วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

รัฐสภาอังกฤษตั้งคำถามต่อคำขู่สหรัฐฯที่จะยกเลิกการวางกำลังเครื่องบินขับไล่ F-35 เพราะ Huawei 5G จีน

UK parliament questions US threat to cancel F-35 deployments








Near-term plans for US Air Force and US Marine Corps F-35s to deploy to RAF Lakenheath and aboard HMS respectively could be scuppered over British government plans to allow Chinese company Huawei to build its national 5G network. Source: US Navy
https://www.janes.com/article/96004/uk-parliament-questions-us-threat-to-cancel-f-35-deployments

รัฐสภาสหราชอาณาจักรได้ตั้งคำถามต่อคำขู่ของสหรัฐฯที่จะยกเลิกแผนการวางกำลังระยะยาวของเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35 Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) ยังสหราชอาณาจักร
ตามการตัดสินใจของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะเปิดเครือข่าย 5G ระดับชาติที่จะพัฒนาโดยบริษัท Huawei สาธารณรัฐประชาชนจีน

Tobias Ellwood ประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมรัฐสภาสหราชอาณาจักรได้ส่งจดหมายต่อ Ben Wallace รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2020 ซึ่งเขาได้ถามถึงความชัดเจนต่อรายงานล่าสุดที่ว่า
วุฒิสมาชิกพรรค Republican สภา Congress สหรัฐฯได้กำลังเคลื่อนไหวที่จะระงับการวางกำลังอากาศยานทางทหารของกองทัพสหรัฐฯในประเทศที่ใช้งานเครือข่าย 5G และ 6G ของตนจากผู้ให้บริการที่มีความเสี่ยง

"ถ้ามันผ่าน นี่จะทำให้ไม่มีการวางกำลังระยะยาวของเครื่องบินขับไล่ F-35A กองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ที่ฐานทัพอากาศ Lakenheath กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร(RAF: Royal Air Force)
และน่าจะยังนำไปสู่คำถามสำหรับแผนที่เรือบรรทุกเครื่องบิน HMS Queen Elizabeth จะวางกำลังเครื่องบินขับไล่ F-35B นาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps)" จดหมายกล่าว(https://aagth1.blogspot.com/2018/10/f-35b-hms-queen-elizabeth.html)

"ผมแน่ใจว่าคุณเห็นด้วยกับผม ที่แม้ว่าการสนทนาความขัดแย้งเช่นนี้ระหว่างเรากับพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดที่สุดของเราไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในเวลาที่ความมั่นคงระดับโลกได้อยู่ในจุดตกต่ำที่สุดสำหรับยุคนี้
ผมควรจะขอบคุณถ้าหากว่าคุณสามารถจะชี้แจงได้ว่าอะไรที่รัฐบาล(สหราชอาณาจักร)กำลังทำ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าความคิดริเริ่มนี้จะไม่ได้รับผลักดันต่อไปข้างหน้า" จดหมายเสริม(https://aagth1.blogspot.com/2018/09/f-35b-hms-queen-elizabeth.html)

ตามการเน้นในจดหมายของ Ellwood ที่ได้เขียนขึ้นต่อการตอบสนองต่อรายงานที่เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph สหราชอาณาจักรว่า
วุฒิสมาชิกสภา Congress สหรัฐฯได้กำลังเคลื่อนไหวที่จะจำกัดการเปิดเผยข้อมูลทางทหารสหรัฐฯที่มีความอ่อนไหวในประเทศที่อนุญาติให้บริษัท Huawei จีนทำการสร้างเครือข่าย 5G ระดับชาติ

กองทัพสหรัฐฯกำลังมีแผนที่จะวางกำลังเครื่องบินขับไล่ยุคที่5 ระดับสูง F-35 อย่างน้องสองการวางกำลังในสหราชอาณาจักร(https://aagth1.blogspot.com/2017/04/f-35a.html)
ในเดือนพฤศจิกายน 2021 กองทัพอากาศสหรัฐฯมีกำหนดที่จะเริ่มต้นการวางกำลังเครื่องบินขับไล่ F-35A สองฝูงบินที่กองบินขับไล่ที่48 ณ ฐานทัพอากาศ RAF Lakenheath ใน Suffolk ครับ

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Boeing สหรัฐฯหารือการขายเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ AH-6i แก่ฟิลิปปินส์ และเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64E แก่ลูกค้าใหม่ในแปซิฟิก

Boeing discussing AH-6i sale to Philippines


Seen prior to delivery to Saudi Arabia, the AH-6i is now also being pitched to the Philippine Army. Source: Jane’s/Gareth Jennings (Photos: https://twitter.com/Ahmedhader)
https://www.janes.com/article/95960/boeing-discussing-ah-6i-sale-to-philippines

Boeing expects to sign new ‘Pacific’ customer for Apache helo


Boeing expects to add Morocco and one unidentified ‘Pacific’ customer to the international Apache user-group within the next 12 months, and has had high-level interest from 10 other nations. Source: Republic of Korea Army(Photos: https://www.flickr.com/photos/mil_k_im/)
https://www.janes.com/article/95961/boeing-expects-to-sign-new-pacific-customer-for-apache-helo

บริษัท Boeing สหรัฐฯกำลังอยู่ในการพูดคุยกับฟิลิปปินส์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ในการขายเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ AH-6i ของบริษัท เจ้าหน้าที่ของ Boeing กล่าวกับ Jane's เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2020
โดยที่ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้อนุมัติความเป็นไปได้ในการขายเฮลิคอปเตอร์โจมตี Boeing AH-64E Apache Guardian แก่กองทัพอากาศฟิลิปปินส์(PAF: Philippine Air Force) 6เครื่อง(https://aagth1.blogspot.com/2020/05/ah-64e-apache-ah-1z-viper.html)

Terry Jamison ผู้อำนวยการแผนกการขายนานาชาติอากาศยานขึ้นลงทางดิ่งของ Boeing กล่าวว่าบริษัทกำลังสำรวจความเป็นไปได้ของการขายเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ Boeing AH-6i แก่กองทัพบกฟิลิปปินส์(Philippine Army)
"เรากำลังทำงานรณรงค์อย่างแท้จริงกับฟิลิปปินส์ กองทัพบกฟิลิปปินส์ได้แสดงความสนใจในความสามารถ และเรากำลังตอบคำถามพวกเขาและให้ข้อมูลของเฮลิคอปเตอร์ แต่ผมไม่ต้องการจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ณ ขั้นนี้" Jamison กล่าว

ขณะที่กองทัพอากาศฟิลิปปินส์มีความต้องการเฮลิคอปเตอร์โจมตีสองเครื่องยนต์ทั้ง Apache และ Bell AH-1Z Viper ที่สหรัฐฯอนุมัติการขายเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2020 กองทัพบกฟิลิปปินส์กำลังมองที่จะจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบาเครื่องยนต์เดียว
กองทัพบกฟิลิปปินส์ยังไม่มีเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบาแบบนี้ประจำการ แต่การจัดหา AH-6i ถ้ามีขึ้นน่าจะมาทดแทนเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ MD 500MG ที่ปัจจุบันประจำการในกองทัพอากาศฟิลิปปินส์ 12เครื่องที่มีอายุการใช้งานมานาน

เฮลิคอปเตอร์ MD 500 นั้นยังเป็นเฮลิคอปเตอร์ตระกูล 'Little Bird' ที่มีพื้นฐานเช่นเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวน Hughes OH-6 Cayuse(Hughes Model 369 ในรุ่นพลเรือน) ที่ต่อยอดมาเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีเบา AH-6
ขณะที่ทั้งเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64E และเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ AH-6i จะสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาแบบโดดเดี่ยวขีดความสามารถสูงแก่กองทัพอากาศฟิลิปปินส์และกองทัพบกฟิลิปปินส์ตามลำดับ Jamison เน้นย้ำถึงการทำงานร่วมกันระหว่างเฮลิคอปเตอร์สองแบบนี้

ฮ.ลว./อว.AH-6i ติดตั้งระบบ Avionic และส่วนติดต่อผู้ใช้(HMI: Human-Machine Interface) เช่นเดียวกับ ฮ.จ.AH-64E อีกทั้ง AH-6i และ AH-64E ยังแบ่งปันระบบชุดคำสั่งภารกิจร่วมกันร้อยละ83 มากเพียงพอที่ Boeing ได้ระบุก่อนหน้านี้ว่า
"เมื่อ AH-6i ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา มันคิดว่ามันเป็นลูก Apache" การมีเฮลิคอปเตอร์ที่มีความใกล้ชิดกันสองแบบนี้จะสร้างผลประโยชน์สำหรับการสนับสนุน, การฝึก และการปฏิบัติการ

Boeing สหรัฐฯคาดจะได้รับการลงนามจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64 Apache จากผู้ใช้รายใหม่ที่บริษัทระบุเพียงว่าเป็นประเทศใน "ภูมิภาคแปซิฟิก" ตามที่ Jamison กล่าวกับ Jane's ว่า
ลูกค้าแถบแปซิฟิกที่ไม่เปิดเผยเป็นหนึ่งในสองผู้ใช้งานใหม่สำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตี Apache ที่ Boeing คาดว่าจะได้รับการลงนามสัญญาในอีก 12เดือนข้างหน้า ซึ่งลูกค้าใหม่หนึ่งรายได้รับการเปิดเผยก่อนหน้าว่าคือโมร็อกโก

"เราคาดว่าผู้ใช้งาน ฮ.Apache ทั่วโลก 16รายจะเพิ่มขึ้นเป็น 18รายในอีก 12เดือนข้างหน้า ตามที่เรามองที่จะเป็นการนำสองผู้ใช้รายใหม่เข้าสู่กลุ่มที่เราอยากจะเรียกว่า Team Apache
สองประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้ใช้ Apache ใหม่ทั้งหมดไม่ได้ลูกค้ารายเดิมที่มองการปรับปรุงเฮลิคอปเตอร์ที่มีเป็นมาตรฐาน AH-64E" Jamison กล่าวโดยเสริมว่าการเพิ่มลูกค้าสองรายใหม่เหล่านี้มีโอกาสในกรอบเวลาอนาคตอันใกล้มาก

ปัจจุบัน Boeing สหรัฐฯกำลังได้รับ "ความสนใจระดับสูง" จากลูกค้าใหม่ที่เป็นไปได้อีก 10รายสำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตี Apache "ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เพียงว่าลูกค้าที่เป็นไปได้เหล่านี้ได้มีเอกสารแจ้งของสภา Congress แล้ว" Jamison ย้ำ
สำหรับลูกค้าใหม่ที่มีความเป็นไปได้ในภูมิภาคแปซิฟิก ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯยังไม่มีการอนุมัติการขายอย่างเป็นทางการที่นอกเหนือจากที่ได้รับการเปิดเผยไปก่อนหน้านี้แล้ว

