่ภายใต้การพัฒนา" NAVAIR เสริมครับ(https://aagth1.blogspot.com/2024/01/ah-1z.html)

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawk ออสเตรเลียบรรลุความพร้อมปฏิบัติการขั้นต้น

Australian UH-60Ms achieve initial operating capability





An Australian Sikorsky UH-60M Black Hawk prepares to take off from Holsworthy Barracks, New South Wales, in February 2024. (Commonwealth of Australia)



เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป Sikorsky UH-60M Black Hawk ของกองทัพบกออสเตรเลีย(Australian Army) ได้บรรลุความพร้อมปฏิบัติการขั้นต้น(IOC: Initial Operating Capability) แล้ว กระทรวงกลาโหมออสเตรเลียประกาศ 
ปัจจุบันกองทัพบกออสเตรเลียมีเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawk ในประจำการแล้วจำนวน 12เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2023/08/uh-60m-black-hawk-3.html)

"ความพร้อมปฏิบัติการขั้นต้น IOC ทำให้มั่นใจว่าเฮลิคอปเตอร์ Black Hawk จำนวน 12เครื่องสามารถที่สนับสนุนการปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย(CT: Counter-Terrorism) ในออสเตรเลีย
และแก้ไขปัญหาช่องว่างด้านขีดความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการปลดประจำการฝูงเฮลิคอปเตอร์ MRH90 Taipan จากกองทัพ(https://aagth1.blogspot.com/2023/10/mrh90-taipan.html)" กระทรวงกลาโหมออสเตรเลียกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025

กระทรวงกลาโหมออสเตรเลียเสริมว่ากิจการการทดสอบ, การประเมินค่า และการฝึกสำคัญเบื้อต้นต่างๆของฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawkได้เสร็จสิ้นใน 15เดือนหลังจากที่ ฮ.เครื่องแรกดำเนินการบินปฏิบัติการในปี 2023 
การเสร็จสิ้นกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ได้ "เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการจัดตั้งระบบการสนับสนุนและการปรนนิบัติซ่อมบำรุงฝูงบินที่แข็งแกร่ง" กระทรวงกลาโหมออสเตรเลียกล่าว(https://aagth1.blogspot.com/2023/01/uh-60m-40.html)

ในเดือนกันยายน 2024 กองทัพบกออสเตรเลียได้รับมอบ เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawk แล้วจำนวน 10เครื่อง Janes ได้รายงานก่อนหน้านี้ว่าในปี 2024 เฮลิคอปเตอร์ได้ถูกใช้เพื่อ
สนับสนุนกรมคอมมานโดที่1(1st Commando Regiment) และกรมคอมมานโดที่2(2nd Commando Regiment) กองบัญชาการปฏิบัติการพิเศษ(SOCOMD: Special Operations Command) กองทัพออสเตรเลีย ซึ่งมีภารกิจในการต่อต้านการก่อการร้ายภายในประเทศ

Janes เข้าใจว่าเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawk เพิ่มเติมอีกสองเครื่องได้ถูกส่งมอบให้กองทัพบกออสเตรเลียในเดือนพฤศจิกายน 2024 เพิ่มจำนวนในฝูงบินปัจจุบันเป็น 12เครื่อง
เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป UH-60M Black Hawk ปัจจุบันอยู่ในประจำการที่กรมบินที่6(6th Aviation Regiment) กองทัพบกออสเตรเลีย ณ ค่าย Holsworthy Barracks รัฐ New South Wales 

กระทรวงกลาโหมออสเตรเลียกล่าวว่าตนมีแผนที่จะขยายหน่วยบิน ฮ.ท.UH-60M ที่ Oakey รัฐ Queensland ในปี 2025 ในเดือนมีนาคม 2024 ฮ.Black Hawk ได้เสร็จการบินเป็นเวลา 350ชั่วโมงบินภายในออสเตรเลียแล้วตามข้อมูลกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตามการส่งมอบ ฮ.Black Hawk เพิ่มเติมอีก 9เครื่องในปี 2024 ทำให้กองทัพบกออสเตรเลียจะทวีกิจกรรมการบินให้สูงมากยิ่งขึ้น ภายในเดือนตุลาคม 2024 ฝูง ฮ.ท.UH-60M Black Hawk ได้ทำการบินเกิน 1,400ชั่วโมงบินแล้ว Janes ได้รายงานก่อนหน้าครับ