ออสเตรเลียเป็นที่ทราบว่ากำลังพิจารณาเฮลิคอปเตอร์โจมตีใหม่ทดแทนเฮลิคอปเตอร์โจมตี Airbus Helicopters Tiger จำนวน 22เครื่องของกองทัพบกออสเตรเลีย(Australian Army)(https://aagth1.blogspot.com/2019/07/tiger-arh.html)
เช่นเดียวกับบังคลาเทศที่เฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64E ได้รับคัดเลือก(https://aagth1.blogspot.com/2020/01/ah-64e-apache.html) ขณะที่บังคลาเทศไม่จัดเป็นประเทศกลุ่ม 'แปซิฟิก' แต่สามารถจัดเป็นประเทศกลุ่ม 'เอเชีย-แปซิฟิก' ได้

Jamison กล่าวกับ Jane's ว่าลูกค้าใหม่ที่ลึกลับดังกล่าวไม่ใช่ฟิลิปินส์ซึ่งได้รับอนุมัติการขายทั้ง ฮ.โจมตี Apache และ ฮ.โจมตี Viper ในข้างต้น ผู้ใช้งานเฮลิคอปเตอร์โจมตี Apache ที่มีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกประกอบด้วย
อินเดีย(https://aagth1.blogspot.com/2019/09/ah-64e.html), อินโดนีเซีย(https://aagth1.blogspot.com/2017/05/ah-64e-apache-guardian.html), ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, สาธารณรัฐเกาหลี และไต้หวันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

กองทัพเรือไทยจะซื้อปืนเล็กยาว AK-201 รัสเซียสำหรับทหารพรานนาวิกโยธิน


Russian Kalashnikov AK-201 5.56x45mm assault rifle. (Kalashnikov Group)




Proactive Operation Company, Marine Paramilitary Regiment, Royal Thai Marine Division, Royal Thai Navy.(https://www.facebook.com/Blacknavy63/)

Naval Ordnance Department, Royal Thai Navy announced to acquire 500 Russian Russian Kalashnikov AK-201 5.56x45mm assault rifles for Marine Paramilitary Regiment, Royal Thai Marine Corps (Eastern Area Task Force).
ซื้อปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มม.(AK201)สำหรับ ทพ.นย.(ภาค ตอ.) จำนวน 500 กระบอก 
http://www.supplyonline.navy.mi.th/pdf2/42556.pdf
http://www.supplyonline.navy.mi.th/pdf4/42556.pdf

ศูนย์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างและราคากลางกองทัพเรือไทย ออกเอกสารเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๓(2020) ถึงโครงการจัดซื้อปืนเล็กยาวขนาด 5.56x45mm แบบ AK-201 จำนวน ๕๐๐กระบอก สำหรับทหารพรานนาวิกโยธิน(ภาคตะวันออก)
โดย กรมสรรพาวุธทหารเรือ เป็นวงเงิน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐บาท($1,387,240.65) คิดเป็นราคาเฉลี่ยต่อหน่วย ๙๐,๐๐๐บาท($2,774.65) แหล่งที่มาราคากลาง บริษัท เอชแอนด์พี มิลสเปก จำกัด(H&P Milspec Company Limited) ไทย
การกำหนดร่างขอบเขตของงาน(TOR: Terms of Reference) จัดซื้อปืนเล็กยาวขนาด 5.56mm (AK-201) สำหรับ ทพ.นย.(ภาคตะวันออก) จำนวน ๕๐๐กระบอก มีดังนี้

กองทัพเรือ โดยกรมสรรพาวุธทหารเรือ มีความประสงค์จัดซื้อปืนเล็กยาวขนาด 5.56mm(AK-201) สำหรับทหารพรานนาวิกโยธิน(ภาคตะวันออก) จำนวน ๕๐๐กระบอก เพื่อสนับสนุนให้แก่หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธินภาคตะวันออก ใช้ในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
เป็นปืนเล็กยาวที่มีขนาดความกว้างปากลำกล้อง 5.56mm ใช้ยิงกับลูกปืนขนาด 5.56x45mm มาตรฐาน NATO M855/SS109 มีความแข็งแรงทนทานต่อการปฏิบัติการทางทหารในทุกสภาพพื้นที่ปฏิบัติการ แม้ขณะเปียกน้ำ คลุกโคลน หมกทราย โดยไม่เสียสมรรถนะการยิง

คุณลักษณะเฉพาะ
๑.ขนาดความกว้างปากลำกล้องปืน 5.56mm
๒.ระบบการทำงานแบบระบบก้านลูกสูบยาวยึดติดกับลูกเลื่อน(Long Stroke Gas Piston)
๓.เกลียวลำกล้องเป็นแบบเกลียววนตามเข็มนาฬิกา ๔เกลียว หมุนครบรอบที่ระยะ 415mm
๔.ความยาวลำกล้องไม่มากกว่า 415mm
๕.ความยาวของปืนทั้งกระบอกไม่มากกว่า 845mm
๖.ศูนย์หน้าแบบแกนเหล็ก ศูนย์หลังแบบปรับได้
๗.ปลอกลดแสงแบบ Birdcage Flashider
๘.บรรจุลูกปืนด้วยซองบรรจุลูกปืน(Magazine)
๙.คันบังคับการยิงสามารถปรับระดับการยิงได้ ๓ระดับคือ ตำแหน่งบนสุดห้ามไก(Safe) ตำแหน่งกลางคืออัตโนมัติ(Automatic) และตำแหน่งล่างสุดคือยิงที่ละนัด(Semi-Auto)
๑๐.อัตราเร็วในการยิง(Cycle Rate of Fire) ไม่น้อยกว่า ๗๐๐นัด/นาที
๑๑.น้ำหนักปืนทั้งกระบอก(ไม่รวมซองบบรจุลูกปืน) ไม่มากกว่า 4.1kg
๑๒.พานท้ายปืนยืดหดได้ ๔ตำแหน่ง สามารถพับได้ เพื่อความคล่องตัวในการใช้งาน
๑๓.รางมาตรฐานแบบ Picatinny Rail หรือราง Mil-STD-1913 ที่ด้านบนโครงปืนและด้านล่างฝาปะกับเพื่อติดกล้องเล็งติดปืนและเครื่องยิงลูกระเบิดได้ สีของโครงปืนเป็นสีดำ

อุปกรณ์ประกอบ ปืนทุกกระบอกต้องมีอุปกรณ์ประจำปืนดังนี้
๑.ชุดเครื่องมือทำความสะอาด จำนวน ๑ชุด ประกอบด้วย
   ๑.๑.ตัวให้นำมันแบบพลาสติก จำนวน ๑อัน
   ๑.๒.แปรงขัด จำนวน ๑อัน
   ๑.๓.ไขควง จำนวน ๑อัน
   ๑.๔.แปรงทำความสะอาดปากกระบอกลำกล้อง จำนวน ๑อัน
   ๑.๕.ก้านเหล็ก จำนวน ๑อัน
๒.สายสะพายแบบปรับได้ จำนวน ๑เส้น
๓.มือจับหน้า จำนวน ๑อัน
๔.ดาบปลายปืน จำนวน ๑เล่ม
๕.กระเป๋าเก็บซองกระสุนและตัวให้น้ำมัน Oiler จำนวน ๑ใบ
๖.ซองบรรจุลูกปืนขนาดบรรจุ ๓๐นัด จำนวน ๕ซอง
๗.คู่มือในการใช้งานการบำรุงรักษาและการซ่อมบำรุงเป็นภาษาอังกฤษ จำนวน ๑เล่ม/กระบอก และคู่มือแปลเป็นภาษาไทย จำนวน ๑เล่ม/กระบอก

ปืนเล็กยาว AK-201 เป็นปืนเล็กในตระกูล AK-200 สำหรับส่งออกที่ Kalashnikov Group ผู้พัฒนาและผลิตอาวุธปืนรัสเซียเปิดตัวในปี 2018 ที่พัฒนาต่อจากปืนเล็กตระกูล AK-100 โดยปืนเล็กยาว AK-200 ใช้กระสุนขนาด 5.45x39mm และปืนเล็กยาว AK-203 ใช้กระสุนขนาด 7.62x39mm
เป็นที่เข้าใจว่า ทพ.นย.ภาคตะวันออก จะนำปืนเล็กยาว AK-201 มาทดแทนปืนเล็กยาว AKMS รัสเซีย/Type 56-I จีนที่ใช้มานานและล้าสมัย โดยปืนเล็กตระกูล AK-200 มีการนำคุณสมบัติบางอย่างจากปืนเล็กยาว AK-12 มาใช้(https://aagth1.blogspot.com/2015/01/ak-12-ak-103-4.html)
มีข้อสังเกตว่าปืนเล็กยาว AK-201 ที่รวมอุปกรณ์พื้นฐานมีราคาต่อกระบอก ๙๐,๐๐๐บาทนั้น ใกล้เคียงกับปืนเล็กยาว AK-102 ขนาด 5.56x45mm ที่ กองอาสารักษาดินแดน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดหา ๑,๘๐๐กระบอก ในปี พ.ศ.๒๕๕๓(2010) ทีมีราคาต่อกระบอก ๘๐,๐๐๐บาทครับ(https://aagth1.blogspot.com/2018/02/kalashnikov-ak-100.html)

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Boeing สหรัฐฯและออสเตรเลียเปิดตัวอากาศยานไร้คนขับ Loyal Wingman

Boeing Rolls Out First Loyal Wingman Unmanned Aircraft
Prototype will advance Boeing’s global Airpower Teaming System

Boeing Australia has built the first of three Loyal Wingman aircraft, which will serve as the foundation for the Boeing Airpower Teaming System being developed for the global defense market.

The aircraft are designed to fly alongside existing platforms and use artificial intelligence to conduct teaming missions. (Boeing photos)
https://boeing.mediaroom.com/2020-05-05-Boeing-rolls-out-first-Loyal-Wingman-unmanned-aircraft#assets_20295_130677-117


บริษัท Boeing Australia สหรัฐฯ-ออสเตรเลียนำทีมภาคอุตสาหกรรมออสเตรเลียได้เปิดตัวอากาศยานไร้คนขับ Loyal Wingman เสนอแก่กองทัพอากาศออสเตรเลีย(RAAF: Royal Australian Air Force)
นับเป็นก้าวย่างประวัติศาสตร์สำหรับบริษัท Boeing และเครือจักรภพรัฐออสเตรเลีย(https://aagth1.blogspot.com/2020/04/boeing-loyal-wingman.html, https://aagth1.blogspot.com/2019/02/boeing-airpower-teaming-system.html)

อากาศยานซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI: Artificial Intelligence) เพื่อขีดความสามารถของระบบแบบมีคนขับและไร้คนขับ เป็นครั้งแรกที่ได้ถูกออกแบบ, วิศวกรรม และผลิตในออสเตรเลียในเวลามากกว่า 50ปี เป็นการลงทุนในอากาศไร้คนขับที่ใหญ่ที่สุดของ Boeing นอกสหรัฐฯ
ในฐานะต้นแบบเครื่องแรกจากสามเครื่องสำหรับโครงการพัฒนาก้าวหน้าคู่บินภักดี(Loyal Wingman-Advanced Development Programme) อากาศยานจะถูกใช้ในฐานะการจัดตั้งสำหรับ Boeing Airpower Teaming System(ATS) ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตลาดความมั่นคงทั่วโลก

"นี่เป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่แท้จริงสำหรับประเทศเราและสำหรับการลงทุนความมั่นคงออสเตรเลีย Loyal Wingman จะเป็นจุดสำคัญเพื่อสำรวจขีดความสามารถที่สำคัญของกองทัพอากาศเราเพื่อปกป้องชาติเราและพันธมิตรของเราในอนาคต" Scott Morrison นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าว
พลอากาศโท Mel Hupfeld ผู้บัญชาการกองทัพอากาศออสเตรเลีย กล่าวถึงการอากาศยานต้นแบบเครื่องแรกว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญในโครงการ Boeing Loyal Wingman

"โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของนวัตกรรมผ่านความร่วมมือและการที่สามารถบรรลุผลการทำงานร่วมกันกับภาคอุตสาหกรรมความมั่นคง สิ่งนี้แสดงถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ที่กองทัพอากาศออสเตรเลียมีกับ Boeing Australia และภาคอุตสาหกรรมความมั่นคงในวงกว้างมาก
ผมมองไปข้างหน้าเพื่อสำรวจขีดความสามารถของอากาศยานนี้ที่อาจจะนำเข้ามาสู่ฝูงบินที่เรามีอยู่ในอนาคต" พลอากาศโท Hupfeld กล่าว สมาชิกมากกว่า 35รายของภาคอุตสาหกรรมออสเตรเลียได้สนับสนุนการทำงานเครื่องต้นแบบตลอดทั้งสี่รัฐของออสเตรเลีย

ด้วยความต้องการตลาดทั่วโลกสำหรับอากาศไร้คนขับขีดความสามารถสูงแต่มีราคาเหมาะสมอย่างยิ่ง Boeing ได้ประยุกต์นวัตกรรมหลายอย่างของบริษัทเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ อากาศยานได้ถูกวิศวกรรมโดยใช้ Digital คู่
เพื่อสร้างแบบจำลองของโครงสร้าง, ระบบ, ขีดความสามารถ และความต้องการตลอดอายุการใช้งาน การผลิตโดยชิ้นวัสดุผสมเดี่ยวแบบ Resin หล่อที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีของ Boeing และการประกอบโดยการใช้กระบวนการผลิตขั้นก้าวหน้าที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

"เราภูมิใจที่นำก้าวย่างไปข้างหน้าที่สำคัญนี้กับกองทัพอากาศออสเตรเลียและแสดงศักยภาพสำหรับการอากาศยานไร้คนขับที่เป็นทีมอัจฉริยะเพื่อใช้ในฐานะตัวทวีกำลังรบ เรามองไปข้างหน้าเพื่อนำอากาศยานเข้าสู่การทดสอบการบินและพิสูจน์ถึงแนวคิดการเป็นทีมไร้คนขับ
เรามองถึงพันธมิตรทั่วโลกด้วยความต้องการทางภารกิจเช่นเดียวกันเหล่านี้ซึ่งเป็นที่ว่าทำไม่โครงการนี้จึงมีความสำคัญต่อความก้าวหน้าการพัฒนาระบบ Boeing ATS" Kristin Robertson รองประธานและผู้จัดการทั่วไปแผนกระบบอัตโนมัติของ Boeing Defense, Space & Security กล่าว

เครื่องต้นแบบอากาศยานไร้คนขับ Loyal Wingman ขณะนี้ได้เข้าสู่การทดสอบภาคพื้นดิน ที่จะตามมาด้วยการทดสอบการเคลื่อนที่บนทางขับ และการทำการบินครั้งแรกภายหลังในปี 2020 นี้ โดยมีมูลค่าโครงการระยะที่1 ที่วงเงิน A$40 million($25.7 million)
อากาศยานไร้คนขับ Loyal Wingman มีความยาว 11.7m และมีพิสัยปฏิบัติการมากกว่า 3,000km ซส่วนหัวเครื่องความยาว 2.59m พื้นที่ภายใน 1.47ตารางเมตร เป็นระบบสถาปัตยกรรมเปิดที่สามารถปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ติดตั้งภายในได้ตามความต้องการภารกิจ

กองทัพอากาศออสเตรเลียมีแผนที่จะนำขีดความสามารถ-ของ Loyal Wingman มาเพิ่มขยายการหยั่งรู้สถานการณ์และความอยู่รอดของอากาศยานแบบมีคนขับของตน เช่น เครื่องบินขับไล่ Boeing F/A-18F Super Hornet, เครื่องบินโจมตี Electronic แบบ Boeing EA-18G Growler,
เครื่องบินแจ้งเตือนทางอากาศ Boeing E-7A Wedgetail, เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเล Boeing P-8A Poseidon และเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-35A Lightning II Joint Strike Fighter(JSF) ครับ

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

กองทัพอากาศสหรัฐฯมีแผนปรับปรุง M7.2+ แก่เครื่องบินขับไล่ F-16 มากกว่า 600เครื่อง

USAF releases M7.2+ upgrade to more than 600 F-16s

An OFP M7.2+ standard F-16 undergoing pre-release flight trials. The USAF plans to roll out the upgrade to more than 600 of its F-16 aircraft. Source: US Air Force
https://www.janes.com/article/95828/usaf-releases-m7-2-upgrade-to-more-than-600-f-16s

กองทัพอากาศสหรัฐฯ(USAF: US Air Force) ได้ออกแผนการปรับปรุงชุดคำสั่งและสิ่งอุปกรณ์ล่าสุดสำหรับเครื่องบินขับไล่ Lockheed Martin F-16 Fighting Falcon มากกว่า 600เครื่อง
กองทัพอากาศสหรัฐฯเปิดเผยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2020 ถึงการปรับปรุงโครงการบินปฏิบัติการ(OFP: Operational Flight Program) M-series 7.2+ แก่เครื่องบินขับไล่ F-16 ของตน

การปรับปรุง OFP M7.2+ ถูกกำหนดขึ้นสำหรับการปรับปรุงความทันสมัยแก่เครื่องบินขับไล่ F-16C/D Block 40/42/50/52 ในปัจจุบันถูกเผยแพร่ในเดือนเมษายน 2020 ตามโครงการพัฒนาวงเงิน $455 million
ที่นำโดยสำนักงานโครงการระบบ F-16(SPO: System Program Office) ที่มีที่ตั้งทั้งที่ฐานทัพอากาศ Hill AFB(Air Force Base) ในมลรัฐ Utah และฐานทัพอากาศ Wright-Patterson AFB ในมลรัฐ Ohio

ตามการเน้นโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ OFP M7.2+ จะเพิ่มขยายขีดความสามารถหลัก 42รายการเข้ากับเครื่องขับไล่ F-16 รุ่นเก่ารวมถึง AESA(Active Electronically Scanned Array) radar แบบ Northrop Grumman AN/APG-83
(การปรับปรุงติดตั้ง AESA radar ใหม่ถือเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดสำหรับกองบัญชาการเหนือ(USNORTHCOM: United States Northern Command) กองทัพสหรัฐฯ),

ขีดความสามารถการใช้อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้นร่อนพิสัยไกล Lockheed Martin AGM-158B JASSM-ER(Joint Air-To-Surface Standoff Missile Extended Range)
และขีดความสามารถการใช้อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-120D AMRAAM(Advanced Medium-Range Air-to-Air Missile) รุ่นใหม่ล่าสุด

สำนักงานโครงการระบบ F-16 SPO, กลุ่มวิศวกรรมชุดคำสั่งที่309(309th SWEG: Software Engineering Group), กำลังทดสอบผสม OFP(CTF: Combined Test Force) รวมถึงศูนย์ทดสอบการพัฒนากองทัพอากาศ, กองบินปฏิบัติการทดสอบที่53
และศูนย์ทดสอบกองกำลังป้องกันชาติทางอากาศและกองกำลังทางอากาศสำรอง(ANG: Air National Guard/AFR: Air Force Reserve) เป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาและวางกำลังการปรับปรุงขีดความสามารถชุดคำสั่ง กองทัพอากาศสหรัฐฯกล่าว

OFP M7.2+ ได้รับการพัฒนาเป็นการภายในทั้งหมดสำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยกำลังทดสอบผสม OFP CTF มีที่ตั้ง ณ ฐานทัพอากาศ Eglin AFB ในมลรัฐ Florida
ได้มีการดำเนินการบินมากกว่า 4,200เที่ยวบิน และเป็นเวลามากกว่า 4,600ชั่วโมงบิน รวมถึงการมีส่วนร่วมในการฝึก Northern Edge 2019

OFP M7.2+ เป็นส่วนหนึ่งของแผนกระบวนการปรับปรุงความทันสมัยหลายๆอย่างสำหรับเครื่องบินขับไล่ F-16 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่รวมถึงโครงการยืดอายุการใช้งาน(SLEP: Service-Life Extension Programme)
ที่จะยืดอายุการใช้งานของเครื่องบินขับไล่ F-16C/D Block 40/42/50/52 ถึง 841เครื่องจากปัจจุบันที่ 8,000ชั่วโมง เป็นเกือบ 14,000ชั่วโมงครับ

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

กองทัพเรือสหรัฐฯเลือกแบบเรือ FREMM อิตาลีสำหรับโครงการเรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถี FFG(X) ใหม่

US Navy Awards Guided Missile Frigate (FFG(X)) Contract
200430-N-NO101-150 WASHINGTON (April 30, 2020) An artist rendering of the guided-missile frigate FFG(X). (U.S. Navy graphic/Released)