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

รัสเซียเปิดตัวรถถังหลัก T-90MS รุ่นปรับปรุงใหม่ล่าสุดพร้อมเสนอสิทธิบัตรการผลิตแก่ลูกค้า

IDEX 2025: Updated T-90MS makes its debut with offers of licenced-production





The T-90MS displayed at IDEX 2025 features several modifications aimed at increasing its survivability. (Janes/Christopher Petrov)





Uralvagonzavod(UVZ) รัฐวิสาหกิจผู้ผลิตรถถังยานเกราะของรัสเซียได้เปิดตัวรถถังหลัก T-90MS MBT(Main Battle Tank) รุ่นปรับปรุงใหม่ ณ งานนิทรรศการและสัมมนาการป้องกันประเทศนานาชาติ IDEX 2025
(International Defence Exhibition & Conference 2025) ที่จัดขึ้น ณ ADNEC Centre ในนครหลวง Abu Dhabi สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE: United Arab Emirates) ระหว่างวันที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025

UVZ รัสเซียกล่าวว่ารถถังหลัก T-90MS ซึ่งเป็นรุ่นส่งออกของรถถังหลัก T-90M MBT ที่ประจำการในกองทัพรัสเซีย ได้รับการปรับปรุงในการตอบสนองต่อข้อเสนอแนะ(feedback) จากการใช้งานในยูเครน
UVZ รัสเซียได้เสนอสิทธิบัตรการผลิตของรถถังหลัก T-90MS ในฐานะการจูงใจแก่ลูกค้าเป้าหมายต่างๆ(https://aagth1.blogspot.com/2024/06/t-90-bhishma-mk-iii.html, https://aagth1.blogspot.com/2021/04/aps-t-90ssk.html)

เป็นที่ชัดเจนจากทั้งความประทับใจแรก และจากการประชุมสื่อของ UVZ รัสเซียว่าความอยู่รอดที่ได้รับการเพิ่มขึ้นเป็นการมุ่งเน้นความสนใจทางการตลาดหลักของรถถังหลัก T-90MS รุ่นปรับปรุงใหม่
การปรับปรุงต่างๆมีแรงบัลดาลใจโดยการปรับปรุงรถถังหลัก T-90M ของรัสเซียเองที่ได้เปิดตัวในงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Army 2023(Armiya 2023) นอกนครหลวง Moscow ในเดือนพฤษภาคม 2023

แบบจำลองรถถังหลัก T-90M ณ งานแสดง Army 2023 มีการประยุกต์ใช้อย่างเต็มรูปแบบอย่างมากของเกราะเสริมมาตรการป้องกันเชิงรับต่างๆ UVZ กล่าวในการประชุมสื่อของานแสดง IDEX 2025
ระบุว่าแนวคิดแบบดั้งเดิมที่ว่าการป้องกันของรถถังที่แข็งแกร่งสุดยอดที่สุดคือที่มุมด้านหน้าของรถ, ตามมาด้วยด้านข้างของรถ, และท้ายสุดกับด้านหลังรถมีความสำคัญน้อยที่สุดสำหรับการป้องกันนั้น 

แนวคิดดั้งเดิมนี้ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปในสนามรบปัจจุบันนี้ ตามที่ภัยคุกคามต่างๆได้เพิ่มขีดความสามารถที่จะเข้าหาเป้าหมายได้อย่างแม่นยำเพิ่มมากมากขึ้นต่อด้านข้างและด้านหลังที่เปราะบางของตัวรถ 
การเพิ่มความอยู่รอดของรถได้ขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาความเปราะบางดังกล่าว UVZ รัสเซียกล่าว(https://aagth1.blogspot.com/2019/11/t-90ms-469.html, https://aagth1.blogspot.com/2019/03/t-90m-2019.html)

ที่เห็นได้จากรถถังหลัก T-90MS MBT ที่ Rosoboronexport หน่วยงานด้านการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียนำมาจัดแสดง ณ งานแสดง IDEX 2025 ล่าสุดสิ่งที่โดดเด่นคือ
รถถังหลัก T-90MS บนป้อมปืนด้านบนได้รับการติดตั้งด้วยเกราะเสริมหลังคาที่ประกอบด้วยเกราะตาข่ายลูกกรง(Slat Armour) เสริมทับเกราะปฏิกิริยาแรงระเบิด ERA(Explosive Reactive Armour) และเพิ่มเกราะ ERA ด้านข้างและด้านหลังตัวรถครับ