The new small surface combatant will have multi-mission capability to conduct air warfare, anti-submarine warfare, surface warfare, electronic warfare, and information operations.
https://www.navy.mil/submit/display.asp?story_id=112820


กองทัพเรือสหรัฐฯ(USN: US Navy) ประกาศสัญญาการออกแบบและผลิตเรือรบผิวน้ำขนาดเล็กยุคหน้าโครงการเรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถี FFG(X) วงเงิน $795 million เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2020
สัญญาสำหรับการออกแบบรายละเอียดและการสร้าง(DD&C: Detail Design and Construction) เรือฟริเกตถึง 10ลำ(ประกอบด้วยเรือพื้นฐาน 1ลำ และเรือตัวเลือก 9ลำ) ถูกประกาศแก่อู่เรือบริษัท Marinette Marine Corporation(MMC) ใน Marinette มลรัฐ Wisconsin กองทัพเรือสหรัฐฯประกาศ

"เรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถี FFG(X) ของกองทัพเรือสหรัฐฯจะเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญของกองเรือในอนาคตของเรา FFG(X) เป็นวิวัฒนาการของเรือรบผิวน้ำขนาดเล็กของกองทัพเรือสหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มอำนาจการสังหาร, ความอยู่รอด และเพิ่มพูนขีดความสามารถ
เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์กลาโหมแห่งชาติตลอดทั้งการปฏิบัติการทางทหารที่หลากหลายอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ต้องสงสัยว่ามันช่วยเราดำเนินการกระจายปฏิบัติการทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้เราสามารถต่อสู้ทั้งการแข่งขันในสภาพแวดล้อมทะเลหลวง(Blue-Water)และชายฝั่ง
ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐฯ(CNO: Chief of Naval Operations) พลเรือเอก Mike Gilday กล่าว

เรือฟริเกต FFG(X) จะมีขีดความสามารถพหุภารกิจที่จะดำเนินปฏิบัติการสงครามต่อต้านภัยทางอากาศ, ปราบเรือดำน้ำ, ต่อต้านเรือผิวน้ำ, สงคราม Electronic(EW: Electronic Warfare) และปฏิบัติการสารสนเทศ(IO: information operations)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบอุปกรณ์และอาวุธประจำเรือจะประกอบด้วย Radar ตรวจการณ์ทางอากาศ EASR(Enterprise Air Surveillance Radar), ระบบอำนวยการรบ AEGIS Baseline Ten(BL10), แท่นยิงแนวดิ่ง Mk 41 VLS(Vertical Launch System), ระบบสื่อสาร,
ระบบควบคุมการยิงปืนเรือ MK 57 GWS(Gun Weapon System) และเพิ่มขีดความสามารถในภาคส่วน EW/IO ด้วยการออกแบบที่ยืดหยุ่นสำหรับการเติบโตในอนาคต

"ผมภูมิใจอย่างยิ่งต่อการทำงานอย่างหนักจากทีมความต้องการ, จัดซื้อจัดจ้าง และสร้างเรือ ที่มีส่วนร่วมในการแข่งขันที่เต็มนูปแบบและเปิด ทำให้กองทัพเรือสหรัฐฯสามารถจะสร้างการตัดสินใจที่สำคัญวันนี้ได้
ตลอดขั้นตอนนี้ ทีมรัฐบาลสหรัฐฯและหุ้นส่วนภาคอุตสาหกรรมเราได้ดำเนินการปฏิบัติทั้งหมเด้วยความสำนึกเร่งด่วนและมีเป็นระเบียบ การส่งมอบการประกาศสัญญานี้มีขึ้น 3เดือนก่อนกำหนดการ
จุดมุ่งเน้นที่เข้มงวดของทีมต่อราคา, การจัดซื้อจัดจ้าง และทางเทคนิคที่เข้มงวดทำให้รัฐบาลสหรัฐฯส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดต่อผู้เสียภาษีเช่นที่เราส่งมอบเรือฟริเกตยุคหน้าขีดความสามารถสูงแก่นักรบของเรา"
James Geurts รัฐมนตรีช่วยด้านการวิจัย, พัฒนา และจัดซื้อจัดจ้างทบวงกองทัพเรือสหรัฐฯกล่าว

กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับโครงการเรือฟริเกต FFG(X) เริ่มต้นในปี 2017 ตั้งแต่นั้นกองทัพเรือสหรัฐฯได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสมดุลราคาและขีดความสามารถ วิธีนี้ประสบความสำเร็จในการบรรลุราคาเฉลี่ยตามมาตลอดเรือ 2-20 ที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ใน CDD และจัดตำแหน่งต่อการแถลงเป้าหมายยุทธศาสตร์กลาโหมแห่งชาติของการบรรลุอำนาจการสังหาร,ยืดหยุ่น และว่องไวที่มากขึ้น โดยการผลักดันยุทธศาสตร์การจัดซื้อจัดจ้างเพื่อสร้างเรือที่รวดเร็วและราคาเหมาะสมมากขึ้น
ตัวอย่างเช่นเพราะโครงการจัดหาเรือฟริเกตส่งเสริงการแข่งขันการสร้างเรือรวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคอุตสาหกรรมช่วงต้น และการสื่อสารเปิดระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โครงการสามารถทำให้เร่งเวลาให้เร็วขึ้นได้เกือบ 6ปีเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการสร้างเรือปกติ

กองทัพเรือสหรัฐออกเอกสารขอข้อเสนอ(RFP: Request for Proposals) การออกแบบรายละเอียดและการสร้างโครงการเรือฟริเกต FFG(X) ต่อภาคอุตสาหกรรมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2019
ข้อเสนอทางเทคนิคได้รับในเดือนสิงหาคม 2019 และข้อเสนอราคาได้ีรับในเดือนกันยายน 2019 นี่เป็นการแข่งขันแบบเต็มรูปแบบและเปิดเผยโดยกองทัพเรือสหรัฐฯรับข้อเสนอที่หลากหลาย(https://aagth1.blogspot.com/2018/02/ffgx-5.html)

สี่บริษัทที่เสนอแบบเรือของตนแข่งขันในโครงการ FFG(X) กองทัพเรือสหรัฐฯประกอบด้วยบริษัท Huntington Ingalls สหรัฐฯ, บริษัท Austal USA ออสเตรเลีย-สหรัฐฯ, บริษัท General Dynamics Bath Iron Works สหรัฐฯ และบริษัท Fincantieri ในเครือ Leonardo อิตาลี
Fincantieri อิตาลีผู้ชนะโครงการได้เสนอแบบเรือ FREMM(Fregata Europea Multi-Missione) ที่ประจำการในกองทัพเรืออิตาลี(Italian Navy, Marina Militare) ในชื่อเรือฟริเกตชั้น Carlo Bergamini และกองทัพเรือฝรั่งเศส(French Navy, Marine Nationale) ในชื่อเรือฟริเกตชั้น Aquitaine
รวมถึงส่งออกให้กองทัพเรืออียิปต์(https://aagth1.blogspot.com/2015/06/dcns-fremm.html, https://aagth1.blogspot.com/2014/11/fremm.html) ในชื่อเรือฟริเกต Tahya Misr(เดิมคือเรือฟริเกต D651 Normandie ฝรั่งเศส) และกองทัพเรือโมร็อกโกในชื่อเรือฟริเกต Mohammed VI ครับ

คุณลักษณะทางเทคนิคแบบเรือฟริเกตเอนกประสงค์ FREMM อิตาลีสำหรับเรือฟริเกต FFG(X) กองทัพเรือสหรัฐฯ
ความยาวตัวเรือรวม: 496ft.(142.95m)
ความกว้างตัวเรือรวม: 65ft.(19.8m)
ระวางขับน้ำ: ประมาณ 7,500tonnes
ระบบขับเคลื่อน: CODLAG(Combined Diesel-electric and Gas)
ความเร็วสูงสุด: 26+knots
ความเร็วมัธยัสถ์(ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า): 16+knots
ความเร็วเสริม(ระบบขับดันที่หัวเรือ): 5knots
พิสัยทำการที่ความเร็วมัธยัสถ์(ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า): 6,000+nmi
กำลังพลประจำเรือ: 200นาย
อาวุธ:
-ปืนเรือ MK 110 ขนาด 57mm(Bofors 57mm Mk 3 สวีเดน)
-แท่นยิงแนวดิ่ง Mk 41 VLS รวม 32ท่อยิง
-อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ Naval Strike Missile(NSM) (พัฒนาโดยบริษัท Kongsberg นอร์เวย์) 8-16นัด(https://aagth1.blogspot.com/2018/06/nsm-lcs.html)
-ระบบป้องกันระยะประชิด CIWS(Close In Weapon System) อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ RIM-116 RAM(Rolling Airframe Missile) ในแท่นยิงแบบ Mk 49 ความจุ 21นัด
โรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือรองรับเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทางทะเล Sikorsky MH-60R Seahawk ได้ 2ลำ รวมถึง Sonar ลากท้าย และเป้าลวง MK 53 MOD 9 NULKA

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เรือดำน้ำนิวเคลียร์ชั้น Barracuda ลำแรก Suffren ฝรั่งเศสเริ่มทดลองเรือในทะเล

The SSN Suffren starts its sea trials








The sea trials of the Suffren, the first Barracuda-class nuclear attack submarine, have just begun.
https://www.naval-group.com/en/news/the-ssn-suffren-starts-its-sea-trials/


การทดลองเรือในทะเลของเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Barracuda ลำแรก Suffren ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เรือดำน้ำโจมตีนิวเคลียร์ชั้น Barracuda ทั้งหมด 6ลำจะเข้าประจำการในกองทัพเรือฝรั่งเศส(French Navy, Marine Nationale) ภายในปี 2030
สำนักงานจัดหากลาโหมฝรั่งเศส(DGA) และกองทัพเรือฝรั่งเศสจะทดสอบสมรรถนะของเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ Suffren SSN ในทะเลก่อนการส่งมอบเธอภายหลังในปี 2020 นี้

"การทดลองเรือในทะเลครั้งแรกของเรือดำน้ำ Sufrren เป็นแหล่งที่มาของความความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับพนักงานของ Naval Group และหุ้นส่วนของพวกเขา ผมปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งสำหรับความพยายามของทีมเรา
พวกเขาสร้างความเป็นไปได้เพื่อเริ่มต้นกาทดลองเหล่านี้ในขณะที่เคารพในการปฏิบัติตามมาตรการด้านสุขภาพและความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องลูกเรือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งสมาชิก Naval Group
การทดลองเหล่านี้เป็นการพิสูจน์เพิ่มเติมของความมุ่งมั่นของ Naval Group ต่อกองทัพเรือฝรั่งเศส, DGA เช่นเดียวกับ คณะกรรมการพลังงานปรมาณูและพลังงานทดแทน(CEA), TechnicAtome และภาคอุตสาหกรรมความมั่นคงรายอื่นๆ
เรากำลังดำเนินการทดลองเรือในทะเลร่วมกันร่วมกันที่จะนำไปสู่การส่งมอบเรือดำน้ำ Sufrren และมุ่งมั่นที่จะสร้างเรือดำน้ำ 5ลำในชั้นนี้ ซึ่งเป็นลำดับความสำคัญหลักของบริษัท" Pierre Eric Pommellet ประธานและผู้อำนวยการบริหารบริษัท Naval Group ฝรั่งเศสกล่าว

การทดลองเรือครั้งแรกเป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับโครงการ Barracuda 
ชุดการทดลองเรือในทะเลนี้มีขึ้นตามมาจากการเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ซึ่งมีขึ้นในเดือนธันวาคม 2019 และการทดสอบในอู่เรือที่ดำเนินมาตั้งแต่การปล่อยเรือลงน้ำเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2019(https://aagth1.blogspot.com/2019/07/barracuda-suffren.html)
การปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องมีขึ้นในโรงงานประกอบเรือ เช่นเดียวกับอู่แห้งและอู่มีน้ำเข้าเพื่อทดสอบอุปกรณ์และระบบเช่นระบบการรบ การทดลองได้ดำเนินการโดยทีมร่วมจาก Naval Group, TechnicAtome และเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส

การทดลองเรือในทะเลเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งที่มีขึ้นของการรับรองคุณสมบัติการติดตั้งระบบประจำเรื่อสำหรับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และมุ่งเป้าเพื่อสร้างความมั่นใจ
-ความหนาแน่นของน้ำในสภาพแวดล้อมใต้น้ำและความคล่องแคล่วการเคลื่อนที่
-สมรรถนะของระบบการรบ, อาวุธทางยุทธวิธี และอุปกรณ์ High-Tech ทั้งหมดซึ่งติดตั้งประจำบนเรือดำน้ำโจมตีพลังงนิวเคลียร์ยุคหน้านี้
-สมรรถนะเต็มรูปแบบของขีดความสามารถการปฏิบัติการของระบบเรือ
Suffren เป็นเรือลำแรกของชั้่นที่มีจุดประสงค์เพื่อทดแทนเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Ruby โดย Naval Group รับหน้าที่ในการสร้างเรือชั้นนี้ จากการออกแบบสู่การสร้างเรือและระบบสารสนเทศ การสร้างส่วนประกอบหลักของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เช่นเดียวกับการบำรุงรักษาเรือที่ Toulon

การตอบสนองต่อความท้าทายทางอุตสาหกรรมท่ามกลางวิกฤตสุขภาพ
การทดลองเรือในทะเลของเรือดำน้ำ Sufrren SSN เป็นลำดับความสำคัญของกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศส Naval Group นำมาตรการหลายชุดมาใช้เพื่อป้องกันสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานในคำสั่งเพื่อปฏิบัติงานต่อเนื่องระหว่างวิกฤตสุขภาพ Covid-19
ตั้งแต่ 16 มีนาคม 2020 มาตรการรักษาความปลอดภัยหลายชุดได้ถูกนำมาปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนอุตสาหกรรมต่อเนื่องของ Naval Group สำหรับโรงงานใน Cherbourg และโครงการ Barracuda
ขั้นตอนยังดำเนินการร่วมกับเจาหน้าที่ด้านการดูแลสุขภาพเพื่อความมั่นใจในสุขภาพและความปลอดภัยของทีม การดำเนินการรวมถึงตัวอย่างเช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสุขอนามัยและการฆ่าเชื้อโรค และข้อบังคับการใช้หน้ากากอนามัยที่จำเป็น
นอกจากนี้มาตรการการแยกตนเองและทดสอบคัดกรองได้ถูกนำมาใช้กับสมาชิกอุตสาหกรรม, เจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดของทีมที่มีส่วนในการทดลองเรือในทะเล สุดท้ายดำเนินการทดลองเรือในทะเลได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยลดบุคคลากรประจำเรือลงร้อยละ20

Suffren ก้าวกระโดดของวิทยาการและขีดความสามารถ
Suffren เป็นหนึ่งในเรือดำน้ำที่มีคุณสมบัติตรวจจับได้ยากที่สุดในโลก ดุลยพินิจนี้ผสมผสานด้วยขีดความสามารถการตรวจจับขั้นก้าวหน้าของเรือ รับประกันความเหนือกว่าด้านการรับฟังสัญญาณเสียงของเรือ
เรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Suffren ทำให้เป็นครั้งแรกที่กองทัพเรือฝรั่งเศสจะมีขีดความสามารถในการโจมตีทางลึกด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนทางเรือ MdCN(Naval Cruise Missile) ของบริษัท MBDA ยุโรป
เรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์รุ่นล่าสุดยังสามารถที่จะวางกำลังหน่วยรบพิเศษใต้น้ำอย่างรอบคอบ ต้องขอบคุณโดยเฉพาะกับ "ฝาปิดเปิดนักดำน้ำ"(divers hatch) และการติดตั้งห้องอู่แห้ง(dry deck shelter) เสริมภายนอกสำหรับการวางกำลังยานใต้น้ำได้
ความสุขุม, ความคล่องแคล่ว และการเคลื่อนที่มากขึ้น Suffren เป็นระบบเรือดำน้ำยุคใหม่ล่าสุดที่รวมความเป็นศูนย์การและการควบคุมขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติมากขึ้นครับ

คุณลักษณะทางเทคนิคเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Suffren
ระวางขับน้ำที่ผิวน้ำ: 4,700tonnes
ระวางขับน้ำขณะดำใต้น้ำ: 5,300tonnes
ความยาวตัวเรือ: 99m
เส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือ: 8.8m
อาวุธ: อาวุธปล่อยนำวิถีร่อนโจมตีภาคพื้นดินยิงจากเรือใต้น้ำ Naval Cruise Missile, Torpedo หนักนำวิถีเส้นลวด F21 และอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำยิงจากเรือดำน้ำ Exocet SM39 รุ่นปรับปรุงใหม่
ระบบขับเคลื่อน Hybrid:
เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำความดันสูงที่มีพื้นฐานจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ติดตั้งกับเรือดำน้ำติดขีปนาวุธพลังงานนิวเคลียร์ SSBN ชั้น Triomphant และเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ Charles-de-Gaulle,
สองระบบขับเคลื่อนกังหัน Turbine, สองเครื่องกำเนิดพลังงาน Turbo และสอง Motor ไฟฟ้า
กำลังพล: กำลังพลประจำเรือ 65นาย+หน่วยรบพิเศษ Commandos
ระยะเวลาการปฏิบัติการ: มากกว่า 270วันต่อปี

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

สหรัฐฯอนุมัติการขายเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64E Apache และ AH-1Z Viper แก่ฟิลิปปินส์

Philippines cleared to buy Apache or Viper attack helos from US
The US has approved the sale of six AH-64E Apache helicopters, plus equipment, weapons, spares, training, support, and other services to the Philippines for USD1.5 billion. Source: Boeing

The Philippines has been cleared to buy six Bell AH-1Z Viper attack helicopter from the United States for USD450 million. Source: Bell
https://www.janes.com/article/95884/philippines-cleared-to-buy-apache-or-viper-attack-helos-from-us



ฟิลิปปินส์ได้รับการอนุมัติการขายทั้งเฮลิคอปเตอร์โจมตี Boeing AH-64E Apache Guardian หรือเฮลิคอปเตอร์โจมตี Bell AH-1Z Viper จากสหรัฐฯ
สำนักงานความร่วมมือความมั่นคงกลาโหมสหรัฐฯ(DSCA: Defense Security Cooperation Agency) ประกาศเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2020 ที่ผ่านมา

ข้อเสนอข้อตกลงซึ่งรวมทั้งการขายเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64E Apache Guardian จำนวน 6เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-1Z Viper จำนวน 6เครื่อง
อุปกรณ์, อาวุธ, อะไหล่, การฝึก, การสนับสนุน และบริการอื่นๆ มีมูลค่าที่วงเงินประมาณ $1.5 billion สำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตี Apache และวงเงิน $450 million สำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตี Viper

"ฟิลิปปินส์กำลังพิจารณาทั้ง AH-64E หรือ AH-1Z เพื่อปรับปรุงความทันสมัยขีดความสามารถเฮลิคอปเตอร์โจมตีของตน ข้อเสนอการขายจะช่วยเหลือฟิลิปปินส์ในการพัฒนาและดำรงความแข็งแกร่งด้านขีดความสามารถ
การป้องกันตนเอง, การต่อต้านการก่อการร้าย และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ฟิลิปปินส์จะไม่มีความยุ่งยากในการนำยุทโธปกรณ์และการสนับสนุนเหล่านี้" DSCA กล่าวโดยไม่ได้ให้กรอบระยะเวลาสำหรับแผนการจัดหาใดๆ

ขณะที่การอนุมัติการขาย ฮ.โจมตี Apache จะรวมอาวุธและอุปกรณ์ที่มากกว่า เช่น อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้่น AGM-114 Hellfire 200นัด, ชุดจรวดนำวิถีอากาศสู่พื้น Advanced Precision Kill Weapon System(APKWS) 300นัด อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ FIM-92H Stinger 200นัด, Radar ควบคุมการยิง AN/APG-78 Longbow จำนวน 6ระบบ, ชุดควบคุมยานไร้คนขับ Manned­Unmanned Teaming-2(MUMT-2i) จำนวน 6+2ระบบ และกระสุน 30mm 80,000นัด สำหรับปืนใหญ่อากาศ M230El+M139 AWS Automatic Gun

เทียบกับ ฮ.โจมตี Viper ที่รวมเช่น AGM-114 Hellfire II 6นัด, APKWS 26นัด, อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ AIM-9M 2นัด และกระสุนกึ่งเจาะเกราะระเบิดเพลิง(SAPHEI: Semi-Armor Piercing High Explosive Incendiary) 20mm 5,000นัด สำหรับปืนใหญ่อากาศ M197
ไม่เป็นที่ชัดเจนทำไมจึงมีความแตกต่างกันเป็นวงเงินถึง $1 billion ระหว่างสองข้อเสนอนี้ บริษัท Boeing สหรัฐฯไม่ส่งกลับเอกสารร้องขอข้อมูล(RFI: Request for Information) ตามเวลาที่กำลังเขียนนี้

กองทัพอากาศฟิลิปปินส์(PAF: Philippine Air Force) ปัจจุบันมีเฮลิคอปเตอร์ AgustaWestland A109E Power ประจำการ 8เครื่องที่ใช้งานในภารกิจโจมตีเบาที่ได้รับมอบในปี 2015
เช่นเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ MD Helicopters MD 500MG จำนวน 12เครื่องที่มีอายุการใช้งานเก่ากว่าที่ประจำการมาก่อน

ในเดือนพฤศจิกายน 2019 กองทัพอากาศฟิลิปปินส์ได้รับมอบเฮลิคอปเตอร์โจมตี Bell AH-1F Cobra จำนวน 2เครื่องที่เคยประจำการในกองทัพอากาศจอร์แดน(Royal Jordanian Air Force)(https://aagth1.blogspot.com/2018/05/ah-1f-cobra-2.html)
ฮ.โจมตี AH-1 Cobra เหล่านี้ทำให้กำลังพลของกองทัพอากาศฟิลิปปินส์มีประสบการณ์ในการใช้งานเฮลิคอปเตอร์โจมตีแท้ ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์โจมตีใหม่แบบใดก็ตามจะถูกเลือกโดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ในที่สุด

AH-64E มีความเหนือกว่าเฮลิคอปเตอร์โจมตี Apache รุ่นก่อนหน้า โดยมีคุณสมบัติระบบขับเคลื่อนและใบพัดวัสดุผสมที่ปรับปรุงใหม่โดยให้ความเร็วสูงสุดสูงกว่าเฮลิคอปเตอร์โจมตี AH-64D รุ่นก่อน 25knots
AH-64E ยังได้รับการติดตั้งระบบ Avionic สถาปัตยกรรมเปิดที่เพิ่มสมรรถนะและขีดความสามารถในการควบคุมอากาศยานไร้คนขับ(UAV: Unmanned Aerial Vehicle) จากห้องนักบิน

AH-1Z เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่มีการใช้ชิ้นส่วนพื้นฐานร่วมกับเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป Bell UH-1Y Venom ซึ่งเข้าประจำการในนาวิกโยธินสหรัฐฯ(USMC: US Marine Corps) ทั้งสองแบบ
กองทัพบกปากีสถาน(Pakistan Army) ได้จัดหา AH-1Z  12เครื่องแต่ปัจจุบันยังไม่มีการส่งมอบ(https://aagth1.blogspot.com/2020/02/z-10-t129-ah-1z.html) และสาธารณรัฐเช็กได้สั่งจัดหา AH-1Z 4เครื่องครับ(https://aagth1.blogspot.com/2019/12/ah-1z-uh-1y.html)

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รับมอบเครื่องบินแจ้งเตือนทางอากาศ Saab GlobalEye เครื่องแรก

UAE receives first GlobalEye AEW&C aircraft

The UAE is to receive three GlobalEye aircraft through to the end of 2021, with a further two expected to follow after. Source: Saab
https://www.janes.com/article/95842/uae-receives-first-globaleye-aew-c-aircraft



กองทัพอากาศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAEAF&D: United Arab Emirates Air Force and Defence) ได้รับมอบเครื่องบินแจ้งเตือนและควบคุมทางอากาศ Saab GlobalEye AEW&C(Airborne Early Warning and Control) เครื่องแรกจากทั้งหมด 3เครื่อง
ที่ลงนามสัญญาจัดหากับบริษัท Saab สวีเดน ตามที่ประกาศเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2020(https://aagth1.blogspot.com/2018/03/saab-globaleye.html, https://aagth1.blogspot.com/2018/02/saab-globaleye.html)

Saab สวีเดนกล่าวว่าตนได้ดำเนินการส่งมอบระบบที่ติดตั้งบนเครื่องบินโดยสารทางธุรกิจไอพ่น Bombardier Global 6000 แคนาดาแก่ UAE ภายใต้สัญญาโครงการระบบตรวจการณ์ปรับเปลี่ยนบทบาท(Swing Role Surveillance System) ที่ได้รับการประกาศเมื่อปลายปี 2015
การส่งมอบเครื่องบินแจ้งเตือนและควบคุมทางอากาศ GlobalEye ที่เหลือ 2เครื่องมีกำหนดจะดำเนินการไปจนถึงสิ้นปี 2021 ขณะที่สัญญาที่คาดการณ์ไว้สำหรับการจัดหาเพิ่มเติมอีก 2เครื่องยังไม่ได้รับการลงนามในตอนนี้ ระบบภาคพื้นดินได้รับการส่งมอบให้ UAE แล้วก่อนการมาถึงของเครื่องบิน

ระบบแจ้งเตือนและควบคุมทางอากาศ GlobalEye ถูกสร้างจากพื้นฐาน radar แบบ Saab Erieye ER(Extended Range) ที่ยังคงใช้จานสัญญาณ Radar ทรงครีบหลังภายนอกเครื่องเช่นเดียวกับระบบ Erieye ดั้งเดิมของบริษัท
ด้วยการใช้ Gallium Nitride(GaN) และวิทยาการอื่นๆ Erieye ER เป็นระบบ AESA(Active Electronically Scanned Array) radar ที่มีประสิทธิภาพพลังงานเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับ Erieye radar รุ่นก่อน

โดย Erieye ER มีระยะการทำงานของ radar ที่มากกว่า 650km ซึ่งสามารถเพิ่มการเน้นพลังงานในพื้นที่จุดสนใจที่ต้องการเฉพาะได้ Saab กล่าวว่า Erieye ER ยังทนทานต่อการถูกก่อกวนสัญญาณ(Jamming)
และมีคุณสมบัติการทำงานทุกสภาพอากาศในทุกพื้นที่(อากาศ, ทะเล และภาคพื้นดิน) และมีอัตราการปรับปรุงการติดตามต่อเป้าหมายที่กำหนดให้อยู่ในความสนใจ(targets-of-interest)ในระดับ"สูงอย่างที่สุด"

นอกจาก Erieye ER radar แล้วใต้ลำตัวเครื่องบิน GlobalEye ยังติดตั้ง AESA radar ตรวจการณ์ Multimode 360 degree แบบ Leonardo Seaspray 7500E อิตาลี เช่นเดียวกับกล้องตรวจการณ์ EO/IR(Electro-Optical/Infrared) แบบ Star SAFIRE 380-HD ของ FLIR Systems สหรัฐฯ
ระบบพิสูจน์ฝ่ายอัตโนมัติ AIS(Automatic Identification System) สำหรับการจัดส่งข้อมูล ชุดเครื่องตรวจจับการแพร่คลื่นไฟฟ้า ESM(Electronic Support Measures) แบบ HES-21 ของ Saab และระบบเป้าลวงต่อต้านการถูกโจมตี

สมรรถนะของเครื่องบินแจ้งเตือนและควบคุมทางอากาศ GlobalEye ตามที่ Saab เปิดเผยมานั้นสามารถทำการบินได้มากกว่า 13ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 450knots
ทำให้ GlobalEye สามารถนำมาใช้ปฏิบัติทั้งภารกิจการตรวจการณ์และแจ้งเตือนต่อเป้าหมายทางอากาศ, การตรวจการณ์ทางทะเลต่อเป้าหมายเรือผิวน้ำ และการค้นหาและกู้ภัยได้พร้อมกันครับ

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ความคืบหน้าโครงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยในปี ๒๕๖๓-๔

China Shipbuilding and Off-shore International (CSOC) was displayed model of 2,600 ton Conventional Submarines at Defense and Security 2019 exibition in Thailand
https://aagth1.blogspot.com/2019/11/defense-security-2019-marsun-cssc-csoc.html

Covid-19: Thai navy cuts spending, postpones submarine procurement
https://www.janes.com/article/95602/covid-19-thai-navy-cuts-spending-postpones-submarine-procurement

Royal Thai Navy's Khamronsin-class anti-submarine corvette, FS-532 HTMS Thayanchon at Mahidol Adulyadej Naval Dockyard.
https://aagth1.blogspot.com/2020/04/msi-30mm.html

Thailand to equip Khamronsin-class corvettes with MSI gun mounting
https://www.janes.com/article/95798/thailand-to-equip-khamronsin-class-corvettes-with-msi-gun-mounting

Royal Thai Air Force's Korea Aerospace Industries (KAI) T-50TH Golden Eagle serial 40103, 401st Squadron, Wing 4 Takhli .(Thanawat Wongsaprom)
https://aagth1.blogspot.com/2020/04/t-50th.html

กองทัพเรือได้เสนอปรับลด งป.ลงกว่า 33% ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 4,100ล้านบาทเพื่อสนับสนุนนโยบายของทางรัฐบาล ในการนำเงินไปช่วยเหลือประชาชนในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ ไวรัส โควิด -19

ตามที่รัฐบาลให้ส่วนราชการปรับลดงบประมาณ เพื่อนำไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ....ไปเป็นงบกลาง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนในการแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด – 19 รวมทั้ง กรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจําเป็นอื่นของรัฐบาล นั้น
วันนี้ (18 เม.ย.63) พลเรือโท ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ และ โฆษก กองทัพเรือ ขอเรียนให้ทราบถึงความพยายามในการบริหารจัดการ งป. ของกองทัพเรือ ตามที่รัฐบาลสั่งการ 
โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรง ทร.และคณะทำงานทุกฝ่ายในกองทัพเรือเร่งหาข้อยุติในการร่วมสนับสนุน นโยบายของทางรัฐบาล 
โดยยึดหลักการตามความจำเป็นของประเทศชาติ ต่อการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด -19 เป็นประการแรก

ภายหลังการหารือร่วมของทุกฝ่ายโดยมี เสนาธิการทหารเรือ พลเรือเอก สิทธิพร มาศเกษม เป็นประธาน จึงได้ข้อสรุปที่นำเรียนขอความเห็นชอบจากผู้บัญชาการทหารเรือแล้ว ตกลงใจว่ากองทัพเรือจะขอเสนอปรับลดงบประมาณลงกว่า 33% คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 4,100 กว่า ล้านบาท 
ซึ่งเป็นวงเงินที่มากกว่าที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยจะชะลอการดำเนินการโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และ 3 ที่แม้จะเป็นการใช้ งป.ในส่วนของกองทัพเรือเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ งป.ของกระทรวง ทบวงกรมอื่นแต่ประการใด แต่ก็มักจะตกเป็นเหยื่อ หรือเป็นเป้าต่อการปลุกกระแสต่อต้านไปทุกครั้ง 
จากความพยายามในอดีตในเชิงจิตวิทยาที่ได้ผล อย่างไรก็ตามกองทัพเรือยินดีที่จะปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล และการคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ แม้จะเห็นว่าภัยคุกคามทางทะเลจำเป็นต้องรับมือ ด้วยกำลังทางเรือที่เท่าเทียม ทันยุคสมัย. 
และอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนได้ในอนาคต แต่ก็คงต้องจัดการอย่างเต็มกำลังความสามารถด้วยทรัพยากรที่มี ให้บรรลุผลรวมถึงการสนับสนุนการรับมือกับวิกฤติ โควิด -19 อย่างเต็มที่ ดังเช่นผลงานที่ผ่านมา 
ในการนี้จึงส่งผลให้โครงการดังกล่าว จำเป็นต้องชะลอออกไปในปีงบประมาณ 64 รวมถึงการชะลอโครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำฯ และ โครงการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำฯ ที่ต้องปรับลดวงเงินปีแรกลง ทำให้การเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับเรือดำน้ำลำแรกต้องล่าช้าออกไปด้วย

นอกจากนี้ยังรวมยังไปถึง การชะลอโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ที่สำคัญ อาทิ โครงการซ่อมปรับปรุง เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ โครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล Network centric โครงการจัดหาเครื่องฝึกจำลองยุทธ์ โครงการจัดหาระบบอาวุธปืนรองฯ 
ตลอดจนโครงการก่อสร้างอาคารพัก 64 ครอบครัวฯ ซึ่งแม้จะมีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพล แต่โดยทุกโครงการก็จะต้องชะลอการดำเนินการไปตามความจำเป็น หรือจะต้องปรับลดวงเงินปีแรกลงไปก่อน

การที่กองทัพเรือได้เสนอขอปรับลด งป.ลงกว่า 33 % ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 4,100 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนนโยบายของทางรัฐบาล ในการนำเงินไปช่วยเหลือประชาชนในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ ไวรัส โควิด -19 ในครั้งนี้ 
เป็นไปโดยความมุ่งมั่นของ พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ต้องการแสดงออกถึงความตั้งใจจริงที่จะนำพากองทัพเรือไปสู่ความเป็นหน่วยงานที่ประชาชนเชื่อมั่น เป็นเครื่องมือของรัฐบาล ในการคิด 
และทำ ให้ประสบความสำเร็จในงานตามภารกิจ และที่สั่งการในทุกเรื่อง อย่างแท้จริง
https://www.facebook.com/prthainavy/posts/3145619662156035

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของ coronavirus Covid-19 ทำให้กระทรวงกลาโหมได้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลไทยในการถูกตัดงบประมาณประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓-๒๕๖๔(2020-2021)โดยเฉพาะการจัดหายุทโธปกรณ์ลง(https://aagth1.blogspot.com/2020/04/covid-19.html)
ส่วนของกองทัพเรือไทยที่ตัดงบประมาณลง 33% ได้รวมโครงการจัดหาเรือดำน้ำแบบ S26T จากจีนระยะที่๒ และระยะที่๓ วงเงินประมาณ ๒๒,๕๐๐,๐๐๐บาท($688,284,000) สำหรับเรือลำที่สองและเรือลำที่สามก็จะถูกยกเลิกไปทำให้ทางกองทัพเรือไทยต้องเจรจาหาผลสรุปข้อตกลงกับทางจีนใหม่
ขณะที่โครงการจัดหาเรือดำน้ำ S26T ระยะที่๑ ลำแรกวงเงิน ๑๓,๕๐๐,๐๐๐บาท($410 million) ที่ทำพิธีวางกระดูกงูเรือเมื่อวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๒(2019)(https://aagth1.blogspot.com/2019/09/s26t.html) และมีกำหนดส่งมอบในปี พ.ศ.๒๕๖๖(2023) ก็น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากด้วย

ขณะที่โครงการที่ยังจะดำเนินการต่อไปได้ก็จะมีเฉพาะการปรับปรุงเรือที่มีประจำการอยู่ตามความจำเป็น เช่น การจัดซื้อปืนกล MSI 30mm(ตระกูล MSI-DS SEAHAWK 30mm เช่นเดียวกับ MSI DS30M) สำหรับเรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำชุดเรือหลวงคำรณสินธุ
เป็นปืนรองใหม่แทนที่ปืนกล Breda 30mm/70 แท่นคู่ท้ายเรือ ที่มีอายุการใช้ราชการมานานและมีปัญหาขัดข้องและมีข้อจำกัดในการซ่อมทำ ซึ่งเรือ ตกด.ชุด ร.ล.คำรณสินธุ ทั้ง ๓ลำเป็นเรือที่ต่อในไทยและใช้งานมายาวนานเกือบ ๓๐ปี มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานต่อไปอีกนานหลายปี
การดำเนินการอื่นๆที่มีการเผยแพร่ในเอกสารนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓ เช่น การฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ Exocet, การจัดหาเรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนจากรัสเซีย และการแลกเรือฟริเกตให้จีนไปพิพิธภัณฑ์คงจะมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ด้วย

ตามที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอก มานัต วงษ์วาทย์ กล่าวต่อสื่อ กองทัพอากาศไทยได้มีลดงบประมาณของตนลงราว 23% ซึ่งรวมการยกเลิกโครงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่และฝึกแบบที่๒ บ.ขฝ.๒ T-50TH Golden Eagle ระยะที่๔ จากบริษัท KAI สาธารณรัฐเกาหลี เพิ่มเติม ๒เครื่อง
ทำให้ฝูงบิน๔๐๑ กองบิน๔ จะมี บ.ขฝ.๒ T-50TH รวมเพียง ๑๒เครื่องซึ่งเป็นอัตราความพร้อมขั้นต้น รวมถึงการปรับปรุงขีดความสามารถ เช่น Radar แบบ Elta EL/M-2032 และอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ IRIS-T ที่ในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อการฝึกนักบินขับไล่พร้อมรบอย่างมาก
จนถึงโครงการจัดหาอากาศยานทดแทนอื่นๆ เช่น โครงจัดหาเครื่องบินฝึกทดแทน บ.ฝ.๑๙ Pilatus PC-9 ที่จะปลดประจำการในปี พ.ศ.๒๕๖๖(2023) และอีกหลายโครงการที่ต้องถูกยกเลิกไปส่งผลเสียต่อกำลังรบท่ามกลางกระแสปลุกปั่นของผู้ไม่หวังดีต่อชาติที่ต้องการให้ยุบเลิกกองทัพไทยด้วยครับ

11th Infantry Division, Royal Thai Army's Stryker RTA ICV 8x8 (Royal Thai Army Infantry Carrier Vehicle) with M2 Flex .50cal heavy machine gun during OPNET-2 training at the Calvary Center, Saraburi province, 12 November-19 December 2019.
https://aagth1.blogspot.com/2020/01/fn-scar-stryker.html

Covid-19: Thailand announces USD557 million cut in defence spending
https://www.janes.com/article/95702/covid-19-thailand-announces-usd557-million-cut-in-defence-spending

โฆษกกองทัพบก เผย ยอด 1.8 หมื่นล้านที่ กห.ส่งคืนงบกลางช่วยโควิค นี้น เป็น ทบ.อย่างเดียวเกือบหมื่นล้านบาท ส่วนการจัดหา stryker ด้วยระบบ FMS ปี 63 ลดงบลง 50% อยู่ที่ 450ล้านเท่านั้น

กรณีมีการเผยแพร่เอกสารของกรมสรรพวุธ เกี่ยวกับการเดินหน้าโครงการจัดซื้อรถยานเกราะสไตร์เกอร์ ติดอาวุธ 50 คันด้วยงบประมาณ 4.5 พันล้าน โดยเป็นการจัดซื้อตามโครงการความช่วยเหลือทางการทหาร Foreign Military Sales -FMS จากสหรัฐอเมริกา นั้น
เรียนว่า จากนโยบายรัฐบาล โดย กระทรวงกลาโหม ได้ขอให้ทุกหน่วยงานในสังกัดพิจารณาปรับลดงบประมาณของ ปี 2563 เพื่อนำไปเข้างบกลางให้รัฐบาลนำแก้ปัญหาสถานการณ์ โควิด-19 นั้น

1. ภาพรวมของกระทรวงกลาโหมมีปรับลดไปจำนวนทั้งสิ้น จาก 7 หน่วยงาน มียอดเงินงบประมาณรวม 1.8 หมื่นล้าน ถูกนำกลับไปผ่าน. พ.ร.บ.การโอนงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับหลายๆกระทรวง 
ซึ่งขอเรียนว่าจาก ยอด 1.8 หมื่นล้านบาทนั้นจะเป็นงบฯในส่วนของ ทบ. หน่วยเดียวเกือบ 1 หมื่นล้านบาท
ซึ่งในการดำเนินการปรับลดนั้นภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาคือ โครงการไหนที่ยังไม่ผูกพัน ให้ชะลอตัดออกไปทั้งหมด ส่วนโครงการไหนผูกพันแล้ว ให้ตัดเหลือเพียงครึ่งเดียว 
ทำให้โครงการขนาดใหญ่ 4 โครงการ เช่น โครงการรถถัง ปืนใหญ่ หรือ เรดาร์ รวมถึง โครงการปกติอื่นๆ อีกประมาณ 26 โครงการ จำเป็นต้องถูกชะลอตัดออกไป

2. ส่วนกรณีเรื่องของ ยานเกราะล้อยาง สไตร์เกอร์ ที่มีสื่อบางสำนักได้นำเสนอไปนั้น อาจมีข้อมูลไม่ครบถ้วน เนื่องจากโครงการนี้ เป็นหนึ่งในโครงการที่ผูกพันแล้ว โดยแผนเดิมจะมีใช้งบฯ ของปี 63 จำนวน 900 ล้านบาท 
แต่ด้วยหลักเกณฑ์ตามนโยบายของ กระทรวงกลาโหมในข้างต้นทำให้ต้องมีการตัดลดงบประมาณออกไปครึ่งหนึ่ง ทำให้โครงการนี้ เหลือใช้งบปี 63 อยู่เพียง 450 ล้าน เท่านั้น

ซึ่งเรียนว่าโครงการฯ นี้จัดซื้อด้วยระบบ FMS เป็นไปตามความช่วยเหลือทางทหารระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ได้รับอนุมัติงบประมาณไว้ 4,515 ล้าน ได้จำนวนยานเกราะฯ รวมแล้วกว่า 100 คัน รวมที่ทาง สหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือในลักษณะให้เปล่า
โดยลักษณะการใช้งบฯ เป็นแบบผูกพันข้ามปี ตั้งแต่ปี 63-65 ทำให้ในปี 63 เดิมก่อนถูกปรับลด จึงมีแผนใช้เพียง 900 ล้านบาท
อีกทั้งด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 กองทัพในจำนวนงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับโครงการนี้ ไม่ใช่เป็นการจัดหาเฉพาะรถเท่านั้น ยังรวมถึงที่ทางสหรัฐฯ จัดชุดครูฝึกมาฝึกการขับรถ การใช้รถทางยุทธวิธี เทคนิคต่างๆของรถรวมทั้งชิ้นส่วนอะไรในการซ่อมบำรุง 
ที่นั่งการศึกษาในต่างประเทศ การสร้างโรงซ่อม และอาคารที่จอดรถจำนวนหนึ่งด้วย ล่าสุด ทบ.สหรัฐยังได้มอบกระสุนชนิดต่างๆให้กับ ทบ. มูลค่า 600,000 เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มเติมให้มา 
และ ล่าสุดทาง ทบ.สหรัฐฯ เป็นผู้จัดเที่ยวบินอนุญาตให้นำนักเรียนทุนฯ ในสหรัฐกลับมาไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยไม่ติดค่าใช้จ่าย
.......................................... 22 เม.ย.63
https://www.facebook.com/102248354575987/posts/165220314945457/

ส่วนของกองทัพบกไทย เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๓ กรมสรรพาวุธทหารบกได้ออกเอกสารโครงการยานเกราะล้อยาง พร้อมระบบอาวุธ และการบริการทางเทคนิค ฯลฯ จำนวน ๕๐คัน โดยวิธี FMS(Foreign Military Sales) วงเงิน ๔,๕๑๕,๐๐๐,๐๐๐บาท($138,780,038)
เป็นที่เข้าใจว่าว่าน่าจะเป็นการจัดหายานเกราะล้อยางลำเลียงพล Stryker RTA ICV 8x8 จากสหรัฐฯเพิ่มเติมจากที่สั่งจัดหาแล้ว ๗๐คัน ที่เข้าประจำการ ณ กรมทหารราบที่๑๑๒ กองพลทหารราบที่๑๑ ฉะเชิงเทรา แล้ว(https://aagth1.blogspot.com/2019/12/vn1-stryker-rta-icv.html)
อย่างไรก็ตามการตัดงบประมาณกลาโหมลง 7.61% จากผลกระทบของ Covid-19 กองทัพบกไทยเองที่ถูกตัดงบประมาณลงราว 30% ก็น่าจะถูกยกเลิกโครงการจัดหาอาวุธที่จำเป็นต่อการพัฒนากำลังรบที่มีแต่จะเก่าอายุการใช้งานนานและล้าสมัยจำเป็นต้องจัดหาระบบใหม่มาทดแทนหลายรายการ

โครงการของกองทัพบกไทยที่น่าจะถูกยกเลิก เช่น ปืนใหญ่ 105mm วงเงิน ๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($27,666,774), ปืนใหญ่ 155mm วงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($61,481,720) และเครื่องบินลำเลียง บ.ล.๒๙๕ Airbus C295W ระยะที่๓ วงเงิน ๑๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐บาท($41,503,347) เป็นต้น
โดยในกรณียานเกราะล้อยาง Stryker ระยะที่๒ ๕๐คันจากสหรัฐฯในข้างต้นนั้น ล่าสุดกองทัพบกได้ชี้แจงว่าการจัดหาจะถูกเลื่อนออกไปในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔-๒๕๖๕(2021-2022) ไม่ใช่ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ นี้ ซึ่งเข้าใจว่าการจัดหาในรูปแบบ FMS คงต้องเจรจากับสหรัฐฯอีกที
แต่การชี้แจงด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมไม่มีผลที่จะเปลี่ยนแปลงแผนการกระทำของบรรดาผู้ไม่หวังดีต่อชาติที่จ้องจะใช้โฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายทหาร-ตำรวจให้เป็นจำเลยสังคมสำหรับทุกปัญหาในประเทศด้วยการสร้างข่าวปลอมแก่ประชาชนที่หลงเชื่อเพื่อสนับสนุนการยุบกองทัพไทยครับ









Royal Thai Air Force's Piaggio P.180 Avanti serial 60461, 604 squadron, Wing 6 Don Muang transport sample of risk groups secretions from Phuket province for coronavirus COVID-19 detection in Bangkok.

Clip: กองทัพอากาศ จัดอากาศยานบินรับ-ส่ง ตัวอย่างสารคัดหลั่งของกลุ่มเสี่ยง จ.ภูเก็ต เพื่อนำมาตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่กรุงเทพฯ

กองทัพอากาศ จัดอากาศยานบินรับ-ส่ง ตัวอย่างสารคัดหลั่งของกลุ่มเสี่ยง จ.ภูเก็ต เพื่อนำมาตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันพุธที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๓) กองทัพอากาศ จัดเครื่องบินตรวจการณ์และลำเลียงแบบที่ ๒๐ (บ.ตล.๒๐) หรือ P-180 สนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) 
ในการบินรับ-ส่งตัวอย่างสารคัดหลั่งโพรงจมูกของบุคคลกลุ่มเสี่ยงในตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เพื่อนำมาตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ณ ห้องปฏิบัติการในกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ พื้นที่จังหวัดภูเก็ตมีแนวโน้มพบผู้ป่วย COVID-19 สูงขึ้นเรื่อยๆ และทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงของตำบลป่าตอง ทางสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ได้เร่งค้นหาผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 
โดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์จากบริษัทเอกชน ในการเก็บสารคัดหลั่งโพรงจมูกเพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ COVID-19 ได้วันละประมาณ ๕๐๐ คน หลังจากนั้นต้องนำตัวอย่างสารคัดหลั่งดังกล่าว ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการในกรุงเทพมหานคร โดยจะทราบผลการตรวจในวันรุ่งขึ้น 
ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในขณะนี้ที่ทำให้การคัดกรองเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่จะหยุดการแพร่ระบาดของโรค

อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติดังกล่าวกำลังประสบปัญหาจากการประกาศปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ทำให้มีข้อขัดข้องในการนำส่งตัวอย่างสารคัดหลั่งของกลุ่มเสี่ยงไปยังห้องปฏิบัติการ 
ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตจึงได้ประสานไปยังศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) เพื่อขอรับการสนับสนุนอากาศยานจากกองทัพอากาศ ในการบินรับ-ส่งตัวอย่างสารคัดหลั่งดังกล่าว

ทั้งนี้กองทัพอากาศพร้อมให้การสนับสนุนอากาศยานในการช่วยเหลือประชาชนและการดำเนินการเพื่อต่อสู้กับไวรัส COVID-19
https://www.facebook.com/RTAFpage/posts/3288109777885256


ทอ.จัด C-130 ส่งถุงยังชีพและนวัตกรรมให้ 3 โรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกับ “น้องจักจั่น” โดรนกระจายเสียง
จากประกาศโรงพยาบาลรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส งดให้บริการผู้ป่วยทั่วไปทุกกรณี โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะผู้ป่วยอาการทางเดินหายใจที่เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น 
เนื่องจากมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์จำนวน 28 คนเสี่ยงต่อการติดเชื้อและต้องถูกกักตัว 14 วัน ส่งผลต่อขวัญกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และการรับบริการตรวจรักษาของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563) พลอากาศเอก มานัต วงษ์วาทย์ สั่งการให้กองบิน 6 จัดเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 8 หรือ C-130 ลำเลียงถุงยังชีพและนวัตกรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาบุคลากรของกองทัพอากาศไปมอบให้ประชาชนและโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 
ตามโครงการ “กองทัพอากาศ ร่วมตั้งการ์ด สู้ COVID-19” ที่กองทัพอากาศได้จัดทำเพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักรบชุดขาวกับชาวไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน 
โดยมอบหมายให้ พลอากาศโท ธนศักดิ์ เมตะนันท์ รองเสนาธิการทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ติดตามและเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ 
ส่วนกองทัพอากาศ เป็นผู้แทน นำสิ่งของดังกล่าวไปมอบให้แก่ประชาชนและโรงพยาบาลประจำจังหวัด ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยสิ่งของที่จะนำไปมอบให้กับประชาชนและโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย
- ถุงยังชีพ สำหรับชาวมุสลิม จำนวน 1,200 ชุด และชาวพุทธ 200 ชุด รวม 1,500 ชุด
- น้องถาดหลุม หุ่นยนต์ช่วยการพยาบาล จำนวน 3 ชุด
- น้องบุญสุข เครื่องวัดอุณหภูมิ จำนวน 15 เครื่อง
- น้องบุญช่วย เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 2 เครื่อง
- Shield Box ฉากกั้นระหว่างแพทย์และคนป่วย แบบนั่ง จำนวน 12 กล่องและแบบนอน จำนวน 63 กล่อง
- ตู้อบฆ่าเชื้อ จำนวน 6 ตู้
- อินทรีย์อนามัย เครื่องกดแอลกอฮอล์ล้างมือแบบใช้เท้ากด จำนวน 6 เครื่อง
- แอลกอฮอล์เจลแบบขวดกด 300 ซีซี จำนวน 50 ขวด และแอลกอฮอล์รีฟิลแกนลอนขนาด 6 ลิตร จำนวน 4 แกลลอน

ในโอกาสนี้ได้นำ “น้องจักจั่น” โดรนกระจายเสียง ซึ่งผลิตโดยภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า กองการศึกษา โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ไปทำการบินสาธิตการกระจายเสียงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 
โดยข้อความที่ใช้กระจายเสียงได้จัดทำทั้งสองภาษาคือภาษาไทยและภาษายาวี

ทั้งนี้ นวัตกรรมที่นำไปมอบให้โรงพยาบาลประจำจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อต่อสู้กับไวรัส COVID-19 ทั้งหมดเป็นผลผลิตทางความคิดของบุคลากรกองทัพอากาศ ที่ขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติจริง ด้วยความทุ่มเททุกระดับชั้น 
โรงงานและบุคลากรของกองทัพอากาศได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จากโรงงานสร้างและซ่อมเครื่องบิน สามารถปรับเปลี่ยนมารองรับการผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ สู้กับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้จริง ต้องลงมือคิดและทำ ต้องร่วมมือกัน เราจะพ้นวิกฤตทุกวิกฤตไปด้วยกัน
https://www.facebook.com/RTAFpage/posts/3318161454880088